เราแปล “ignorance” ว่าความไม่รู้, ความเขลา, ความไม่รับรู้หรือเพิกเฉย บ้างแปลว่า “อวิชชา” ในที่นี้ผมจะใช้คำแปล “อวิชชา” ในการอธิบายว่าศาสนาที่มีลักษณะ ignorance หรืออวิชชาและขาดความใจกว้างนั้นเป็นฉันใด
เริ่มจากลักษณะ “ความไม่ใจกว้าง” ของศาสนาก่อน มีมิตรสหายท่านหนึ่งเข้ามาแลกเปลี่ยนในเฟสบุ๊คผม เขาเสนอว่า "คนไม่เอาศาสนาต้องใจกว้างด้วย" และผมได้โต้แย้งไปว่า
ที่จริงแล้ว ความมีใจกว้าง, อดกลั้น หรือ tolerance มันคือการยอมรับการมีอยู่ของ x เคารพสิทธิและเสรีภาพของ x ภายใต้เงื่อนไขที่ X ต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือทำอันตรายต่อบุคคลอื่น แม้เราจะไม่เห็นด้วย ไม่ชอบ หรือเกลียด x ก็ตาม
ถามว่า คนไม่เอาศาสนาไม่ยอมรับการมีอยู่ของศาสนา ไม่เคารพเสรีภาพทางศาสนาของนักบวช ศาสนิก หรือองค์กรศาสนาเช่นนั้นหรือ?
เปล่าเลย ที่จริงแล้วคนไม่เอาศาสนาเขาปฏิเสธศาสนาที่ไม่ใจกว้าง ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของคนอื่น ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนต่างหาก
เช่น การมีองค์กรศาสนาใช้อำนาจทางกฎหมายและภาษีประชาชนในการรักษาความเชื่อและเผยแพร่ความเชื่อส่วนบุคคลของกลุ่มศาสนานั้นๆ การห้ามนักบวชสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชน แต่ให้นักบวชเทศนาปลูกฝังอุดมการณ์ไม่ประชาธิปไตย การบังคับเรียนศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐ เป็นต้น เหล่านี้คือการที่ศาสนา "ไม่ใจกว้าง" หรือไม่มี tolerance หรือไม่รับรู้ ไม่ยอมรับ ไม่เคารพเสรีภาพของปัจเจกบุคคล (เสรีภาพทางศาสนา) และเสรีภาพทางการเมือง
พูดรวมๆ คือ ศาสนาไม่ใจกว้าง หรือไม่ยอมรับ ไม่เคารพการมีอยู่/การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เพราะศาสนาทำหน้าที่ค้ำยัน "สถานะเดิม - status quo" ของสถาบันกษัตริย์และศาสนจักรในแบบที่ไม่ปฏิรูปให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยและหลักการแยกศาสนากับรัฐ ขณะที่ศาสนารับภาษีจากประชาชน และอยู่ได้ด้วยวัฒนธรรมศรัทธาของประชาชน
ศาสนาที่ไม่ใจกว้าง ไม่ยอมรับ ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตย หลักการแยกศาสนาจากรัฐ และสิทธิมนุษยชน ก็คือศาสนาที่ละเมิดศีลธรรมเสรีนิยมโลกวิสัย (secular liberal ethics) นั่นคือละเมิดคุณค่าที่เรียกว่าสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
มันตลกไหม หรือมัน "ย้อนแย้ง" สุดๆ ไหม ที่ศาสนาซึ่งทำหน้าที่ปกป้องโครงสร้างอำนาจที่ละเมิดศีลธรรมเสรีนิยมโลกวิสัย ซึ่งเป็นคุณค่าพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคมสมัยใหม่ กลับอ้างว่าเป็นศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนดีมีศีลธรรม!
ลักษณะขาดความใจกว้างของศาสนาดังกล่าว คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนออกมาจาก “ลักษณะอวิชชา (ignorance)” ของศาสนาเอง
อวิชชาในภาษาพุทธศาสนาไม่เพียงแต่หมายถึง “ความไม่รู้” เท่านั้น ยังกินความรวมถึงผลสืบเนื่องคือการปรุงแต่งหรือสร้างการรับรู้ ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ขึ้นมาเป็นส่วนขยาย หล่อเลี้ยง หรือสำทับให้อวิชชานั้นดำรงอยู่ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างอำนาจครอบงำและพันธนาการทางความคิด จิตใจของบุคคล รวมถึงสร้างอำนาจครอบงำทางสังคมและการเมืองด้วย
เพื่ออภิปรายปัญหาดังกล่าว ผมขออ้างถึงคำบรรยายของ “นักปรัชญาพุทธ” ท่านหนึ่ง (ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=nu9_dliNLyg) พูดถึงปัญหาการห้ามสอนศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐ โดยอ้างถึงทัศนะทางศาสนาของไอแซก นิวตันว่า “ศาสนาใหญ่กว่าวิทยาศาสตร์” เพราะศาสนาอธิบายที่มาและกฎของจักรวาล สำหรับคนที่เสนอห้ามสอนศาสนาในโรงเรียน เพราะถือว่าศาสนาเป็นเพียงความเชื่อ เมื่อมองจากมุมมองของนิวตันแล้วไม่น่าจะมีเหตุผลเพียงพอ
ประเด็นคือ ข้อโต้แย้งข้างบนนอกจากไม่ใช่ “ประเด็นหลัก” ของปัญหาว่าควรบังคับเรียนปลูกฝังศีลธรรมศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐหรือไม่แล้ว ทัศนะทางศาสนาของนิวตัวเองก็เกิดขึ้นในบริบริบทของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ในยุโรป ที่เริ่มเกิดกระแสยืนยันการใช้เหตุผลแสวงหาความจริงขึ้นมาปะทะกับศรัทธาแบบศาสนา ควบคู่กับยืนยัน “เสรีภาพ” ในการใช้เหตุผลและประสบการณ์แสวงหาความจริงื และเกิดการปฏิรูปศาสนา ทำให้เกิดกระแสความคิดของปัญญาชนจำนวนหนึ่งรวมทั้งนิวตันด้วยที่พยายามตีความหลักความเชื่อพื้นฐานของศาสนาว่าไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ หรือไปกันได้กับวิทยาศาสตร์
เช่นที่ตีความว่า “การค้นพบความจริงของจักรวาลด้วยวิทยาศาสตร์คือการค้นพบอัจริยภาพในการออกแบบจักรวาลของพระเจ้า” การตีความเช่นนี้มีนัยยะสำคัญเป็นการต่อต้านด้านที่เป็นอวิชชาหรือ ignorance ของศาสนาต่อวิทยาศาสตร์ เช่น การที่ศาสนจักรมองว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นเท็จและ “นอกรีต” ดังที่ศาลศาสนาลงโทษกาลิเลโอเป็นต้น
ในหนังสือ “ไอแซก นิวตัน: นักวิทยาศาสตร์คนแรกและพ่อมดคนสุดท้าย” แปลโดยสฤณี อาชวานันทกุล (หน้า 130) นิวตันวิจารณ์ว่า “คำสอนที่ถูกต้องในคริสต์ศาสนาถูกบิดเบือนโดยพวกดูหมิ่นศาสนา พระ และกษัตริย์” ดังนั้น สำหรับนิวตัน ความจริงทางวิทยาศาสตร์นอกจากไม่นอกรีต ไม่รุกรานศาสนาแล้ว ยังไปกันได้กับความเชื่อในความมีอยู่จริงของพระเจ้าด้วย พวกนักบวชและกษัตริย์ที่อ้างอำนาจเทวสิทธิ์กีดกันวิทยาศาสตร์ต่างหากที่บิดเบือนศาสนา
พูดชัดๆ คือ การยืนยันว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ไปด้วยกันได้ มีนัยสำคัญในทางต่อต้านอำนาจ “เทวสิทธิ์” ของศาสนจักรและกษัตริย์ที่บิดเบือนสาระที่แท้ของคำสอนศาสนาและพยายามกีดกันวิทยาศาสตร์ หาใช่ทัศนะที่ให้เหตุผลสนับสนุนการบังคับเรียนศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐแต่อย่างใดไม่ เพราะข้อถกเถียงเรื่องควรบังคับเรียนศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐหรือไม่เกิดขึ้นหลังยุคนิวตันนานมาก คือเป็นข้อถกเถียงในกรอบคิดเสรีประชาธิปไตยโลกวิสัย (secular liberal democracy) ที่ปฏิเสธอำนาจเผด็จการโดยเทวสิทธิ์ของกษัตริย์และศาสนจักร ซึ่งเป็นอำนาจที่ละเมิดทั้งเสรีภาพของปัจเจกบุคคล (เช่น เสรีภาพทางศาสนา ทางเพศ) และเสรีภาพทางการเมือง
ดังนั้น การปฏิเสธการบังคับเรียนศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐ ประเด็นหลักจึงไม่ใช่เพราะศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่คือการปฏิเสธการบังคับยัดเยียดความเชื่อโดยอำนาจรัฐและศาสนจักรของรัฐ ด้วยการยืนยันว่าเสรีภาพทางศาสนาเป็นเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่รัฐหรือศาสนจักรจะละเมิดไม่ได้ รัฐจะต้องเป็นกลางทางศาสนา หรือเป็นกลางระหว่างผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยรัฐต้องไม่สนับสนุนส่งเสริมศาสนาใดๆ ปล่อยให้เป็นเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่จะเลือกเชื่อ ไม่เชื่อ เลือกเรียน ไม่เรียนศาสนาใดๆ ด้วยตนเองในรูปแบบเอกชน
พูดอีกนัยหนึ่งคือ การเสนอยกเลิกบังคับเรียนปลูกฝังความเชื่อศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐ ก็คือการปฏิเสธลักษณะอวิชชาและการขาดความใจกว้างของศาสนา หรือปฏิเสธลักษณะ ignorance และการขาด tolerance ของศาสนานั่นเอง กล่าวคือ ปฏิเสธศาสนาในแบบที่ไม่รับรู้, ไม่เคารพต่อการมีอยู่ของคุณค่าศีลธรรมเสรีนิยมโลกวิสัย (secular liberal ethics) คือสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั่นเอง
ในด้านกลับ การปฏิเสธเช่นนี้คือการยืนยันว่า มันไม่มีความชอบธรรมใดๆ เลยที่จะเอาความเชื่อทางศาสนาภายใต้การผลิตสร้างและการรักษาปกป้องของศาสนจักรของรัฐ เช่น มหาเถรสมาคม หรือองค์กรศาสนาใดๆ ที่ขึ้นต่อรัฐมาบังคับยัดเยียดสอนพลเมืองในหลักสูตรการศึกษาของรัฐในลักษณะหนุนเสริมอุดมการณ์ชาตินิยม ขณะที่อำนาจศาสนจักรของรัฐละเมิดกระทั่งเสรีภาพทางศาสนาและเสรีภาพทางการเมืองของนักบวช ด้วยการกำหนดให้นักบวชสอนหรือตีความศาสนา “อวย” ชนชั้นปกครองและสนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่ห้ามสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชน
ดังนั้น การสร้างข้อโต้แย้งว่า เพราะศาสนาใหญ่กว่าวิทยาศาสตร์ คำสอนศาสนาคือสัจธรรมของกฎธรรมชาติแห่งจักรวาลและธรรมชาติของมนุษย์ มันจึง “ออกทะเล” ไปมาก เพราะหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่าความเชื่อศาสนาต่างๆ ล้วนอ้างว่าของตนถูกต้องเป็นสัจธรรมที่แท้มากกว่าไม่ได้ หักล้างข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และปัจจุบันที่เคยมีและยังมีการใช้คำสอน ความเชื่อ จารีตทางศาสนาละเมิดสิทธิเท่าเทียมทางเพศและอื่นๆ ไม่ได้ หักล้างข้อเท็จจริงของการบังคับเรียนศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของรัฐที่สนับสนุนอุดมการณ์ราชาชาตินิยมไม่ได้ เป็นต้น
การสร้างวาทกรรม “ศาสนาใหญ่กว่าวิททยาศาสตร์” หรือ “ศาสนาสอนจริยธรรมที่ใหญ่กว่าจริยธรรมเสรีนิยมโลกวิสัยตามความคิดปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่” ดังที่นักปรัชญาพุทธบ้านเราพยายามเน้นย้ำเสมอๆ โดยไม่ตั้งคำถามต่อปัญหาเชิงอุดมการณ์และโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาที่ไม่แยกจากกันนั้น ถึงที่สุดแล้วมันมีนัยยะสำคัญในเชิงสนับสนุนความมั่นคงของสภาวะ ignorance และการขาด tolerance ของศาสนาต่อคุณค่าแบบศีลธรรมเสรีนิยมนิยมโลกวิสัยดังกล่าวแล้วนั่นเอง
ยิ่งกว่านั้น ในคลิปที่อ้างไว้ข้างต้น การที่นักปรัชญาพุทธมองว่า การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “หลักการทางศีลธรรม” ของพุทธศาสนาที่ถือว่าการบริจาคลูกเมียเป็นทาสของเวสสันดรเป็น “ความดีทางศีลธรรม” ในระดับ “ทานอุปบารมี” ที่ส่งผลให้ตัสรู้เป็นพุทธะได้นั้นว่าเป็น “เรื่องเล็กน้อย” ยิ่งสะท้อนท่าทีแบบอิกนอร์ฯ ต่อข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐสยามไทยส่งเสริมการเทศนาเวสสันดรมาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายในทุกท้องถิ่น เมื่อไม่รับรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว ก็ย่อมไม่รับรู้ด้วยว่า “เรื่องเล่า” ดังกล่าวมีอิทธิพลสนับสนุน “วัฒนธรรมปิตาธิปไตย-ชายเป็นใหญ่” ภายใต้อุดมการณ์ของการปกครองแบบพุทธศักดินา-พุทธราชาชาตินิยมมายาวนานอย่างไร
ถึงที่สุดแล้ว การยืนยันสาระหรือ essence ของคำสอนพุทธศาสนาในเรื่องความพ้นทุกข์แบบที่นักพุทธปรัชญายืนยันอย่างอิกนอร์ฯ ต่อปัญหาเชิงโครงสร้าง ก็น่าจะสอดคล้องกับข้อวิจารณ์ของนักปรัชญาตะวันตกบางคนที่ว่า “ศาสนาแบบเน้นความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณมักเจริญรุ่งเรืองควบคู่กับระบบเผด็จการของกษัตริย์ในเอเชียมายาวนาน” จึงไม่แปลกที่เราได้ยิน “เรื่องเล่า” เกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนาของเจ้าในวังจากอดีตจวบปัจจุบัน
และยิ่งตลกร้ายที่คำสอนเรื่องความหลุดพ้นนั้นมีมิติเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หรือขึ้นกับประสบการณ์ส่วนบุคคลอย่างยิ่ง แต่กลับถกนำมาอย้างว่าเป็นเรื่อง “ใหญ่กว่า” วิทยาศาสตร์และศีลธรรมเสรีนิยมโลกวิสัยตามแนวคิดปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ นี่คือ “ความเนียน” ของการสนับสนุนวาทกรรม “พุทธพ่อทุกสิ่ง” อันเป็นด้านที่เป็นอวิชชาและการขาดความใจกว้างของพุทธศาสนาไทยที่หยั่งรากมายาวนาน
ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/thairath/photos/pcb.10154093419877439/10154093415052439
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)