Skip to main content
sharethis

เหมือนเหรียญที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ  ‘ศิริกัญญา ก้าวไกล’ เสี่ยงทายอนาคต ปี 65 “จะยังวนอยู่ในวิกฤติหรือเป็นปีแห่งการฟื้นฟู อยู่ที่การจัดงบประมาณในวันนี้” ซัด ‘ประยุทธ์’ อย่าอ้างกฎหมายวินัยคลังเพื่อหั่นงบช่วยประชาชน ชี้ ถ้าไม่กล้าตัดสินใจช่วงวิกฤติโดยเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง นายกฯไม่ต้องมีก็ได้

 

 

31 พ.ค.2564 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า วันนี้ ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้เเทนราษฎรในวาระเเรก โดยระบุว่า งบประมาณ 2565 กำลังจะเริ่มในอีก 3 เดือนต่อจากนี้ แต่อนาคตของประเทศยังเหมือนเหรียญที่ลอยอยู่กลางอากาศ ออกหัวหรือออกก้อยได้สองทาง ถ้าเคราะห์ดี ภายในครึ่งปีแรกจะฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย สามารถเปิดประเทศและเปิดเมืองได้อีกครั้ง ช่วงครึ่งปีหลังก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูประเทศจากความบอบช้ำทางเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญมากว่า 2 ปี

“ถ้าเคราะห์ร้าย ตลอดปีหน้าทั้งปี เราจะยังคงวนเวียนอยู่กับวังวนของการแพร่ระบาดและการล็อกดาวน์ การกระจายวัคซีนที่สับสนอลหม่าน อาจจะทำให้เรายังไม่สามารถเปิดประเทศและเปิดเมืองได้ ปี 2565 จะเป็นปีแห่งวังวนของวิกฤติหรือเป็นปีแห่งการฟื้นฟู อยู่ที่การพิจารณางบประมาณของพวกเราในวันนี้ 

เมื่อประเทศอยู่ในช่วงรอยต่อของการจบลงของโรคระบาด เราคาดหวังว่ารัฐบาลต้องอัดฉีดงบประมาณเพื่อปั๊มหัวใจ กระตุ้นชีพจรเศรษฐกิจ ฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้กลับมา แต่งบประมาณของปี 65 แทนที่จะเพิ่มขึ้นกลับลดลง รัฐบาลอาจจะอ้างว่าวางกรอบงบประมาณสมเหตุสมผลแล้ว ในเมื่อจัดเก็บรายได้ได้ลดลง ก็ต้องปรับลดงบประมาณลงเป็นเรื่องปกติ กฎหมาย พ.ร.บ.หนี้สาธารณะก็เขียนล็อกไว้ให้ขาดดุลได้เท่านี้ แล้วก็กู้ชดเชยจนเต็มเพดานแล้วจะเอาอะไรอีก แต่รัฐบาลที่อ้างว่าตัวเองทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เอาหลังพิงกฎหมาย แล้วผลักภาระไปให้ประชาชน ปล่อยให้งบเป็นไปตามยถากรรม แล้วประชาชนต้องรับกรรมแบบนี้ ถ้ารัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจในช่วงเวลาวิกฤตโดยเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมแก้กฎหมายที่ไม่ยืดหยุ่นในยามวิกฤต  ถ้าอย่างนั้นเอาข้าราชการมาบริหารประเทศก็ได้ เราจะมีนายกรัฐมนตรีกันไปทำไม ต้องมีรัฐมนตรีที่เหลือไว้ทำอะไร ซึ่งไม่ใช่ว่ารัฐบาลมองไม่เห็นปัญหาว่าเงินไม่พอใช้  ไม่อย่างนั้นจะยอมกลืนน้ำลายตัวเองออก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 5 แสนล้านบาทไปทำไม”

ศิริกัญญา อภิปรายต่อไปว่า แต่แทนที่รัฐบาลจะออกเป็นงบกลางปีที่มีรายละเอียดโครงการชัดเจนกลับเลือกทางที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและความรับผิดทั้งปวง แล้วขอให้สภาและประชาชนเซ็นเช็คเปล่าให้รัฐบาลอีกรอบ ทั้งที่การใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นแล้วถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะให้งบปี 65 เป็นงบสำหรับฟื้นฟูประเทศได้ ต้องเริ่มแก้ไขโครงสร้างที่บิดเบี้ยวของงบประมาณนี้ก่อน ซึ่งโครงสร้างที่บิดเบี้ยวมีที่มาจากกฎหมาย กฎระเบียบ และแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่รัฐบาลเขียนขึ้นมาเองแทบทั้งสิ้น

ในปี 2565 จากงบประมาณที่ถูกตัดลดลงไป 1.85 แสนล้านบาท แต่เงินที่จะลงไปถึงประชาชนจริงๆ น้อยลงไปยิ่งกว่านั้นเสียอีกเพราะต้องเอาเงินงบประมาณไปใช้หนี้ ที่ไม่ได้มีแค่หนี้สาธารณะ ต้องไปชดเชยภาระผูกพันต่างๆ มากมายที่ได้สร้างไว้ก่อนหน้านี้ เปรียบเหมือนคนที่กำลังป่วยไข้ด้วยโรคในปัจจุบัน แต่รุมเร้าด้วยโรคประจำตัวที่เรื้อรังมานาน ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ต้องใช้ให้เงินทุนสำรองจ่าย 2.4 หมื่นล้านบาท ช่วงก่อนออก พ.ร.ก.เงินกู้และมีงบกลางไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่ได้ตั้งงบไปใช้คืนในปี 2564 จึงต้องมาใช้คืนในปีนี้ อีกโรคคือเงินสำหรับชำระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น 4,000 ล้านบาท ภาระเงินชดเชยเงินคงคลังเพิ่มขึ้น 500 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการหมุนเงินไม่ทันในปี 63 และมีภาระค่าใช้จ่ายมาประจวบเหมาะในเวลานี้พอดี เช่น ค่าใช้จ่ายคดีข้อพิพาทระหว่างเชฟรอนและรัฐบาลไทย ที่ยื่นฟ้องไปที่อนุญาโตตุลาการ

“ก้อนถัดมาเป็นโรคเรื้อรัง คือ เงินใช้หนี้ที่รัฐบาลติดค้างหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ อย่าง ธกส. บสย. และออมสิน ยอดหนี้รวมตอนนี้คิดเป็น 970,000 ล้านบาท ยังดีมีการตั้งเพดานเอาไว้ว่าห้ามเกิน 30% ของงบ  แต่ปีหน้างบลด กรอบก็จะลดลงตาม เรียกว่าถ้ายังเหนียวหนี้ต่อปีหน้าก็จะทะลุกรอบวินัยการเงินการคลังทันที จึงต้องตั้งงบจ่ายหนี้คืนแบงค์รัฐไว้อีกเกือบ 90,000 ล้าน เรื่องนี้ไม่ต้องมาแก้ตัวว่าใช้มาตั้งแต่รัฐบาลก่อน เพราะเห็นชื่อโครงการก็ใช้กันมาทุกรัฐบาล ตั้งแต่ประกันรายได้ปี 51/52 จำนำข้าว 54/55/56 ไปจนถึงโครงการจำนำยุ้งฉาง ในสมัยรัฐบาล คสช. เรียกว่าเหนียวหนี้กันมาทุกยุคทุกสมัยจนพอกพูนเป็นดินพอกหางหมู รายจ่ายเหล่านี้ไม่เคยมาปรากฏในงบประมาณ สภาไม่เคยได้พิจารณา เพราะสามารถหยิบยืมจากแบงค์รัฐได้โดยใช้มติ ครม.เท่านั้น”

ศิริกัญญา ยังชี้ว่า โรคเรื้อรังอีกโรค คือรัฐราชการที่ใหญ่โตเทอะทะ ทำให้งบเบี้ยหวัด บำเน็จ บำนาญ เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการที่เพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้เบ็ดเสร็จรวมแล้วค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนสวัสดิการข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างรัฐ สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของบประมาณ ถ้ายังไม่มีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ งบประมาณจะยิ่งพอกพูนจนไปกินพื้นที่งบประมาณส่วนอื่น ทุกวันนี้งบสวัสดิการข้าราชการและครอบครัว 5 ล้านคน ก็แซงงบสวัสดิการสำหรับคนทั้งประเทศไปแล้ว และหากมองในภาพรวม งบประมาณที่หายไปจะมีไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้าน เพราะภาระในอดีตกับโครงสร้างที่บิดเบี้ยว

“เมื่อต้องเลือกตัดงบรายจ่ายลง แต่รัฐบาลไม่กล้าเผชิญหน้ากับรัฐราชการ ไม่กล้าตัดงบที่ลงตรงๆไปยัง กระทรวง กรม ต่างๆ เพราะงบพวกนี้ มีเจ้าที่คอยคุ้มครองแทบทั้งสิ้น งบที่รัฐบาลเลือกตัด ก้อนแรกคืองบสวัสดิการของประชาชน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองถูกตัดไป 2,000 ล้านบาท ประกันสังคมถูกตัดไป 19,000 ล้านบาท กองทุนสวัสดิการประชารัฐที่รัฐบาลเคยโฆษณาเอาไว้ว่าจะทำให้คนจนหมดประเทศถูกตัดงบไป 20,000 ล้านบาท การเคหะแห่งชาติและกองทุนการออมแห่งชาติถูกตัดงบไปครึ่งหนึ่ง ก้อนถัดมาที่รัฐบาลเลือกตัดก็คือเงินสำหรับฟื้นฟูประเทศหลังจากวิกฤติโควิด เลือกที่จะตัดงบประมาณด้านการศึกษาในปีนี้ไป 24,000 ล้านบาท ตัดงบกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม 5,000 ล้านบาท ตัดงบกองทุนส่งเสริม SME 40% ตัดงบประมาณแผนบูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก 50% ตัดงบแผนบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต 20%  ยังไม่ต้องพูดถึง ว่ารัฐบาลไม่ได้ตั้งงบชดเชยความเสียหายให้ผู้ประกอบการที่ถูกสั่งปิด ที่ปิดมา 3 รอบยังไม่เคยได้เงินชดเชยแม้แต่บาทเดียว อย่ามาอ้างว่าให้ไปใช้งบฟื้นฟูจากเงินกู้ 500,000 ล้าน เพราะไม่มีอะไรการันตีเลยว่าจะทำได้จริง บทเรียนที่ผ่านมาของเงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่ตั้งงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้าน พออนุมัติจริงกลับทำได้แค่แสนสามหมื่นล้าน หรือเบิกจ่ายจริงไม่ถึงครึ่ง รอบนี้ตั้งงบฟื้นฟูไว้แค่ 170,000 ล้าน จะเอาไปฟื้นฟูอะไรก็ยังไม่รู้ จะใช้จริงแค่ไหนก็ไม่รู้ บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่ออกเป็นงบกลางปีแบบมีรายละเอียดยังไงก็ไม่ให้ผ่าน ให้ถอนออกจากสภาไปได้เลย”

ศิริกัญญา กล่าวต่อไปว่า สำหรับงบประมาณที่ไม่ถูกตัดหรือถูกตัดเพียงเล็กน้อยเพียง 4% เท่านั้นในงบปี 65 ก็คือรายจ่ายลงทุน สาเหตุมาจากปัญหากฎหมายวินัยการเงินการคลังที่รัฐบาลเขียนขึ้นมามัดมือตัวเอง ว่ารายจ่ายลงทุนจะต้องไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และไม่น้อยกว่าวงเงินขาดดุลของงบประมาณในปีนั้น

“ฟังเผินๆเหมือนจะดี เพราะกฎหมายนี้บอกว่า ถ้ารัฐบาลจะกู้ ต้องกู้มาลงทุนเท่านั้น แต่เรื่องนี้ดีเฉพาะเวลาปกติ พอมาเจอวิกฤตยิ่งทำให้งบประมาณไม่ยืดหยุ่น ไม่ตอบโจทย์ ไม่ตอบสนองต่อความต้องการประชาชน ในทางปฏิบัติแล้ว กฎหมายนี้มีปัญหาปัญหาแรกคือ การลงทุนกับคนผ่านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา ไม่ถูกนับว่าเป็นรายจ่ายลงทุน จึงกลายเป็นเป้าที่ถูกตัดง่าย แต่ที่นับว่าเป็นรายจ่ายลงทุนก็คือ การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ก่อสร้างตึก อาคารสำนักงาน ซื้อโต๊ะ ซื้อตู้ ตัดถนน ปัญหาที่ตามมาก็คือ ในยามวิกฤติที่จัดเก็บภาษีได้น้อย ต้องจัดงบประมาณขาดดุลมากขึ้น คือต้องกู้มากขึ้น แต่พอมีข้อกำหนดว่ากู้มาเท่าไหร่ต้องใช้รายจ่ายลงทุนมากเท่านั้น แปลว่าพอยิ่งวิกฤติมาก รัฐบาลก็ต้องซื้ออาวุธเพิ่ม ต้องยิ่งก่อสร้างอาคารสำนักงานมากขึ้น รถ โต๊ะ ตู้ เตียง ตัดถนนมากขึ้น แบบนี้ขอให้ยอมรับว่าว่าไม่ใช่ทุกรายการจะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตจริงๆ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฉบับนี้ จึงมีปัญหาควรต้องมีการแก้ไขให้ยืดหยุ่นในยามประเทศเผชิญวิกฤต รัฐบาลอย่าหลับหูหลับตากอดกฎหมายไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นวิกฤตครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่ๆ”

ในประเด็นสุดท้าย ศิริกัญญา ชี้ว่า นอกจาก พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ที่มัดตัวเองแล้ว เวลาหน่วยงานราชการจะเขียนโครงการยังต้องเขียนให้ร้อยรัดเข้ากับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ,แผนแม่บท 23 แผน แผนแม่บทระดับย่อย แผนปฏิรูปประเทศอีก 11 ด้าน ทำให้ถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานจึงไม่ให้สามารถขยับปรับเปลี่ยนงบประมาณได้เลย ซึ่งรัฐบาลก็รู้ดีว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีมีปัญหา เพราะพูดถึงโรคระบาดอยู่ 2 คำ แถมยังไปอยู่ในยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม หลังจากใช้แผนได้เพียง 3 ปีก็มีการสั่งให้รื้อใหม่ สุดท้ายไม่ได้แก้อะไร แต่กลับคลอดมาเป็นแผนแม่บทเฉพาะกิจสำหรับวิกฤติโควิดขึ้นมาอีกเป็นแผนที่ 24 เหมือนมีเชือกมารัดคอเพิ่มขึ้นอีกเส้น ตัวแผนแม่บทเฉพาะกิจก็ฟังดูสวยหรู ดูดี พูดถึงเรื่อง ‘ล้มแล้วลุกไว’ มีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำๆ แบบไม่มีวันพลาดเป้า แต่พลาดเป้าก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไร ที่ตลกร้าย คือ ตามแผนแล้วจะมี 250 โครงการที่สภาพัฒน์ชี้เป้าเอาไว้ว่าสอดคล้องกับแผนแม่บทใหม่ แต่พอไปตามหา 250 โครงการนี้ ในงบ 65 จำนวนมากกลับหาไม่เจอ แสดงว่าถูกสำนักงบตัดไป ตกลงสองหน่วยงานไม่ได้คุยกันใช่หรือไม่ และถ้าจะทำแบบนี้จะมีแผนแม่บทเฉพาะกิจนี้ไปทำไม เสียทั้งเวลาและงบประมาณในการร่างแผน 

“แน่นอนว่าปัญหาโครงสร้างต่างๆ ต้องถูกแก้ไขผ่านการแก้กฎหมายงบประมาณที่ไม่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อวิกฤต ผ่านการปฏิรูปภาครัฐให้เล็กลง คล่องตัว ไม่เป็นภาระงบประมาณ ผ่านการแก้รัฐธรรมนูญ 60 เพื่อกำจัดอุปสรรคอย่างยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนแม่บทระดับย่อย แผนปฏิรูปประเทศ ที่ร้อยรัดเกลียวแน่นอยู่ที่คอหอยประชาชนจนแทบจะหายใจไม่ออก ถ้ารัฐบาลยังเอาหลังพิงกฎหมาย มัดมือมัดเท้าประชาชน มัดตราสังข์ประเทศ โยนความรับผิดของตัวเองออกจากตัว และเลือกโยนภาระมาให้ประชาชน ดิฉันก็ยังยืนยันว่าเอาข้าราชการมาบริหารประเทศแทนรัฐบาลได้เลย ไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้ ตราบใดที่ท่านไม่มีภาวะผู้นำในยามวิกฤต ไม่กล้าตัดสินใจทำเรื่องยากๆที่สุ่มเสี่ยงกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ประเทศไทยไม่มีวันที่จะพ้นจากวังวนของวิกฤติไปได้ ไม่มีวันที่จะฟื้นตัว ต่อให้วิกฤติโควิดหมดไปแล้ว ประเทศก็คงมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจมากมาย ประเทศของเราจะยังคงติดอยู่ในเหวลึกไปอีกนานเท่านาน”

ศิริกัญญา ยังทิ้งท้ายว่า  คำว่า ‘งบประมาณ’ คำว่า ‘ตัวชี้วัด’ ต่างๆ สำหรับรัฐบาล ข้าราชการและเทคโนแครตคงเป็นเพียงคำพูดบนกระดาษ เป็นตารางให้กรอกตัวเลข เป็นข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับประชาชน สวัสดิการที่ถูกตัดไป 3.5 หมื่นล้าน อาจจะหมายถึงเงินค่านมลูกที่จะหายไป หมายถึงค่างวดรถมอเตอร์ไซค์ที่ต้องใช้ทำมาหากินแต่กำลังจะโดนยึด หมายถึงหลักประกันของคนที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตจะมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณ งบ SME ที่ถูกตัดไป อาจจะหมายถึงลูกจ้างอีกเป็น 10 ที่ต้องถูกให้ออกจากงาน อาจจะหมายถึงเจ้าของธุรกิจที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ด้วยความผิดที่พวกเค้าไม่ได้ก่อ งบการศึกษาที่ถูกตัด 20,000 ล้าน อาจหมายถึงเด็กที่มีพัฒนาการไม่สมวัย เด็กประถมนับแสนคนที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตามวัยเพราะเรียนออนไลน์ไม่รู้เรื่อง หมายถึงเด็กที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพียงเพราะพ่อแม่ตกงาน เพียงแค่แก้กฎหมาย ออก พ.ร.บ. งบกลางปีอีกฉบับจากเงินกู้เพื่อจะจัดสรรงบให้ตามที่ควรจะเป็น ชีวิตของผู้คนอีกนับล้านคนจะเปลี่ยนไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล แทบทั้งสิ้นแต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และไม่สามารถรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณพิกลพิการฉบับนี้ได้ และเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.ก.เงินกู้ที่กำลังจะเข้าสู่สภาออกไปด้วย รวมถึง นายกฯ ต้องลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และให้รัฐบาลใหม่ออก พ.ร.บ.กู้เงิน และจัดทำงบกลางปีเพื่อชดเชยสวัสดิการ การศึกษา และงบประมาณฟื้นฟูประเทศ

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net