Skip to main content
sharethis

สำนักข่าวเดอะการ์เดียนรายงานว่ากองทัพพลเรือนรากหญ้ากำลังขยายตัวในพม่า โฆษกของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติพม่า (National Unity Government หรือ NUG) แสดงความเห็นว่าพม่ากำลังอยู่บนเส้นทางสู่สงครามกลางเมือง

 

กองกำลังความมั่นคงที่ผ่านการฝึกรุ่นแรก ภาพจากวิดีโอในเพจ National Unity Government

ซาไล เมือง เตง ซาน หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ด็อกเตอร์ซาซา” โฆษกของ NUG บอกกับสำนักข่าวเดอะการ์เดียนว่า “ประชาชนชาวพม่าถูกทำให้ไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเหลือเลย” เนื่องจากกองทัพเผด็จการบุกรุกเข้ามาในบ้านเรือนเพื่อจับกุมและทารุณกรรมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชุมชนต่าง ๆ ในพม่าลุกขึ้นจับอาวุธเพื่อต่อสู้

ด็อกเตอร์ซาซากล่าวต่อว่า “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สถานการณ์จะกลายเป็นว่าไม่สามารถคุมได้ ต่อให้เป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน พวกเขาก็จะไม่ยอมก้มหัวให้กับฆาตกรเหล่านี้ มันคือทั้งประเทศกำลังอยู่บนเส้นทางสู่สงครามกลางเมือง”

ที่ผ่านมาประชาคมโลกหวาดกลัวว่าพม่าจะเข้าสู่สภาวะสงครามกลางเมือง หลัง NUG ประกาศตั้งกองกำลังป้องกันประชาชนเพื่อปูทางไปสู่การก่อตั้งกองทัพของสหพันธรัฐ แม้ที่ผ่านมาประชาชนพม่าจะต่อต้านการรัฐประหารด้วยสันติวิธี กองทัพเผด็จการพม่ากลับใช้ความรุนแรงจับกุมปราบปรามประชาชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ประชาชนในรัฐคะยาห์ต้องหนีตายจากสงครามหลังเกิดการสู้รบกันระหว่างกองทัพฝ่ายคณะรัฐประหาร กองกำลังกะเหรี่ยงปกป้องประชาชน (ของ NUG) และกองทัพกะเหรี่ยง กองกำลังกะเหรี่ยงของ NUG ระบุกับสำนักข่าว Myanmar Now ว่า “เราโจมตีด้วยอาวุธเบา แต่พวกเขาตอบโต้ด้วยขีปนาวุธ” นอกจากนี้กองทัพฝ่ายคณะรัฐประหารยังใช้เฮลิคอปเตอร์ทิ้งระเบิดและกราดยิงกองกำลังพลเรือนอีกด้วย

เดอะการ์เดียนเล่าว่าที่ผ่านมาในพม่ามีความขัดแย้งทางทหารเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ เนื่องจากรัฐบาลส่วนกลางพยายามปราบปรามรัฐของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องการอำนาจอิสระในการปกครองตนเอง แต่หลังการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้เกิดกองกำลังพลเรือนรากหญ้ากลุ่มใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อปกป้องตัวเองจากกองทัพของคณะรัฐประหาร

จากข้อมูลของ Armed Conflict Location and Event Data Project หรือ Acled (โครงการข้อมูลพิกัดและเหตุการณ์ความขัดแย้งแบบมีการติดอาวุธ) พบว่าในพม่าเคยมีกองกำลังเกิดขึ้นแล้ว 58 แห่งโดยในจำนวนนี้ 12 แห่งยังคงปฏิบัติการอยู่ กองกำลังเหล่านี้บางกลุ่มไม่จำเป็นต้องสังกัดอยู่กับ NUG หรือกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ใด กลุ่มเหล่านี้แทบไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะการฝึกซ้อมไพร่พลเลย แต่ทรัพยากรและความเข้มข้นของกองกำลังเหล่านี้มีระดับต่างกันไป

ในเมืองมินดัตของรัฐฉิ่น หนึ่งในพื้นที่ยากจนที่สุดของประเทศ อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งได้จับอาวุธสู้กับกองทัพของพม่าในเดือนพฤษภาคมโดยแทบไม่ใช้อะไรเลยนอกจากปืนของพรานพื้นเมือง ในที่อื่น ๆ เยาวชนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้เดินทางเข้าป่าเพื่อเรียนรู้วิธีการใช้ระเบิดแบบโฮมเมด บุคคลมีชื่อเสียงหลายคนเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ประกาศเข้าร่วมการฝึกด้วย เช่น ถ่าเต๊ด เต๊ด อดีตผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล และฮัน ทู ลวิน หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า คยาร์ เพ้าก์ นักร้องนำของวงพังก์ร็อกที่ชื่อว่าบิ๊กแบ๊ก

ในย่างกุ้งซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของพม่า สมาชิกกองกำลังความมั่นคงต่าง ๆ กำลังตกเป็นเป้าการโจมตีด้วยการกระหน่ำยิงและการระเบิดหลากหลายระรอกตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แม้แต่งานแต่งงานก็ตกเป็นเป้าด้วย รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่างานแต่งดังกล่าวตกเป็นเป้าโจมตีเนื่องจากเจ้าบ่าวเป็นผู้แจ้งข่าวกับกองทัพ ในเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 4 รายรวมถึงเจ้าสาวด้วยหลังจากระเบิดถูกอำพรางว่าเป็นของขวัญ ทั้งนี้ ยังไม่มีใครออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

โรงเรียนต่าง ๆ ทั่วพม่าซึ่งบางส่วนถูกยึดครองโดยกองทัพ ถูกระเบิดหรือจุดไฟเผาโดยกลุ่มผู้โจมตีไม่ทราบฝ่าย เดอะการ์เดียนเล่าว่านี่อาจเป็นความพยายามในการสนับสนุนการชัตดาวน์ระบบการศึกษาของผู้ประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร คณะเผด็จการทหารได้ออกคำสั่งให้พ่อแม่ผู้ปกครองลงทะเบียนเพื่อส่งลูกกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้ว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติตาม สื่อท้องถิ่นรายงานด้วยว่าครูกว่าครึ่งที่ทำงานให้กับโรงเรียนของรัฐบาลยังคงหยุดงานประท้วงอยู่

การโจมตีที่มีลักษณะพุ่งเป้าไปยังพลเรือนที่ต้องสงสัยว่าร่วมมือกับคณะรัฐประหารเช่นนี้เป็นแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงตามความเห็นของริชาร์ด ฮอร์ซีย์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพม่าของ Crisis Group “การควบคุมจะเป็นเรื่องยากทันทีที่ความรุนแรงประเภทนี้กลายเป็นบรรทัดฐาน การยุติพลวัตต่าง ๆ เหล่านี้อีกทีในภายหลังจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว” ฮอร์ซีย์กล่าว

NUG ซึ่งออกมาพูดเกี่ยวกับแผนในการสร้างกองทัพสหพันธรัฐใหม่ เรียกร้องให้กลุ่มต่าง ๆ ปฏิบัติตามคำแนะนำทางจริยธรรมและไม่มุ่งเป้าโจมตีไปที่โรงเรียนและโรงพยาบาล เสาร์ที่ 9 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา NUG ได้โพสต์วิดิโอของไพร่พลกองกำลังความมั่นคงรุ่นแรกที่จบหลักสูตรการฝึกฝนเรียบร้อยแล้ว

กองกำลังต่อต้านรัฐประหารเหล่านี้ต้องเผชิญกับกองทัพคณะรัฐประหารที่โหดร้ายป่าเถื่อนซึ่งมีไพร่พลถึง 400,000 คน นับเป็นกองทัพที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากเวียดนาม กองทัพคณะรัฐประหารพม่าได้รับการสนับสนุนจากจีนและรัสเซียเป็นหลักผ่านเงินสนับสนุนจำนวนมากของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายธุรกิจที่สร้างกำไรมหาศาล ขณะนี้กลุ่มรณรงค์ต่าง ๆ กำลังพยายามลดพลังของเครือข่ายเหล่านี้ด้วยการกดดันบรรษัทข้ามชาติต่าง ๆ ให้เลิกสนับสนุนคณะรัฐประหารพม่า

ดร. ซาซ่า กำลังเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศยอมรับว่า NUG เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการของพม่า ดร. ซาซ่าระบุว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ NUG สามารถเรียกร้องให้บริษัทก๊าซและน้ำมันส่งเงินจ่ายมาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาธิปไตยแทนที่จะเป็นนายพลของคณะรัฐประหารได้ง่ายขึ้น

“มันถือเป็นการดูถูกเราเวลาที่ก๊าซจากแผ่นดินพม่ากำลังถูกใช้โดยนายพลกองทัพเหล่านี้ และถูกขายให้กับบริษัทโททัลหรือบริษัทตะวันตก [อื่น ๆ] เพื่อนำเงินมาซื้ออาวุธจากรัสเซียและจีนเพื่อฆ่าประชาชนชาวพม่า” ดร. ซาซ่า กล่าว

ขณะนี้มีรายงานว่า 9 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเสนอให้ลดระดับมาตรการของมติองค์การสหประชาชาติลง ด้วยการลบข้อความที่มีเนื้อหาเรียกร้องให้สั่งห้ามการขนส่งสินค้าทางทหารออกจากมติดังกล่าว

ดร. ซาซ่าเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ที่คิดเหมือนกัน NUG ผลักดันมาตรการสั่งห้ามการขนส่งสินค้าทางทหาร และยกระดับการคว่ำบาตรให้เข้มข้นและมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ถ้าประชาคมระหว่างประเทศยิ่งช้าลงเท่าไหร่ “มันจะยิ่งนองเลือด และเข้าใกล้สงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น”

จากข้อมูลของ Acled ระบุว่าในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2564 ในพม่ามีการสู้รบกันมากกว่าทั้งปีของ พ.ศ. 2563 เสียอีก นอกจากนี้ยังพบด้วยว่ามีรายงานการโจมตีพลเรือน เหตุการณ์ระเบิด และความรุนแรงทางไกลต่าง ๆ เช่น การใช้ปืนใหญ่ การยิงขีปนาวุธ ระเบิดมือ และระเบิดแสวงเครื่อง เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ ความขัดแย้งมักกระจุกตัวอยู่ในรัฐยะไข่และรัฐฉานซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของพม่า แต่ตอนนี้ความขัดแย้งได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศแล้ว ฮอร์ซีย์กล่าวว่าความขัดแย้งเหล่านี้มีแนวโน้มจะสร้างแรงกดดันให้กับผู้บัญชาการในท้องถิ่น แต่ยังไม่ทราบว่ามันจะส่งผลกระทบต่อกองทัพคณะรัฐประหารอย่างไรในภาพรวม

“พวกเขามีขนาดค่อนข้างใหญ่ พวกเขามีทรัพยากรทางทหารจำนวนมาก และพวกเขาไม่สนใจใยดีเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนเลย ที่จริงแล้ว แนวทางของพวกเขาในการจัดการความขัดแย้งภายในทั้งหมดคือการจงใจพุ่งเป้าไปที่พลเรือน โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การต่อต้านเหตุการณ์ความไม่สงบที่โหดร้ายพอสมควร” ฮอร์ซีย์กล่าว

ซาไล ซา อุก ลิง รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารขององค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวฉิ่นให้ข้อมูลที่ได้รับรายงานจากประชาชนในเมืองมันดัตว่า กองทัพคณะรัฐประหารใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ระหว่างการปะทะ ประชาชนหลายพันคนในเมืองยังคงติดหล่มอยู่ในเมืองเนื่องจากฤดูฝนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

“พวกเขาบอกว่าพวกเขากำลังสิ้นหวังขึ้นมาก ๆ ที่ผ่านมาเคยมีอาสาสมัครส่งอาหารและการสนับสนุนทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานเข้ามาบ้าง แต่ไม่เคยมีการส่งเข้ามาในระดับสเกลใหญ่ ๆ เลย” ซาไล ซา อุก ลิง กล่าวพร้อมเตือนว่าวิกฤติทางด้านมนุษยธรรมกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา นอกจากนี้ ไวรัสโควิด 19 ยังแพร่ระบาดมาทางชายแดนที่อยู่ติดอินเดียด้วย

จากตัวเลขประมาณการของสมาคมสนับสนุนช่วยเหลือนักโทษการเมืองของพม่าพบว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ มีประชาชนถูกฆ่าโดยกองทัพคณะรัฐประหารไปแล้ว 833 คน อีกหลายพันคนถูกจับกุม โดยมักถูกพาตัวไปยังสถานที่ที่ไม่มีการระบุพิกัดและเสี่ยงตกเป็นเป้าของการทารุณกรรม

กองกำลังความมั่นคงที่ผ่านการฝึกรุ่นแรก ภาพจากวิดีโอในเพจ National Unity Government

เดอะการ์เดี้ยนเล่าต่อว่า จากการสัมภาษณ์นักกิจกรรมหญิงคนหนึ่งที่เคยมีโอกาสพบปะกับเยาวชนที่เข้าร่วมการฝึกเพื่อต่อสู้กับกองทัพคณะรัฐประหารและขอไม่เปิดเผยชื่อ พบว่าอาสาสมัครเหล่านี้เห็นว่าความรุนแรงเป็นวิธีการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่กองทัพคณะรัฐประหารจะเข้าใจ

“พวกเขาต้องการสร้างความหวาดกลัวให้กับทหารที่เข้ามาในชุมชนเพื่อทำการจับกุม ทุบตี และทารุณกรรม บางคนเป็นเจ้าของโรงแรม บางคนเป็นเจ้าของร้านอาหาร บาร์ และตอนนี้พวกเขาทิ้งกิจการหมดแล้ว” นักกิจกรรมหญิงกล่าว

นอกจากนี้ยังมีนักเรียนแพทย์หญิงคนหนึ่งตัดสินใจเข้าป่ามารับการฝึกคนเดียวด้วย

“เธอกระตือรือร้นอย่างมากเพราะเพื่อน ๆ ของเธอถูกฆ่าตาย ที่ ๆ เธออยู่ตกอยู่ในความกลัวภายใต้กฎอัยการศึก เธอเห็นประชาชนถูกเผาทั้งเป็นอยู่ตรงหน้าเธอ ประสบการณ์แบบนั้นผลักดันให้เธอจับปืน”

แปลและเรียบเรียงจาก

Rise of armed civilian groups in Myanmar fuels fears of full-scale civil war, The Guardian, 1-6-2021


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net