อัตราส่วนของชาวอเมริกันที่ลาออกจากงานอยู่ที่ 2.7% ในเดือน เม.ย. 2564 ถือเป็นอัตราส่วนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ทั้งนี้ส่วนหนึ่งคาดหวังว่าจะได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิมหลัง COVID-19

อัตราส่วนของชาวอเมริกันที่ลาออกจากงานอยู่ที่ 2.7% ในเดือน เม.ย. 2564 ถือเป็นอัตราส่วนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา | ที่มาภาพประกอบ: Kate Haskell (CC BY 2.0)

16 มิ.ย. 2564 ในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีสัดส่วนผู้ออกจากงานมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 จากตัวเลขของกระทรวงแรงงาน 

โดยอัตราส่วนของชาวอเมริกันที่ลาออกจากงานอยู่ที่ 2.7% ในเดือน เม.ย. 2564 เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.6% ในช่วงเดียวกันของปี 2563 และยังเป็นอัตราส่วนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ตามรายงานของ The Wall Street Journal

การลาออกจากงานจำนวนมากเกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ เผชิญกับการระบาดของ COVID-19

ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้า COVID-19 ระบาดใหญ่นั้น ความกังวลส่วนใหญ่ของคนทำงาน มักจะเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงาน ท่ามกลางการเลิกจ้างและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน มีข้อมูลบ่งชี้ให้เห็นว่าคนทำงานในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่สามารถก้าวไปสู่โอกาสการจ้างงานอื่น ๆ ที่ดีกว่าเดิมได้ ซึ่งแนวโน้มนี้อาจทำให้นายจ้างขึ้นค่าจ้างและเสนอเลื่อนตำแหน่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียแรงงานที่มีความสามารถไปจากสถานประกอบการของตน

ทั้งนี้ยังไม่ชัดเจนว่าคนทำงานที่ลาออกจากงานทุกคน จะได้รับตำแหน่งงานที่ดีขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ภาวะหมดไฟในการทำงานระหว่างการระบาดใหญ่ยังเป็นที่น่ากังวลท่ามกลางวิกฤตอีกด้วย

มีผลสำรวจใน มี.ค. 2564 ชี้ให้เห็นว่าคนทำงานในสหรัฐฯ จำนวนมากต้องการลาออกจากงานเมื่อการระบาดของ COVID-19 สิ้นสุดลง

ในแบบสำรวจ Pulse of the American Worker ของ Prudential Financial ข้อมูลที่รวบรวมโดย Morning Consult ในเดือน มี.ค. 2564 แสดงให้เห็นว่า 1 ใน 4 ของคนทำงานที่ตอบแบบสำรวจระบุว่ากำลังวางแผนที่จะหาโอกาสกับงานใหม่ ๆ เมื่อวิกฤต COVID-19 สิ้นสุดลง

ในขณะเดียวกันร้อยละ 72 ที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการระบาดใหญ่ครั้งนี้ ได้กระตุ้นให้พวกเขาพิจารณาทักษะการทำงานใหม่ ๆ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งวางแผนที่จะเปลี่ยนงาน พยายามหาทางพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ในช่วงวิกฤต COVID-19 

ที่มาเรียบเรียงจาก
Americans are quitting their jobs at highest rate since 2000 (Chantal da Silva, Independent, 16 June 2021)