Skip to main content
sharethis

สปสช.จับมือโรงพยาบาลปิยะเวทและเครือข่ายองค์กรภาคเอกชน จัดตั้ง Community Isolation แก่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 1,200 คน และผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) ในชุมชน 23 แห่ง ดีเดย์ 2 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป - สปสช.แจ้ง รพ.ที่จัดรถรับผู้ป่วยโควิดกลับมารักษาที่ภูมิลำเนา เบิกค่ารถรับส่งต่อ-ค่าชุด PPE ได้ 

สปสช.จับมือโรงพยาบาลปิยะเวทและเครือข่ายองค์กรภาคเอกชน จัดตั้ง Community Isolation แก่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 1,200 คน และผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) ในชุมชน 23 แห่ง ดีเดย์ 2 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป - สปสช.แจ้ง รพ.ที่จัดรถรับผู้ป่วยโควิดกลับมารักษาที่ภูมิลำเนา เบิกค่ารถรับส่งต่อ-ค่าชุด PPE ได้ 
แฟ้มภาพ ThaiPBS

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2564 ได้มีการประชุมออนไลน์ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โรงพยาบาลปิยะเวท และองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ในการจัดตั้ง Community Isolation หรือการดูแลตนเองในระบบชุมชนแก่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงกว่า 1,200 คน ที่ยังอยู่ในระหว่างการรอเตียง และกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) ในชุมชน 23 แห่ง

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการนำเสนอแนวทางการจัดการ โดยเริ่มจากให้แกนนำ 23 ชุมชนแจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อกับทีมคอมโควิด IHRI (Community COVID Team) เมื่อมีการยืนยันว่ามีการติดเชื้อแล้ว ก็จะมีการบันทึกข้อมูลแล้วส่งลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลปิยะเวทแล้วนัดวันเอกซเรย์ปอด ขณะที่โรงพยาบาลปิยะเวทเมื่อรับผู้ป่วยแล้วก็จัดรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปตรวจผู้ป่วยในชุมชนเพื่อวินิจฉัยภาวะปอดอักเสบให้เร็วที่สุดและตรวจซ้ำทุก 3 วัน ขณะเดียวกันยังมีการประสานศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. ที่มีความพร้อมจัดหารถเอกซเรย์เพื่อเป็นทางเลือกในกรณีที่มีผู้ป่วยจำนวนมากจนทีมของโรงพยาบาลปิยะเวทให้บริการไม่ทัน 

หลังจากนั้น ทีมแกนนำชุมชนและทีมคอมโควิด IHRI จะมีการติดตามประเมินอาการ วัดไข้ วัดระดับออกซิเจนวันละ 1 ครั้งแล้วส่งข้อมูลทุกๆวัน รวมทั้งให้การดูแลเบื้องต้น เช่น ยาฟ้าทะลายโจร ยาลดไข้ จัดอาหาร 3 มื้อและให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวต่างๆระหว่างอยู่ใน Community Isolation ส่วนโรงพยาบาลจะประเมินรายวันและทำ telehealth ทุกๆ 3 วัน รวมถึงประสานงานต่างๆหากมีการเปลี่ยนแผนการดูแล 

นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า การจัดตั้ง Community Isolation จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นแกนนำชุมชนจะเริ่มสำรวจผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อหรือผู้ติดเชื้อในชุมชน และแจ้งให้รถตรวจหาเชื้อเคลื่อนที่ของโรงพยาบาลปิยะเวทมาดำเนินการตรวจให้ในชุมชน 

นพ.วิทิต อรรถเวชกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลปิยะเวท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงพยาบาลมีความพร้อมทำงานร่วมกับชุมชนและขอชื่นชมการออกแบบระบบการดูแล ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลปิยะเวทดูแลผู้ป่วยอยู่ประมาณ 2,000 กว่าราย และกำลังเตรียมขยายวอร์ดผู้ป่วยอาการปานกลาง (สีเหลือง) 200 เตียง ในเวลาไม่เกิน 10 วัน และวอร์ดผู้ป่วยอาการหนัก (สีแดง) ซึ่งจะเพิ่มทีละโมดูล โมดูลละ 12 เตียง สูงสุด 120 เตียง  

อย่างไรก็ดี ในการค้นหาผู้ป่วยจากในชุมชน บางรายอาจมีการไปตรวจด้วยตนเองมาแล้ว แต่โรงพยาบาลต้องขอตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าบางรายตรวจหาเชื้อจากแอนติเจนซึ่งได้ผลเป็น false positive หรือบางรายก็ตรวจจากคลินิกหรือห้องแล็บเอกชนที่ไม่ได้รับรองโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำให้ผลตรวจไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าตรวจจากโรงพยาบาลรัฐ ด้วยวิธี RT-PCR ก็จะรับเข้าเป็นผู้ป่วยในเลยโดยไม่ต้องตรวจซ้ำ 

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จากกระบวนการทั้งหมด สปสช.จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยสนับสนุนค่าอาหารวันละ 1,000 บาทและค่าอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและอุปกรณ์วัดระดับออกซิเจนตามจริงไม่เกิน 1,100 บาท/ราย รวมทั้งค่าบริหารจัดการอื่นๆและค่ารถ ค่าเอกซเรย์ ค่า SWOP และค่าตรวจ RT-PCR ตามหลักเกณฑ์

สปสช.แจ้ง รพ.ที่จัดรถรับผู้ป่วยโควิดกลับมารักษาที่ภูมิลำเนา เบิกค่ารถรับส่งต่อ-ค่าชุด PPE ได้

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ขณะนี้มีจำนวนคนไข้ปริมาณมาก จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายกับที่เข้ามาใหม่ไม่สมดุลกันทำให้เตียงว่างมีไม่พอ การเพิ่มโรงพยาบาลสนามไม่ทันกับการเพิ่มจำนวนของคนไข้ในช่วงนี้ ทำให้มีผู้ป่วยรอเตียงอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้มีหลายจังหวัด รวมทั้งโรงพยาบาลและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ประกาศรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการรักษาให้กลับมารักษาตามภูมิลำเนาของตนหรือต่างพื้นที่ได้ โดยโรงพยาบาลจะรับผู้ป่วยเหล่านี้รักษาต่อแบบผู้ป่วยใน  

นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า วานนี้ (2 กรกฎาคม 2564) สปสช.ได้ทำหนังสือแจ้งเวียนถึงโรงพยาบาลทุกแห่งว่า โรงพยาบาลหรือหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ดำเนินการจัดให้มีรถพยาบาลหรือพาหนะรับส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อ สามารถขอรับค่าใช้จ่ายมายัง สปสช.ได้ดังนี้ 

1.ค่าพาหนะรับส่งต่อผู้ป่วย อัตราจ่ายเป็นไปตามคู่มือแนวทางปฏิบัติในการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของสำนักงาน โดยกรณีใช้รถยนต์ จ่ายชดเชยตามระยะทางกรมทางหลวงไป - กลับ โดยจ่ายชดเชยที่คำนวณได้แต่ไม่เกินที่เรียกเก็บ ดังนี้ 

1.1 ระยะทางไปกลับ ไม่เกิน 50 กิโลเมตร จ่ายชดเชยตามจริงไม่เกิน 500 บาท 

1.2 ระยะทางไปกลับ มากกว่า 50 กิโลเมตร จ่ายชดเชยเริ่มต้น 500 บาท และจ่ายชดเชยเพิ่มกิโลเมตรละ 4 บาท 

2.ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE) รวมค่าทำความสะอาดฆ่าเชื้อพาหนะ จ่ายตามจริงไม่เกิน 3,700 บาทต่อครั้งที่มีการรับส่งต่อผู้ป่วย 

“โรงพยาบาลที่พร้อมรับผู้ป่วยโควิด-19 กลับไปรักษาตามภูมิลำเนา ท่านสามารถจัดรถมารับผู้ป่วยได้ทันที และเบิกจ่ายค่าพาหนะรับส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงค่าชุด PPE และค่าทำความสะอาดฆ่าเชื้อมาที่ สปสช.ได้ ในส่วนของผู้ป่วยนั้น ท่านสามารถติดต่อโรงพยาบาลตามภูมิลำเนาของท่านได้เลยเพื่อประสานการรับส่งต่อกลับมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนั้น เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ ย้ำว่าไม่ควรเดินทางโดยพลการหรือเดินทางมาเอง เพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากโรงพยาบาลไม่สามารถนำรถมารับผู้ป่วย สามารถใช้รถอาสาสมัคร รถมูลนิธิ ที่มีความแข็งแรง ปลอดภัย โดย รพ.เป็นผู้เบิกค่ารับส่งต่อกับ สปสช.ได้เช่นเดียวกัน” เลขาธิการ สปสช. กล่าวและว่า ผู้ป่วยที่ต้องการกลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนา สามารถประสานได้ที่หมายเลขสายด่วน สปสช.1330 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net