Skip to main content
sharethis

เครือข่ายภาคประชาสังคมและนักวิชาการ ยื่นหนังสือต่อ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ-พิธา ในฐานะสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเสนอ 9 ข้อ แก้ไขวิกฤตมนุษยธรรมผู้ลี้ภัยชายแดนและผู้ลี้ภัยในเขตเมือง ด้านหัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ควรนำมาใช้ให้เร็วที่สุด

 

8 ก.ค. 64 ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้รับแจ้งวันนี้ (8 ก.ค.) ระบุเวลาประมาณ 14.30 น. เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและนักวิชาการในนามคณะทำงานภาคประชาสังคมติดตามการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยจากประเทศเมียนมา ยื่นหนังสือข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตมนุษยธรรมแก้ผู้หนีภัยการสู้รบหรือผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ และผู้ลี้ภัยในเขตเมืองจากประเทศเมียนมา ณ อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) ต่อ พล.ต.ต. สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR)

สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง กล่าวว่า การมายื่นครั้งนี้เป็นการมาเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรมต่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในเขตชายแดนไทย และผู้ลี้ภัยในเขตเมือง โดยก่อนหน้านี้ทางเครือข่ายฯ เคยยื่นจดหมายลักษณะนี้ไปแล้วหลายครั้งนับตั้วแต่เดือน เม.ย. แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ 

วิชัย จันทวาโร เจ้าหน้าที่มูลนิธิเสมสิกขาลัย กล่าวสรุปสถานการณ์ สภาพปัญหา ไปจนถึงจำนวนผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา อันเกิดจากจากการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมา และกองกำลังชาติพันธุ์ โดยนับแต่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ว่า ขณะนี้ทั่วประเทศเมียนมามีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมาแล้วกว่า 226,800 คน โดยผู้พลัดถิ่นส่วนใหญ่ราว 177,500 หรือมากกว่า 1 ใน 3 อยู่ในบริเวณรัฐกะเหรี่ยง และรัฐคะยา หรือรัฐคะเรนนี โดยผู้พลัดถิ่นบางส่วนเข้ามาหลบภัยในเขตประเทศไทย โดยที่พวกเขาต้องประสบกับความยากลำบากในการหนีภัยสงครามในเขตพื้นที่ป่าเขา ทั้งยังขาดแคลนปัจจัยการดำรงชีวิตอย่างมาก ทั้งที่พักพิงที่ปลอดภัย อาหาร น้ำสะอาดสำหรับบริโภค ไปจนถึงการเข้าถึงระบบสาธารณสุขและสุขอนามัย ยิ่งไปกว่านั้น แม้รัฐไทยจะมีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่พบว่าเจ้าหน้าที่รัฐไทยมีการดำเนินการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปยังเขตรัฐกะเหรี่ยง และรัฐคะยาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีการสู้รบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น กองทัพเมียนมายังคงปราบปราม ผู้พลัดถิ่น และผู้ลี้ภัยยังคงต้องการความช่วยเหลือ

วิชัย จันทวาโร เจ้าหน้าที่มูลนิธิเสมสิกขาลัย
 

กรกนก วัฒนภูมิ ตัวแทนเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ ได้นำเสนอข้อเสนอแนะ 9 ข้อ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขวิกฤตมนุษยธรรมในเขตพื้นที่ชายแดนและผู้ลี้ภัยในเขตเมือง (urban refugee) ได้แก่

1) รัฐไทยจะต้องไม่ผลักดันผู้หนีภัยสงครามและผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย

2) รัฐไทยต้องไม่ปิดกั้นและควรอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคประชาชนไทยที่ประสงค์จะช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยจากประเทศเมียนมา

3) รัฐไทยต้องรับรองคณะทำงานเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย - เมียนมา 

4) รัฐไทยต้องไม่ปฏิเสธการขอเข้าลี้ภัยโดยอ้างเหตุแห่งการระเบิดของโรคโควิด-19 ต้องเปิดให้ผู้ลี้ภัยได้อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่รัฐจัดไว้รองรับตามหลักมนุษยธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชน

5) รัฐไทยควรอนุญาตให้สิทธิอาศัยชั่วคราวแก่ผู้ลี้ภัยควรอนุญาตให้สิทธิอาศัยชั่วคราวแก่ผู้ลี้ภัย เพื่อที่ผู้ลี้ภัยจะสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย

6) รัฐต้องให้ผู้ลี้ภัยสามารถเข้าถึงทนายความได้หากมีการจับกุมและถูกดำเนินคดี

7) ผู้ลี้ภัยควรสามารถเข้าถึงกลไกการคัดกรองและมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ได้รับสถานะผู้ได้รับการคุ้มครองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้

8) รัฐต้องดำเนินการให้มีมาตรการในการดูแลเพื่อให้เข้าถึงการตรวจคัดกรองโรค การรักษาโรค รวมทั้งการได้รับวัคซีนป้องกันโรค เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

9) รัฐไทยควรดำเนินการให้ผู้ลี้ภัยสามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ด้วยความสมัครใจ มีความพร้อม และเมื่อมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และสมาชิกรัฐสภาอาเซียน

ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะสมาชิกรัฐสภาอาเซียน ได้มารับฟังสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับมีข้อเสนอแนะ 4 ข้อ ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตมนุษยธรรมชายแดนและการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในเขตเมือง ได้แก่ 

1) ในแง่การต่างประเทศ รัฐบาลไทยต้องให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ที่สำคัญคือต้องยึดหลักการไม่ผลักดันกลับ (Non-refoulement) นั่นคือการยืนยันว่าจะไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปพบเจอกับอันตรายหรือสงคราม

2) นำหลักการระเบียงมนุษยธรรม หรือ humanitarian corridor เพื่อเปิดให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในรูปของปัจจัย 4 ได้ ของทั้งสองประเทศ

3) รัฐไทยควรทำการตัดงบประมาณแผ่นดินในส่วนการสนับสนุนและการให้ความช่วยเหลือโครงการโครงสร้างพื้นฐานและเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศเมียนมาออกไปก่อน เนื่องจากเมียนมายังอยู่ในสถานการณ์ความไม่สงบ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ในเมียนมา การให้งบประมาณช่วยเหลือต่อเมียนมาในขณะนี้ จึงอาจไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาขนที่ถูกจัดสรรในส่วนนี้

4) ในส่วนของการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและการรับรองสถานะบุคคลที่เกี่ยวกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับปนะเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ ทีมกฎหมายของพรรคก้าวไกลกำลังติดตามอยู่ ทางพรรคจะผลักดันให้มีกฎหมายมารองรับอย่างถูกต้องและรวดเร็ว

นอกจากนี้ นายพิธา กล่าวด้วยว่าควรมีการนำฉันทามติ 5 ข้อ ที่เกิดจากการประชุมนัดพิเศษผู้นำอาเซียน กรณีเมียนมา มาใช้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุด เพราะขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เกิดขึ้น และในฐานะ ส.ส.ไทย และ ส.ส.อาเซียน จะติดตามการดำเนินงานตามฉันทามติทั้ง 5 ข้ออย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนต่อการคลี่คลายวิกฤตการเมืองในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 64 ประกอบด้วย

1) หยุดยั้งการใช้ความรุนแรงในประเทศพม่าโดยทันที และขอเรียกร้องทุกฝ่ายให้ใช้ความยับยั้งชั่งใจขั้นสูงสุด 

2) ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้กระบวนการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ ในการแก้ปัญหาวิกฤติพม่าอย่างสันติ เพื่อประโยชน์ของประชาชน 

3) ผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียนจะทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานงานการเจรจา โดยมีผู้ช่วยเลขาธิการอาเซียนให้ความช่วยเหลือ 

4) อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผ่านศูนย์ประสานงานเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ หรือ AHA 

5) สุดท้าย ผู้แทนพิเศษ และคณะผู้แทน จะเดินทางเยือนประเทศพม่า เพื่อพบปะกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในวิกฤตการณ์ครั้งนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่ประชุมอาเซียนเสนอมติ 5 ข้อเรียกร้องยุติความรุนแรงในพม่า 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net