ปรับแผน 'ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์' คุมเข้มหลังพบสายพันธุ์เดลต้า-เบต้า

จ.ภูเก็ต ประชุมคณะกรรมควบคุมโรคติดต่อ ปรับแผน ''ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์'' คุมเข้มเข้า-ออก หลังวันที่ 9 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อใหม่ 10 ราย นอกจากนี้ยังพบมีสายพันธุ์เดลต้าและเบต้า


แฟ้มภาพการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ในโครงการ “Phuket Sandbox” ที่สนามบินนานาชาติภูเก็ตเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2564 

เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2564 ภูเก็ตประชุมคณะกรรมควบคุมโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 41/2564 พบวันนี้มีผู้ติดเชื้อ 10 รายทั้งหมดได้มีการเข้ารับการรักษาแล้วส่วนผู้ที่ใกล้ชิดก็มีการกักตัวทุกคนแล้ว ทั้งนี้นายแพทย์กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต  ได้รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของจังหวัดภูเก็ต ว่าล่าสุดมีผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ณ เวลา 15.00 น. วันที่ 9 ก.ค. 2564 จำนวน 10 ราย โดยเป็นตัวเลขผู้ป่วยที่สูงสุดในรอบหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งมีตัวเลขหลักเดียว  จึงทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังไม่น่าไว้วางใจมากนัก เนื่องจากขณะนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ที่อยู่นอก LQ หรือไม่อยู่ในระบบกักตัว และส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่นส่วนผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็มีการกักตัวทุกคนแล้ว

อย่างไรก็ตามนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนของการเฝ้าระวังนั้น เนื่องจากปัจจุบันพบว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ในกรุงเทพมหานครฯ และปริมณฑลค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยสูงกว่า 32% เฉพาะกรุงเทพมหานครฯ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70%  และขณะนี้ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต มีรายงานยืนยันผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) แล้ว 1 คน ซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาแล้ว 5 วัน 

นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์เบต้า (แอฟริกา) เพิ่มอีก 4 ราย จากเดิมมี 2 ราย โดยทั้งหมดเดินทางมาจาก 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดและมีความเสี่ยงสูงได้นำเข้าระบบกักตัวแล้วทั้งหมด

ทั้งนี้จึงขอให้ประชาชนได้มีการป้องกันตามมาตรการที่ทางราชการกำหนดโดยเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ต่อไป

ในที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อได้มีการหารือถึงประเด็นมาตรการการคัดกรองบุคคลเข้าจังหวัดภูเก็ต กรณีของนักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี (ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้) ให้สถานศึกษา หรือศึกษาธิการจังหวัด ออกบัตรประจำตัวเป็นรูปแบบเดียวกัน แสดงต่อเจ้าหน้าที่เดินทางเข้า – ออก จังหวัด และให้ทำการตรวจด้วยวิธีสุ่มตรวจตัวอย่างน้ำลายและออกใบรับรองการตรวจ ใช้ได้ไม่เกิน 1 เดือน

นอกจากนี้ การเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตของคนไทยจากต่างจังหวัด หรือต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย ที่กำหนดต้องได้รับวัคซีนครบ 2เข็ม หรือ AZ 1 เข็ม มาไม่ต่ำกว่า14 วัน หรือหายจากโควิทไม่เกิน 90 วันแล้วนั้น ได้มีการพิจารณาว่า ต้องได้รับการตรวจ RT- PCR หรือ วิธีการ Antigen Test ไม่เกิน 7 วันเหมือนกับคนต่างชาติด้วย 

นอกจากนี้ที่ผ่านมาได้พบปัญหาผู้ติดเชื้อที่จงใจปกปิดข้อมูลการเดินทางหรือแจ้งข้อมูลเป็นเท็จ อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ และอาจมีความผิดตาม พรบ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558

รวมถึงพิจารณาให้โรงเรียน ดำเนินการปิด และเรียนออนไลน์ เนื่องจากมีสถิติพบการติดเชื้อของเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ความน่าจะเป็นของการตรวจผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต พบว่าแนวโน้มของการตรวจพบผู้ติดเชื้อ 100 คน คาดว่าจะพบ 7 คน ดังนั้นมีแนวโน้มพบการติดเชื้อมากขึ้น โดยเฉพาะการระบาดใหม่เป็นของสายพันธุ์เดลต้า หรือสายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์นี้มีความร้ายกาจและน่ากลัวที่สุด เนื่องจากสามารถแพร่เชื้อได้เร็วมาก เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟ่า จึงขอให้การจัดงานของ ททท. ให้เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด

สั่งปิดเรียน-ปรับแผนแซนด์บอกซ์

ภายหลังการประชุมนายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ลงนามคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 3859/2564 ปิดสถานศึกษา มีผลตั้งแต่วันที่ 12-23 ก.ค. 2564

และลงนามคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 3858/2564 ปรับปรุงคำสั่ง Phuket Tourism Sandbox” โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หลังการเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ 8 วัน

สาระสำคัญของคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 3858/2564  เรื่อง กำหนดมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่องเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต (Phuket Tourism Sandbox)

ข้อ 1 มาตรการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ทางท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ของผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นจังหวัดนำร่องเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล 

มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

1. ให้หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงหรือสถานที่ชุมชนไม่น้อยกว่า 14 วัน

2. ต้องเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศ/พื้นที่ซึ่ง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (ศบค.) หรือศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเดินทางเข้า – ออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ อนุมัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดโดยการเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และได้มีการลงทะเบียนผ่านระบบหรือเว็บไซต์ที่ทางราชการกำหนด ทั้งนี้ ผู้เดินทางจะต้องอยู่ในประเทศดังกล่าวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วันก่อนออกเดินทาง เว้นแต่ผู้ที่พำนักอยู่ในราชอาณาจักรซึ่งได้เดินทางออกจากราชอาณาจักรและได้เดินทางไปยังประเทศ/พื้นที่ที่ได้รับอนุมัติข้างต้น โดยให้มีเอกสารที่ใช้ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ดังนี้

(1) หนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (Certificate of Entry – COE)

(2) ใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด – 19 (Medical certificate with a laboratory result indicating that COVID – 19 is not detected) โดยวิธีการ RT–PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง

(3) กรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลหรือหลักประกันอื่นใดซึ่งรวมถึงกรณีโรคโควิด – 19 ตลอดระยะเวลาที่ผู้เดินทางอยู่ในราชอาณาจักรในวงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

(4) หลักฐานการชำระค่าที่พักและค่าตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT–PCR โดยระบุระยะเวลาเข้าพักไม่น้อยกว่า 14 คืน ในโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ (SHA Plus) ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกำหนด 

สำหรับกรณีที่ผู้เดินทางพำนักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลาน้อยกว่า 14 คืน ให้มีบัตรโดยสารของสายการบินที่ระบุห้วงระยะเวลาในการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลักฐานการชำระเงินค่าที่พักและค่าตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT–PCR ในห้วงเวลาดังกล่าว

(5) เอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนกำหนด ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง ทั้งนี้ สำหรับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน และเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ให้มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด – 19 (Medical certificate with a laboratory result indicating that COVID – 19 is not detected) โดยวิธีการ RT–PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง

4. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ ณ ช่องทางเข้า – ออกระหว่างประเทศ/พื้นที่ต้นทาง ก่อนออกเดินทาง (Exit screening)

มาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร ได้แก่  1. มาตรการตรวจคัดกรองอาการและการดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง  (1) กรณีเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงมายัง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้า – ออกระหว่างประเทศ ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

(2) กรณีเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยสายการบินที่ไม่มีเที่ยวบินตรงและต้องเดินทางโดยทางอากาศต่อมายังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ให้ผู้เดินทางดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

ก. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และให้ยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้า – ออกระหว่างประเทศจุดแรกที่มีการเดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักร ก่อนเดินทางมายังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

ข. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และให้ยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้า – ออกระหว่างประเทศหรือในพื้นที่ของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

2. ให้ใช้ระบบติดตามตัวโดยติดตั้งแอปพลิเคชัน Morchana หรือตามที่ทางราชการกำหนดโดยให้เปิดระบบติดตามดังกล่าวไว้ตลอดเวลา เพื่อเฝ้าระวังติดตามอาการระหว่างที่ผู้เดินทางพำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต

3. ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR ณ สถานที่ที่ทางราชการกำหนดโดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

(1) ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR จำนวน 1 ครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยห้ามเดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พักจนกว่าจะมีผลการตรวจยืนยันว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด – 19

(2) ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR เพิ่มเติมจากข้อ 3 (1) ดังนี้

ก. กรณีพำนักอยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 7 วัน ให้มีการตรวจหาเชื้อ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6 – 7 ของระยะเวลาที่พำนัก ณ โรงแรมที่พักอาศัยหรือห้องปฏิบัติการ (Lab นอก) โดยโรงพยาบาลคู่สัญญา

ข. กรณีพำนักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นระยะเวลา 10 – 14 วัน ให้มีการตรวจหาเชื้อ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6 – 7 และครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 12 – 13 ของระยะเวลาที่พำนัก ณ โรงแรมที่พักอาศัยหรือห้องปฏิบัติการ (Lab นอก) โดยโรงพยาบาลคู่สัญญา

4. ให้เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตในช่องทางที่กำหนด ไปยังโรงแรมหรือสถานที่พักโดยยานพาหนะที่จัดไว้เป็นการเฉพาะและต้องไม่มีการแวะหรือหยุดพัก ณ สถานที่ใดๆ ก่อนถึงโรงแรมหรือสถานที่พัก

ทั้งนี้ ในกรณีพบว่าผู้เดินทางมีการติดเชื้อโรคโควิด – 19 ให้โรงแรมหรือสถานที่พักดำเนินการประสานส่งตัวผู้เดินทางไปยังสถานพยาบาลคู่สัญญาตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกำหนดโดยเร่งด่วนเพื่อทำการตรวจหรือรักษาต่อไป โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด หรือเป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายระหว่างโรงแรมหรือสถานที่พักกับผู้เดินทาง

5. กรณีผู้เดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พักหลักจากทราบผลการตรวจยืนยันแล้วว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด – 19 ให้ผู้เดินทางรายงานตัวกับ SHA Plus Manager เมื่อกลับมายังโรงแรมหรือสถานที่พักทุกวันตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือตามที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกำหนด โดยห้ามไปพำนักค้างคืนในสถานที่อื่นนอกเหนือจากโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้กำหนดไว้ และให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ราชการกำหนดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่พำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต

6. กรณีผู้เดินทางพำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลาน้อยกว่า 14 คืน ห้ามผู้เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเด็ดขาด ยกเว้นเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเท่านั้น

7. กรณีผู้เดินทางพำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 คืน ให้สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว

ข้อ 2 ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและประสงค์จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดอื่น หรือเดินทางออกนอกราชอาณาจักรทางอากาศ (ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต) ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้

นักท่องเที่ยวที่พำนักในจังหวัดภูเก็ตครบกำหนด 14 คืน และประสงค์จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต ให้แสดงเอกสารหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ ณ ด่านตรวจช่องทางขาออก ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศหรืออาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ดังต่อไปนี้

1. หนังสือเดินทางและวีซ่าที่ตรวจลงตราโดย ตม.ท่าอากาศยานภูเก็ตขาเข้า (ยกเว้นผู้มีสัญชาติไทย)

2. หลักฐานยืนยันการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 แสดงว่าตรวจไม่พบเชื้อโรคโควิด – 19 ตลอดระยะเวลา 14 คืน ที่พำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งออกโดยหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข

3. หลักฐานการเข้าพักในโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ (SHA Plus)

ข้อ 3 ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและประสงค์จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตเพื่อเดินทางไปยังจังหวัดอื่น ทางบกและทางเรือ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้

ส่วนด่านทางบก (ด่านตรวจท่าฉัตรไชย) ผู้ที่ประสงค์เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ต้องมีเอกสารยืนยันการผ่านวิธีการที่ทางราชการกำหนด โดยมีการลงตราในใบเอกสารแนบในหนังสือเดินทางแสดงถึงระยะเวลาที่ต้องพำนักในจังหวัดภูเก็ต 

หลักฐานยืนยันการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 ที่แสดงว่าตรวจไม่พบเชื้อโรคโควิด – 19 ตลอดระยะเวลา 14 คืน ที่พำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งออกโดยหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข 

และหลักฐานยืนยันการเข้าพักในโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ (SHA Plus) ในจังหวัดภูเก็ตมาแล้วเป็นระยะเวลา 14 คืน

ทางเรือ (ท่าเทียบเรือ) กำหนดให้ 1. ให้ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและพำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ตตามกำหนด 14 คืน ที่ประสงค์จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตทางเรือ สามารถเดินทางโดยเรือโดยสารออกจากท่าเทียบเรือที่กำหนด ดังนี้

(1) ท่าเทียบเรืออ่าวปอ ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

(2) ท่าเทียบเรือรัษฎา ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

(3) ท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

ในกรณีที่จะเดินทางโดยเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) หรือเรือที่มีลักษณะเป็นเรือสำราญและกีฬาที่จดทะเบียนประเภทบรรทุกคนโดยสาร ให้เดินทางออกจากท่าเรือที่กำหนด ดังนี้

(1) ท่าเทียบเรือยอร์ช เฮเว่น มารีน่า ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

(2) ท่าเทียบเรืออ่าวปอ แกรนด์ มารีน่า ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

(3) ท่าเทียบเรือภูเก็ต โบ๊ทลากูน ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

(4) ท่าเทียบเรือรอยัล ภูเก็ต มารีน่า ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

(5) ท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

โดยต้องแจ้งเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต หรือศูนย์ปฏิบัติการติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต (ศปก.Phuket Sandbox) ก่อนออกเดินทางไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง

2. ผู้เดินทางต้องแสดงหลักฐาน ดังต่อไปนี้

(1) หนังสือเดินทางและวีซ่าที่ตรวจลงตราโดย ตม.ท่าอากาศยานภูเก็ตขาเข้า (ยกเว้นผู้มีสัญชาติไทย)

(2) หลักฐานยืนยันการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 แสดงว่าตรวจไม่พบเชื้อโรคโควิด – 19 ตลอดระยะเวลา 14 คืน ที่พำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งออกโดยหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข

(3) หลักฐานการเข้าพักในโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ (SHA Plus)

ข้อ 4 กรณีผู้เดินทางมาจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเดินทางท่องเที่ยวในน่านน้ำจังหวัดภูเก็ตจะต้องเดินทางออกจากท่าเรือที่กำหนด คือ ท่าเทียบเรืออ่าวปอ, ท่าเทียบเรือรัษฎา, ท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง, ท่าเทียบเรือยอร์ช เฮเว่น มารีน่า, ท่าเทียบเรืออ่าวปอ แกรนด์ มารีน่า, ท่าเทียบเรือภูเก็ต โบ๊ทลากูน และท่าเทียบเรือรอยัล ภูเก็ต มารีน่า ผู้เดินทางจะต้องปฏิบัติ ดังนี้

1. ลงทะเบียนระบบติดตามตัวโดยการรายงานตัวผ่านแอปพลิเคชันตามที่ทางราชการกำหนด

2. เรือโดยสารจะต้องติดตั้งระบบแสดงตนอัตโนมัติ (AIS ไม่ต่ำกว่า Type  และติดตั้งวิทยุสื่อสาร VHF พร้อมเปิดใช้งานตลอดเวลาและให้เป็นไปตามกฎหมายกรมเจ้าท่า

3. เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ ต้องแจ้งเรือเข้า – ออกท่าเรือ ตามแบบรายงานพร้อมเอกสารให้เจ้าหน้าที่ตามข้อ 2 ตรวจสอบก่อนปล่อยเรือออกจากท่า หรือเมื่อเรือเข้าเทียบท่าเสร็จเรียบร้อย ซึ่งประกอบด้วยเอกสาร ดังต่อไปนี้

3.1 แบบรายงานเรือเข้า – ออกท่าเทียบเรือ

3.2 บัญชีรายชื่อผู้โดยสารและคนประจำเรือ

3.3 บัญชีผู้เอาประกันภัยหรือกรมธรรม์และความถูกต้องตรงกันของผู้โดยสารที่ลงเรือ (ถ้ามี)

4. ให้ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ ลูกเรือ พนักงานในเรือและผู้โดยสาร ถือปฏิบัติตามประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 8/2564 ลงวันที่ 11 ม.ค. 2564 เรื่อง กำหนดให้ผู้ประกอบการเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ เจ้าของเรือ ผู้ควบคุมเรือและผู้โดยสารปฏิบัติ กรณีที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ในข้อที่มิได้กำหนดไว้ในประกาศนี้อย่างเคร่งครัด

กรณีที่ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต ไม่สามารถแสดงหลักฐาน ณ ด่านตรวจทางบก (ท่าฉัตรไชย) ด่านตรวจทางเรือ (ท่าเรือที่กำหนด) จะไม่สามารถเดินทางออกนอกเขตจังหวัดภูเก็ตได้ทุกกรณี ยกเว้นจะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตเพื่อออกจากราชอาณาจักรไทยทางท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตเท่านั้น

ข้อ 5 จังหวัดภูเก็ตจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการควบคุมการเปิดเมืองเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว Phuket Tourism Sandbox ทำหน้าที่บริหารจัดการ มอบหมายภารกิจ กำกับติดตามการเดินทางเข้า – ออก จังหวัดภูเก็ต ของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย ทั้งที่เดินทางจากต่างประเทศและภายในประเทศ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาจนกระทั่งเดินทางออกจากจังหวัด รวมถึงจัดระบบติดตามผลการปฏิบัติงาน ข้อมูลการเข้า – ออกของนักท่องเที่ยว การเฝ้าระวังและติดตาม ประเมินสถานการณ์การติดเชื้อ ข้อร้องเรียน หรือข้อคิดเห็นของประชาชน ปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติและแนวทางแก้ไข เพื่อรายงานให้ ศปก.ศบค. และผู้บริหารระดับสูงทราบอย่างต่อเนื่องโดยให้จัดระบบการสื่อสารเชื่อมโยงกับสถานที่สำคัญ ได้แก่

1. ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานภูเก็ต

2. ด่านตรวจคนเข้าเมืองทางบก (ด่านตรวจท่าฉัตรไชย)

3. ด่านตรวจคนเข้าเมืองทางน้ำ

4. ศูนย์ประสานงานโรงพยาบาลรัฐและเอกชน (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด)

5. ตำรวจภูธรจังหวัด ตำรวจน้ำ และตำรวจท่องเที่ยว

6. ศูนย์ประสานงานโรงแรม/ที่พัก (SHA Plus Manager)

7. ศูนย์ประสานงานสถานประกอบการ SHA+ (SHA Plus) (สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด)

8. ศรชล.จังหวัดภูเก็ต

9. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลภาคใต้ และ บจม.โทรคมนาคมแห่งชาติ

ข้อ 6 ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต จัดทำแผนรับมือและแผนการชะลอหรือยกเลิกโครงการ

กรณีมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 90 รายต่อสัปดาห์ มีลักษณะการกระจายโรคในจังหวัดทั้ง 3 อำเภอ และมากกว่า 6 ตำบล และมีการระบาดเกิน 3 คลัสเตอร์ หรือมีการระบาดในวงกว้างที่หาสาเหตุหรือความเชื่อมโยงไม่ได้ มีผู้ติดเชื้อครองเตียงตั้งแต่ร้อยละ 80 ของศักยภาพ โดยจะมีมาตรการปรับเปลี่ยน 4 ระดับ ดังนี้

1. ปรับลดกิจกรรม

2. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับสถานการณ์ (Sealed Route)

3. มาตรการกักตัวภายในสถานที่พัก Hotel Quarantine

4. ทบทวนยุติโครงการ Phuket Sandbox

ข้อ 7 การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือมาตรการ

1. กรณีคนต่างด้าวผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

(1) การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 อาจมีโทษตามมาตรา 51 และมาตรา 52

(2) การฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงวันที่ 29 มิ.ย. 2564 อาจมีโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

(3) การฝ่าฝืนคำสั่งตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและหลักเกณฑ์การดำเนินการซึ่งทางราชการกำหนด เช่น การเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดภูเก็ตก่อนระยะเวลา 14 คืน หรือตามที่กำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการไม่ให้ความร่วมมือเข้ารับการรักษา เป็นต้น อาจเป็นเหตุแห่งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 36 และอาจพิจารณาไม่อนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร ตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 ลงวันที่ 27 พ.ย. 2558 เรื่อง การไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักร

2. กรณีบุคคลผู้มีสัญชาติไทย

(1) การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 อาจมีโทษตามมาตรา 51 และมาตรา 52

(2) การฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2564 อาจมีโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

3. กรณีผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ผู้นำเที่ยว หรือมัคคุเทศก์ รวมถึงเจ้าของพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ หรือคนประจำพาหนะที่นำคนต่างด้าวโดยสารไปด้วย

(1) การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 อาจมีโทษตามมาตรา 51 และมาตรา 52

(2) การฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงวันที่ 29 มิ.ย. 2564 อาจมีโทษตามมาตรา 18แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

(3) การฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและหลักเกณฑ์การดำเนินการซึ่งทางราชการกำหนด อาจถูกพักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา 45 หรืออาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 แล้วแต่กรณี หากเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

สั่ง ณ วันที่ 9 ก.ค. 2564

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท