องค์กรนานาชาติอาร์ติเคิล 19 (ARTICLE 19) ร่วมกับ 16 องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเพิกถอนคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ซึ่งคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพออนไลน์ของประชาชนชาวไทย
4 ส.ค. 2564 อาร์ติเคิล 19 (ARTICLE 19) ร่วมกับ 16 องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างเทศออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยที่ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการระงับเนื้อหาหรือข้อความที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัวหรือข้อความที่มีเจตนาบิดเบือน ทั้งยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการเอาผิดผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาลบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งทางอาร์ติเคิล 19 ระบุว่าจ้อกำหนดดังกล่าวของรัฐบาลไทยนั้นมุ่งโจมตีเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
องค์กรทั้งหมดที่ร่วมลงนามในส่วนท้ายของแถลงการณ์ฉบับนี้กังวลว่าข้อกำหนดดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่จำเป็น ไม่ได้สัดส่วน และเป็นข้อบังคับที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันและต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ทั้งหมดนี้ขัดต่อสิทธิในการแสวงหาและรับรู้ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงส่งต่อข้อมูลและแนวคิดต่างๆ ของประชาชน
ข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2564 นั้นเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 27 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2564 โดยในข้อ 11 ของข้อกำหนดดังกล่าวได้ระบุถึง “มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า... การเสนอข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 9(3) แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548” นอกจากนี้ ข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ซึ่งประกาศออกมาเพิ่มเติมยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการระงับเนื้อหาหรือข้อความที่เผยแพร่บนโลกกออนไลน์ รวมถึงให้อำนาจในการตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
อาร์ติเคิล 19 ระบุว่าข้อกำหนดนี้ใน พ.ร.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2560 ทั้งยังขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นปกป้องและเคารพสิทธิเสรีภาพด้านการแสดงออกและการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร โดยประเทศไทยเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้มาตั้งแต่ 29 ต.ค. 2539 นอกจากนี้ ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ของไทยยังบ่อนทำลายสิทธิด้านสาธารณสุขที่ไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) สนธิสัญญาฉบับนี้ระบุว่าประเทศที่ร่วมลงนามต้องรับประกันการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสาธารณสุขของประชาชน รวมถึงรับประกันสิทธิในการแสวงหา รับรู้ และเผยแพร่ข้อมูลหรือแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีเกิดโรคระบาด
อาร์ติเคิล 19 กล่าวเพิ่มเติมในแถลงการณ์ว่า คำว่า “ความกลัว”, “ความมั่นคง”, “ความสงบเรียบร้อย” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ที่เขียนไว้ในข้อกำหนดดังกล่าวนั้นมีความหมายที่ ‘คลุมเครือ’ และ ‘กว้างเกินไป’ ในการตีความ อีกทั้งยังไม่สามารถระบุขอบเขตของการตีความได้อย่างชัดเจน และไม่มีข้อจำกัด หรือคำนิยามใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดหลักการทางกฎหมายของสนธิสัญญา ICCPR ที่ไทยเคยลงนามไว้
นอกจากนี้ เงื่อนไขข้อข้อกำหนดฉบับนี้ยังไม่สอดคล้องกับหลักการแห่งความได้สัดส่วนและความจำเป็น เนื่องจากบุคคลใดก็ตามที่ละเมิดข้อกำหนดนี้อาจต้องรับโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 2 ปี หรือถูกปรับสูงสุดไม่เกิน 40,000 บาท และหากเป็นข้อความที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ถือว่าสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีอำนาจในการพิจารณาระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตเลขที่อยู่ไอพี (IP address) ที่เผยแพร่ข้อความ
ทั้งนี้ อำนาจของ กสทช. ได้ที่รับจากข้อกำหนดดังกล่าวถือว่ามีความย้อนแย้งกับหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งระบุไว้ว่าการระงับเนื้อหาหรือข้อมูลใดๆ ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ แต่ กสทช. ไม่ใช่หน่วยงานที่มีอำนาจในการตัดสินหรือพิจารณาคดี ข้อกำหนดนี้จึงถือว่าขัดต่อหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงขัดต่อหลักการของกฎหมายโดยทั่วไป
ถึงแม้ว่าการต่อสู้กับข้อมูลเท็จ (Disinformation) ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 จะมีความจำเป็น แต่จุดประสงค์นี้ควรดำเนินการโดยยึดหลักการแห่งความได้สัดส่วน และต้องมีคำนิยามที่ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย รวมถึงต้องสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ วิธีการที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จและเกินขอบเขตอย่างการลงโทษหนักทางอาญา ค่าปรับที่สูง และการระงับ IP address ถือว่าขัดต่อหลักการตั้งแต่เริ่มต้น
ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ที่รัฐบาลไทยนำมาใช้ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนนั้นไม่ต่างอะไรจากกฎหมายฉบับอื่นๆ เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ ม.112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เจ้าหน้าที่รัฐของไทยบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ และกล่าวหาประชาชนที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวว่า “เผยแพร่ข่าวปลอม” ทั้งๆ ที่พวกเขาแค่แสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเท่านั้น
ในวันที่ 27 ก.ค. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊กกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้มาตรการในข้อกำหนดดังกล่าวอย่างจริงจังต่อสื่อมวลชน คนมีชื่อเสียง และผู้ใช้สื่อทั่วไป ก่อนหน้านี้ในวันที่ 14 ก.ค. 2564 องค์การเภสัชกรรมยื่นฟ้อง นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ในข้อหาหมิ่นประมาท หลังจากที่ นพ.บุญ แสดงความคิดเห้นต่อการบริหารจัดการวัคซีนทางเลือกยี่ห้อโมเดอร์นา ต่อมาวันที่ 22 ก.ค. 2564 ดนุภา คณาธีรกุล หรือ ‘มิลลิ’ นักร้องชาวไทยถูกดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นนายกรัฐมนตรีด้วยการโฆษณาและถูกปรับเป็นเงิน 2,000 บาท
รัฐบาลไทยควรเพิกถอนหรือแก้ไขข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 โดยทันที ทั้งยังควรเพิกถอนหรือแก้ไขกฎหมายและข้อกำหนดอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวไปให้มีความสอดคล้องกับหลักการพื้นที่ของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เหล่านี้ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญา ICCPR ที่ได้เคยลงนามและให้สัตยาบันไว้
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยต้องหยุดคุกคามหรือดำเนินคดีต่อประชาชนที่ใช้สิทธิในการแสดงออกและสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงต้องหยุดดำเนินคดีต่อประชาชนที่ถูกตั้งข้อหาตามกฎหมายดังกล่าวไปแล้วอีกด้วย
รายนามองค์กรที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ฉบับนี้
- Access Now
- Amnesty International Thailand
- ARTICLE 19
- Asian Forum for Human Rights and Development (FORUM-ASIA)
- Asian Network for Free Elections (ANFREL)
- ASEAN Parliamentarians for Human Rights
- Centre for Civil and Political Rights
- Civil Rights Defenders
- CIVICUS: World Alliance for Citizen Participation
- Committee to Protect Journalists
- FIDH – International Federation for Human Rights
- Human Rights Watch
- International Commission of Jurists
- Lawyers’ Rights Watch Canada
- Manushya Foundation
- Open Net Association
- People’s Empowerment Foundation
ที่มา: