จับกุมอย่างน้อย 18 ราย ก่อนและหลัง #ม็อบ7สิงหา คุมตัว ตชด.ภาค 1 ก่อนส่งศาลฝากขัง 9 ส.ค. นี้

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเผย มีการจับกุมอย่างน้อย 18 ราย ก่อนและหลัง #ม็อบ7สิงหา คุมตัว ตชด.ภาค 1 ก่อนส่งศาลฝากขัง 9 ส.ค. นี้

8 ส.ค. 2564 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าสืบเนื่องจากสถานการณ์การจับกุมตั้งแต่ก่อนและระหว่างการชุมนุม #ม็อบ7สิงหา เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 64 โดยกลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบมีประชาชนถูกจับกุมทั้งหมดอย่างน้อย 18 ราย โดยแบ่งเป็นส่วนที่ถูกนำตัวไปทำบันทึกจับกุมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)จำนวน 14 ราย และที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน (บก.ตชด.ภาค 1) อีก 4 ราย โดยในจำนวนนี้ มีอีก 1 รายที่ถูกคุมตัวไปที่ สภ.คลองห้า หลังจัดทำบันทึกจับกุมเสร็จสิ้น 

ทั้งนี้ มีการแจ้งข้อกล่าวหา “อั้งยี่ ซ่องโจร” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และ 210 แก่สมาชิกกลุ่ม We Volunteer จำนวน 8 รายที่ถูกจับกุมก่อนการชุมนุม ส่วนด้านประชาชนอีก 10 คนนั้นถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

ด้านพนักงานสอบสวนเตรียมยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังผ่านวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ จันทร์นี้ (9 ส.ค. 2564) 

คุมตัวประชาชน 14 รายมาแจ้งข้อหา สอบปากคำ ที่บช.น. เหตุ #ม็อบ7สิงหา 

สำหรับประชาชนทั้ง 14 รายที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ บช.น. แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สมาชิกกลุ่ม We Volunteer (Wevo) ที่ถูกจับกุมในบ้านพักเขตพระนคร 2 ราย, สมาชิก Wevo อีก 6 รายที่ถูกจับกุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ไปยัง สน.สำราญราษฎร์ ก่อนนำตัวไปยัง บช.น., กลุ่มผู้ชุมนุมอีก 2 ราย ซึ่งถูกจับกุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, คนขับรถเครื่องเสียง ซึ่งถูกติดตามไปจับกุมที่บางนา และผู้ถูกจับกุมอีก 3 ราย ช่วงค่ำจากบริเวณแยกดินแดง

สำหรับสมาชิก Wevo 2 รายที่ถูกจับกุมที่บ้านพักในเขตพระนครนั้น ทั้งสองถูกจับกุมราวเวลา 10.30 น. ของวันที่ 7 ส.ค. 64 โดยบันทึกจับกุมบรรยายพฤติการณ์การจับกุมโดยสรุปว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน กก.6 บก.ส.1 สืบสวนว่ากลุ่มการ์ด Wevo ได้เช่าห้องพักในย่านพระนคร โดยการ์ด wevo นั้นมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุมในการชุมนุมอันมิชอบด้วยกฎหมาย และมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะนําสิ่งของที่จะใช้ในการต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานในการชุมนุมวันที่ 7 ส.ค.64 พนักงานสืบสวนจึงมารายงานให้ผู้บังคับบัญชา 

บันทึกจับกุมยังบรรยายว่า ต่อมา เวลา 10.30 น. เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับการประสานจาก เจ้าหน้าที่ตํารวจฝ่ายสืบสวน กก.6 บก.ส.1 ให้ไปตรวจสอบห้องพักดังกล่าว พบสมาชิก Wevo 2 ราย อยู่บริเวณหน้าอาคารห้องพัก ประกอบกับมีท่าทางพิรุธน่าสงสัย ว่าน่าจะมีของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวเป็นตำรวจ และขอค้นห้องดังกล่าว พบสิ่งของรวม 14 รายการ เช่น กระเป๋า, หมวกกันน็อก, หน้ากากกันแก็ส, ถุงมือ, เสื้อเกราะ, วิทยุสื่อสาร, มีดพับ, ประทัดควัน และน่าเชื่อว่าผู้ถูกจับกุมจะนำของกลางดังกล่าวไปใช้ในการต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมฝูงชน จึงได้จับกุมตัวพร้อมยึดของกลางทั้ง 14 รายการและโทรศัพท์ที่ทั้งสองพกอยู่ ส่งพนักงานสอบสวน 

อย่างไรก็ตาม ก่อนการเข้าตรวจค้นห้องพักและจับกุมตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แสดงหมายจับหรือหมายค้น รวมทั้งไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ทั้งสองแต่อย่างใด 

ทั้งสองรายถูกแจ้งข้อกล่าวหารวม 3 ข้อหาได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และ 210 “อั้งยี่-ซ่องโจร” และร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยทั้งคู่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ลงชื่อในบันทึกการจับกุม 

ต่อมา เวลา 11.30 น. สมาชิกกลุ่ม Wevo อีก 6 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นรถ 2 คัน ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถวัดมหรรณพาราม และควบคุมตัวทั้งหกพร้อมรถไปที่ สน.สำราญราษฎร์ โดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ ก่อนส่งตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ บช.น. ในเวลาต่อมา 

บันทึกการจับกุมบรรยายพฤติการณ์การจับกุมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับคำสั่งให้สืบสวนกลุ่ม Wevo ที่มีนายปิยรัฐ จงเทพ เป็นหัวหน้า บันทึกจับกุมระบุว่า กลุ่มดังกล่าวมีพฤติการณ์ชุมนุมมั่วสุมกัน ปกปิดวิธีการดําเนินการเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย เช่น การซ่องสุม ฝึกกำลังพล แฝงตัวมาเป็นผู้ชุมนุมในรูปแบบของการ์ด แต่จะใช้ช่องโอกาสทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสร้างสถานการณ์โดยใช้หนังสติ๊ก ลูกเหล็ก ระเบิดควัน สิ่งของสกปรกเช่นน้ำปลาร้า และสิ่งของอื่นที่ใช้เป็นอาวุธได้ เพื่อสร้างความวุ่นวายกับเจ้าหน้าที่ตํารวจที่รักษาความสงบเรียบร้อยระหว่างการชุมนุม 

ก่อนการนัดหมายการชุมนุม #ม็อบ7สิงหา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาว่ามีรถตู้สีขาว และรถยนต์โตโยโต้า ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นของการ์ด Wevo จอดอยู่ภายในลานจอดรถของวัดมหรรณพารามวรวิหาร จากนั้นจึงได้เข้าตรวจค้นรถทั้งสอง พบของกลางในรถตู้รวม 11 รายการ เช่น เข็มขัดสนาม, ปลอกเสื้อเกราะ, กระเป๋า, หนังสะติ๊ก, พลุควัน, วิทยุสื่อสาร, ดิ้ว และพบของกลางในรถยนต์รวม 5 รายการ ได้แก่ เข็มขัดสนาม, หน้ากากกันแก็ส และวิทยุสื่อสาร 3 เครื่อง  

ทั้ง 6 คนถูกแจ้งข้อกล่าวหา “อั้งยี่-ซ่องโจร” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และ 210 โดยมีนายสุขี (นามสมมุติ) ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคือ “มีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “พกพาอาวุธไปในบ้านเมือง โดยไม่มีเหตุอันควร” ส่วนผู้ถูกจับกุมอีก 3 รายถูกแจ้งข้อกล่าวหา “มีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” เพิ่มเติมอีกด้วย โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม 

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ยึดรถยนต์ทั้งสองคันไว้เป็นของกลางด้วย

ประมาณเวลา 12.30 น. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะยังไม่ถึงเวลานัดหมายชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนได้ตั้งแนวสกัดและประกาศให้ประชาชนที่เดินทางมาถึงแยกย้ายกันกลับ จากนั้น มีภาพปรากฏตามสื่อและโซเชียลว่า มีประชาชนที่เดินทางมาเข้าร่วมชุมนุมถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมอย่างน้อย 4 ราย 

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามไปที่ บช.น. ทนายความพบผู้ถูกจับกุมจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพียง 2 ราย ได้แก่ ธีรวิช สุขประเสริฐกุล อายุ 24 ปี และนิรุฒน์ ละมูล อายุ 33 ปี ซึ่งคือชายผมสีทอง ซึ่งมีภาพข่าวว่า ถูก คฝ.ฉุดกระชาก พาเข้าไปในวงล้อมของเจ้าหน้าที่ และกดให้นอนกับพื้น โดยมีคนพยายามเข้าช่วยเหลือ และชายเสื้อดำซึ่งถูกจับกุมขึ้นรถควบคุมตัว โดย คฝ.พยายามปิดกั้นสื่อมวลชนไม่ให้ถ่ายภาพการจับกุมที่เกิดขึ้น โดยขณะที่ทนายความพบธีรวิชที่ บช.น. พบว่า มีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายบริเวณใบหน้าและคอ

เจ้าหน้าที่ตำรวจบรรยายพฤติการณ์ในการจับกุมว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย และข้อกำหนดออกตามความมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอมเลิก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงเข้าควบคุมตัวทั้งสอง

ทั้งสองถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันชุมนุม ฝ่าฝืนข้อกำหนดและประกาศออกตามความมาตรา 9  แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 15 วัน พร้อมทั้งไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมเช่นกัน 

นอกจากนี้ ยังพบว่า ลำไย (นามสมมติ) คนขับรถเครื่องเสียงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจากที่ชุมนุม และถูกจับกุมที่บางนา นำตัวมาที่ บช.น. ก่อนแจ้งข้อหา ร่วมกันจัดกิจกรรมและร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากเหตุนำรถเครื่องเสียงเข้าร่วมในการชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 

เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งพฤติการณ์การจับกุมว่า ได้พบรถยนต์กระบะ สีแดง เข้าร่วมการชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตรงบริเวณหน้าร้านแม็คโดนัล บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและบริเวณแยกดินแดงต่อเนื่องกัน โดยมีผู้ต้องหาเป็นผู้ขับขี่และได้ใช้เครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์เป็นเวทีในการปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุม กระทั่งยุติการชุมนุมในเวลาประมาณ18.00 น. ผู้ต้องหาได้ขับรถออกจากพื้นที่ชุมนุม จนถึงบริเวณปากซอยลัดดาว ถ.สรรพาวุธ 2 บางนา เจ้าหน้าที่ตํารวจซึ่งติดตามไปตลอด จึงได้เข้าสอบถามว่าได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหรือไม่ ผู้ต้องหารับว่าไม่ได้รับอนุญาต จึงได้จับกุมนําตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.สําราญราษฎร์ ดําเนินคดี

ลำไยให้การปฏิเสธทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวน พร้อมทั้งไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม

เวลา 23.00 น. โดยประมาณ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมประชาชนที่ขับรถผ่านที่ชุมนุมบริเวณแยกดินแดง ต่อมา ทนายความพบว่า มีผู้ถูกจับกุมบริเวณดินแดงรวม 3 ราย เป็นชายวัย 23, 30 และ 55 ปี ถูกนำตัวมาส่งที่ บช.น.เพื่อทำบันทึกจับกุม 

ทั้งนี้ ชายวัย 23 ปี ปรากฏภาพข่าวในเวลาประมาณ 18.30 น. ว่าถูกจับกุมมัดมือไพล่หลังและนำตัวขึ้นรถควบคุมตัว ขณะที่ชายวัย 55 ปี ได้โทรศัพท์บอกหลานว่า ถูกตำรวจจับเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ขณะเดินทางกลับบ้าน โดยได้ขับรถผ่านม็อบและจอดรถลงดูบริเวณทางด่วนดินแดง

เจ้าหน้าได้ทำบันทึกจับกุมบรรยายว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอกได้นัดหมายกันชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 7 ส.ค. 64 เวลา 14.00 น. โดยต่อมาเวลา 20.00 น. มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากกว่า 300 คน ได้ใช้กำลังปะทะกับเจ้าหน้าที่ มีการขว้างปาก้อนหิน ประทัดใส่เจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน ขณะที่เจ้าหน้าที่ประกาศให้เลิกการชุมนุม แต่ไม่ยอมเลิก ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงจับกุมผู้ถูกจับกุมทั้ง 3 ไว้และนำมาส่งตัวพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ดำเนินคดีต่อไป 

ทั้งสามถูกแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันจัดกิจกรรมและร่วมกันชุมนุม ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก่อนให้การปฏิเสธทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนเช่นเดียวกัน 

ควบคุมตัวประชาชน 4 รายไว้ บก.ตชด.ภาค 1 ก่อนอีก 1 รายถูกส่งไปคุมตัวที่ สภ.คลองห้า 

เวลาประมาณ 13.40 น. แซม ซาแมท หรือ “อาร์ท” ชายไร้สัญชาติที่เคยถูกดำเนินคดีจาก #ม็อบ28กุมภา ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าติดตามและแสดงหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี เพื่อจับกุมตัวที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง 

แซมถูกคุมตัวไปที่ สภ.คลองห้า ก่อนที่จะถูกนำตัวไปที่ บก.ตชด.1 เพื่อทำบันทึกจับกุม โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี และ สภ.คลองห้า ได้ร่วมกันจับตัวแซม ตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรีที่ 480/2564 ลงวันที่ 5 ส.ค. 64 ซึ่งกล่าวหาว่าแซมกระทำความผิดฐาน “มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, ร่วมกันทําร้าย ร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือใจ, ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์” 

แซมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา หลังสอบปากคำ พนักงานสอบสวนนำตัวกลับไปที่ สภ.คลองห้า เพื่อควบคุมตัวไว้ระหว่างรอพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขออำนาจศาลจังหวัดธัญบุรีฝากขังพรุ่งนี้ (9 ส.ค. 64)

นอกจากนี้ ศูนย์ทนายฯ ยังได้รับแจ้งว่า เมื่อเวลา 18.00 น. บริเวณวิทยาลัยเทคโนโลยีพระราม 6-จรัญสนิทวงศ์ ตำรวจนอกเครื่องแบบหลายนายเข้าควบคุมตัวเจ้าของรถตู้มีโทรโข่งสี่ตัวอยู่บนรถ โดยจับตัวกดไว้บนพื้นถนน หลังถูกติดตามอย่างต่อเนื่อง ก่อนนำตัวขึ้นรถออกไป ต่อมามีข้อมูลว่า ผู้ถูกจับคือคนขับรถกระจายเสียงของกลุ่ม Wevo วิชพรรษ ศรีกสิพันธุ์ อายุ 21 ปี ซึ่งเพื่อนติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เวลา 18.45 น. จากนั้น ทนายความพบคนขับรถคันดังกล่าวถูกควบคุมตัวมาที่ บก.ตชด.ภาค 1

ในการทำบันทึกจับกุม ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันจัดกิจกรรมและร่วมกันชุมนุม ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยแจ้งพฤติการณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ได้สืบสวน ติดตามจับกุมผู้ขับขี่รถเครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์ที่ใช้ในการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกและกลุ่มราษฎร 63 ยี่ห้อโตโยต้า สีน้ําตาล ซึ่งเป็นรถยนต์ตู้ของนายปิยรัฐ หรือโตโต้ จงเทพ หัวหน้ากลุ่มการ์ด We Volunteer 

โดยเมื่อ เวลาประมาณ 16.45 น. ของวันที่ 7 ส.ค. 64 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้พบรถยนต์ตู้คันดังกล่าวเข้าร่วมการชุมนุมอยู่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสามเหลี่ยมดินแดง และพบผู้ต้องหาขับรถซึ่งมีเครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์ที่ใช้ในการชุมนุมอยู่บนรถเคลื่อนตัวอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุม ต่อมาเวลาประมาณ 17.45 น. หลังจากที่เจ้าหน้าที่ ตํารวจชุดควบคุมฝูงชนได้เข้าทําการสลายการชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้ต้องหาจึงได้ขับรถออกจากบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหน้าไปยังถนนจรัญสนิทวงศ์ เจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุมจึงได้ทําการติดตามโดยตลอด และเข้าจับกุมบริเวณจุดกลับรถ หน้าปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 86/2

วิชพรรษให้การปฏิเสธทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวน ทั้งไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม 

ราว 23.00 น. ศูนย์ทนายฯ ได้รับแจ้งกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม คนขับรถกระบะที่ซอยพหลโยธิน หลังจากกลับจากการชุมนุม #ม็อบ7สิงหา โดยมีผู้ถูกจับกุมทั้งหมด 2 ราย คือ นัทและพิศ (นามสมมติ) อายุ 20 และ 30 ปี และถูกควบคุมตัวมาที่ บก.ตชด.1 พร้อมรถกระบะ 2 คัน เพื่อจัดทำบันทึกจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันจัดกิจกรรมและร่วมกันชุมนุม ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งพฤติการณ์การจับกุมว่า เจ้าหน้าที่จาก กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ได้ติดตามตรวจสอบรถกระบะขนอุปกรณ์ที่ใช้ในการชุมนุมและรถรับส่งผู้ชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกและกลุ่มราษฎร 63 โดยเมื่อเวลา 17.19 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบรถยนต์กระบะคันดังกล่าวเข้าร่วมชุมนุมและคอยรับส่งผู้เข้าร่วมชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยมีนัทเป็นผู้ขับรถและพิศนั่งโดยสารมาด้วย

ต่อมาเวลา 19.00 น. นัทได้ขับรถยนต์กระบะออกจากพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหน้าไปถนนพหลโยธิน  เมื่อถึงบริเวณปั๊มบางจากชุดจับกุมซึ่งติดตามมาโดยตลอดจึงเข้าตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวทั้งสองมายัง ตชด.ภาค 1 และแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

ชั้นกุมทั้งสองให้การรับสารภาพว่า รถ 2 คัน ดังกล่าวเป็นของตนจริง โดยได้รับการว่าจ้างให้มาขนอุปกรณ์ไปในที่ชุมนุมและรับส่งผู้ชุมนุม โดยรถอีกคันผู้ว่าจ้างเป็นผู้ขับ และพิศ ซึ่งเป็นแฟนของนัท ได้ติดตามมาในที่ชุมนุมด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองปฏิเสธการลงลายมือชื่อในบันทึกจับกุมของตำรวจ และให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน กระบวนการสอบปากคำเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 04.00 น. 

หลังจัดทำบันทึกจับกุมและสอบปากคำเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมผู้ถูกจับกุมทั้ง 14 ราย ที่ บช.น.ไปที่ บก.ตชด.ภาค 1 จ.ปทุมธานี เพื่อควบคุมตัวไว้รวมกับอีก 3 ราย รอขออำนาจศาลฝากขังในวันจันทร์ที่ 9 ส.ค. 64 โดยกรณีสมาชิกวีโว่ 8 ราย พนักงานสอบสวนต้องยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลอาญา รัชดาฯ กรณีผู้ชุมนุมและรถเครื่องเสียงจากการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมทั้งรถจากการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พนักงานสอบสวนจะขอฝากขังต่อศาลแขวงดุสิต ส่วนผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมบริเวณดินแดงรวม 3 ราย จะถูกฝากขังต่อศาลแขวงพระนครเหนือ 

กรณีการจับกุมผู้ให้บริการรถและเครื่องเสียง รวมทั้งคนขับรถเครื่องเสียง WeVo รวม 4 ราย หลังกลับออกจากที่ชุมนุมแล้ว โดยอ้างเหตุจากการเข้าร่วมชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำการจับกุมขณะเกิดเหตุ จึงต้องจับกุมโดยมีหมายจับ แต่ตำรวจชุดจับกุมก็ไม่ได้แสดงหมายจับ จึงเข้าข่ายเป็นการจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เช่นเดียวกับกรณีจับทีมงานเครื่องเสียง 5 คน หลังให้บริการเครื่องเสียงกิจกรรมครบรอบ 1 ปี ม็อบแฮร์รี่ การจับรถเครื่องเสียงหลังกลับจากรับจ้างและให้เช่าเครื่องเสียงในคาร์ม็อบของกลุ่มราษฎร เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา และกรณีจับกุมประชาชน 13 ราย ที่บางเขน โดยอ้างเหตุจากการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 64 

นอกจากนี้ การนำกำลังตำรวจเข้าค้นโดยไม่มีหมายค้น จับกุมควบคุมตัวโดยไม่มีหมายจับหรือมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าน่าจะก่อเหตุร้ายหรือบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าในขณะถูกจับ แต่ใช้การคาดการณ์ของตำรวจเองว่า ผู้ถูกจับกุมจะก่อเหตุวุ่นวาย รวมไปถึงการตั้งสิ่งกีดขวางต่างๆ และวางกำลังปิดกั้นเส้นทางที่ประกาศเป็นจุดชุมนุม อีกทั้ง การใช้กำลังและมาตรการที่รุนแรงเข้าสลายการชุมนุมต่อผู้ร่วมชุมนุมที่ใช้เพียงเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ สันติ ตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศให้การรับรอง การกระทำของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดถือเป็นการใช้กฎหมายและกำลังเจ้าหน้าที่ปิดกั้นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชน เข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทั้งระดับสั่งการ, ปฏิบัติการและระดับนโยบาย 

สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุม #ม็อบ7สิงหา ในขณะที่มวลชนกำลังเดินทางออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อไปที่บ้านพักของ พ.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตั้งอยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนได้ยิงกระสุนยางและแก๊ซน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง ทำให้ผู้ชุมนุมถอยกลับไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ว่ากลุ่มเยาวชนปลดแอกจะประกาศยุติชุมนุมในเวลา 17.35 น. แต่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนยังคงดำเนินการสลายการชุมนุม จนล่วงเข้าสู่เวลา 21.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ตามข้อกำหนดในพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 30 )

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท