เพราะใจสั่งมาจึงแบกกีตาร์ขึ้นปราศรัย เปิดใจ ‘เสกจิ๋ว’ เยาวชน 15 ผู้ถูกแจ้ง ม.112

รายงานสัมภาษณ์ ‘เสกจิ๋ว’ เยาวชนอายุ 15 ปีที่ถูกแจ้งข้อหา ม.112 จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา พร้อมพูดคุยเรื่องการเมืองในมุมมองของคนรุ่นใหม่ งานอดิเรก และภาพฝันของสังคมไทยในอนาคต

ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเหตุสลายการชุมนุมซึ่งจัดโดยกลุ่ม REDEM เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2564 บริเวณสนามหลวง เป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ที่หลาคนคงจดจำได้ เช่นเดียวกับ ‘เสกจิ๋ว’ (นามสมมติ) เยาวชนอายุ 15 ปีที่ถูกตำรวจควบคุมตัวพร้อมกับเพื่อนอีก 1 คนไปสอบสวนที่ บก.ตชด.ภาค 1 จ.ปทุมธานี โดยอ้างว่า ทั้งคู่กระทำความผิดเกี่ยวกับการแสดงออกต่อพระบรมฉายาลักษณ์ในระหว่างการชุมนุม และถูกแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ประชาไทมีโอกาสพูดคุยกับ ‘เสกจิ๋ว’ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน บก.ตชด.ภาค 1 ที่จำได้ไม่เคยลืม พร้อมเปิดมุมมองการเมือง และทุกเรื่องราวในชีวิตที่บ่งบอกถึงตัวตนของ ‘เสกจิ๋ว’ ตั้งแต่ประสบการณ์นักเรียนแลกเปลี่ยน หนังสือเล่มโปรด นักดนตรีในดวงใจ ไปจนถึงภาพฝันของประเทศไทยในอนาคต

เกิดอะไรขึ้นใน #ม็อบ20มีนา

“เรากับเพื่อนๆ ออกจากพื้นที่สนามหลวงตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงประกาศให้ออกจากพื้นที่ พอเดินออกมา เจอคุณป้าใจคนหนึ่งชวนขึ้นแท็กซี่กลับด้วยกันก็เลยขึ้นแท็กซี่กลับไปพร้อมคุณป้า แท็กซี่พาคุณป้า เรา และโป๊ยเซียน (นามสมมติ) เพื่อนของเรา ขับออกไปจนถึงแยกศรีอยุธยา หลังจากนั้นเราก็โดนตำรวจควบคุมตัว”

เสกจิ๋ว เล่าว่า ตำรวจขอให้คุณป้าใจดีคนนั้นลงจากรถ และเรียกคนขับแท็กซี่ไปพูดคุย ซึ่งตนไม่รู้ว่าตำรวจพูดคุยอะไรกับคนขับแท็กซี่บ้าง แต่เมื่อพูดคุยเสร็จ ตำรวจก็ขึ้นมาบนรถแท็กซี่พร้อมบอกให้คนขับแท็กซี่ขับรถออกไป โดยตอนแรก ตำรวจแจ้งว่าจะพาตนและโป๊ยเซียนไปที่ สน.พญาไท แต่สุดท้ายกลับพาไปที่ บก.ตชด.ภาค 1

“เราติดต่อพ่อแม่กับทนายไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว พอไปถึง ตชด. พ่อแม่กับทนายก็รอเราอยู่ที่นั่น แต่เขาเข้าไปเจอเราไม่ได้ แล้วตำรวจก็กดดันให้เราให้การ แต่จริงๆ เราคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องให้การที่นั่นก็ได้ พอเขาได้ข้อมูลที่เขาต้องการ ถึงยอมให้พ่อแม่เข้ามาเจอเรา”

“พอเข้าไปแล้ว เขายึดโทรศัพท์เราไว้เป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ให้เรานั่งรอ ยึดของเราไปทุกอย่าง ช่วงแรกจะให้เราถอดเสื้อผ้าหมดทุกอย่างด้วย คือเขาเอาไปกระทั่งรองเท้า เราต้องเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน แต่โชคดีที่ทนายคุยให้ เราเลยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรเปลี่ยนถ้าเราถอด” เสกจิ๋วเล่า พร้อมบอกว่าตำรวจอ้างว่าที่ให้ถอดเสื้อผ้าเพราะจะตรวจร่างกายและเก็บหลักฐาน ซึ่งตนรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทั้งหมดตรงนั้นเป็นนายตำรวจเพศชาย

“ระหว่างการสอบสวน ตำรวจเอารูปที่เขาแอบถ่ายเราในม็อบมาให้เราดู แล้วก็บอกว่า ‘ไปทำอย่างนั้นทำไม ไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ’ แล้วคนสอบสวนไม่ได้มีแค่คนเดียว มีตำรวจชายประมาณ 6-7 คนมายืนล้อมเรา มากดดันเรา ตอนนั้นเรากลัวมาก ก็เลยตอบๆ ไป อาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่วิธีการที่เขาใช้มันเหมือนการข่มขู่ เพราะเขาพูดถึงพ่อเรา เขารู้แล้วว่าพ่อเราทำอาชีพอะไร เขาก็ขู่ว่าให้ระวังนะ ระวังไว้ว่าพ่อเราจะไม่มีงานทำ ประมาณนี้”

เสกจิ๋วบอกว่าตนเข้าใจว่าตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวนตนในวันนั้น ต้องการให้ตนรับสารภาพ แต่เป็นคำรับสารภาพปากเปล่า ไม่ได้บังคับให้เซ็นเอกสารใดๆ พร้อมคืนโทรศัพท์มือถือและทรัพย์สินที่ยึดไปให้ทั้งหมด ต่อมา ตำรวจได้นัดตนและทนายเข้าให้ปากคำอีกครั้งที่ สน.ชนะสงคราม ซึ่งในวันนั้น ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) มาร่วมสอบปากคำด้วย โดยนำหมายศาลมาแสดงให้ตนและทนายดู จากนั้นจึงยึดโทรศัพท์มือถือของตนไป

“เขาขู่ประมาณว่า ถ้าไม่ยอมให้มือถือ ต้องจ่าย 200,000 บาท และค่าปรับอีกวันละ 5,000 บาทนะ เป็นค่าปรับศาล แต่หลังจากที่เขายึดโทรศัพท์ไป เราก็กลับมาเปลี่ยนรหัสต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ เพราะเราใช้ไอโฟน มันสามารถเชื่อมต่อระบบต่างๆ ไปยังมือถือได้”

เสกจิ๋ว เผยว่า ช่วงที่โดนยึดโทรศัพท์มือถือไป ตนไม่กล้าใช้โซเชียลมีเดีย นานๆ ทีจึงจะล็อกอินผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อมาอัปเดตสถานการณ์ชีวิตให้คนบนโลกโซเชียลทีติดตามข่าวของตนได้ทราบบ้าง พร้อมบอกว่าตนเพิ่งได้โทรศัพท์คืนจากตำรวจเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และได้เปลี่ยนรหัสการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยังไม่มั่นใจนักว่าตำรวจได้ติดตั้งระบบติดตามอะไรไว้ในโทรศัพท์เครื่องนี้หรือเปล่า

“ตอนนี้ยังใช้เครื่องเดิมอยู่ค่ะ แต่ถ้ามีเงินก็อยากเปลี่ยน (หัวเราะ) เพราะเราไม่รู้ว่าเขาติดอะไรไว้ในนี้หรือเปล่า”

เสกจิ๋ว บอกว่า ตั้งแต่ถูกจับกุมในวันที่ 20 มี.ค. ตนและครอบครัวถูกเจ้าหน้าที่คุกคาม เพราะหลังจากนั้น มีบุคคลอ้างตัวเป็นจำรวจสายสืบโทรศัพท์มาหาพ่อของตนหลายครั้ง เพื่อเรียกพบเป็นการส่วนตัว โดยอ้างว่าตนถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ตนและพ่อไม่ยอมไป เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ทำไมถึงสนใจการเมือง

เสกจิ๋ว เล่าว่า ตนเป็นคนชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะหนังสือด้านประวัติศาสตร์ ประกอบกับคุณแม่เป็นคนเสื้อแดง ตนจึงซึมซีบเรื่องการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เริ่มสนใจอย่างจริงจังในช่วงเลือกตั้ง ปี 2562

“จริงๆ มันเป็นเพราะเราเล่นทวิตเตอร์ และอ่านทวิตเตอร์ของคุณนิรนาม ซึ่งตรงนั้นมันทำให้เราเริ่มสนใจความจริงในประเทศมากขึ้น พอมีม็อบ เราก็ตัดสินใจไปร่วมชุมนุม เพราะในทางอุดมการณ์มันค่อนข้างใกล้เคียงกับเรา”

เสกจิ๋ว เล่าว่า ตนเคยร่วมปราศรัยในเวทีย่อยตามกิจกรรมชุมนุมต่างๆ เช่น เวทีเปิดของกลุ่มนักเรียนเลว และเวทีรถขยายเสียงของคนเสื้อแดง แต่ตามปกติ ตนกับเพื่อนจะเปิดเวทีปราศรัยย่อยโดยยกลำโพงไปเอง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มาชุมนุม สามารถแสดงออกทางความคิดได้

เสกจิ๋ว บอกว่า เริ่มแรก ตนกับทำกิจกรรมทางการเมืองกับเพื่อนในโรงเรียนกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ต่อมา สมาชิกกลุ่มมีจำนวนมากขึ้น เพราะรู้จักกับเพื่อนต่างโรงเรียน จากการไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มนักเรียนเลว

“เราได้ประสบการณ์เยอะมาก [จากการทำกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายนักเรียนเลว] ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการพูด พูดสู้กับผู้ใหญ่ พูดอย่างไรให้คนสนใจ รวมถึงวิธีการค้นคว้าหาความรู้ เพราะเราไม่อยากจะพูดในเรื่องเดิมๆ ก็เลยต้องคอยหาความรู้ใหม่ๆ เอามาพูดให้เป็นเวทีวิชาการมากขึ้น”

นอกจากนี้ เสกจิ๋ว ยังเผยว่า พ่อแม่ของตนไม่เคยห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง แต่ทุกครั้งที่ไปร่วมชุมนุมหรือจัดกิจกรรมอะไรต้องกลับมาเล่าให้พ่อแม่ฟังเสมอ พร้อมเผยว่า ถ้าวันไหนตนขึ้นปราศรัย พ่อแม่ก็จะติดตามชมและให้กำลังใจ

มุมมองการเมืองของคนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่

เสกจิ๋ว บอกว่า มุมมองการเมืองระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่แตกต่างกันมาก แม้กระทั่งในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเอง ยังมีความเห็นบางเรื่องที่สวนทางกัน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยและการเติบโตในสังคมคนละรูปแบบ

“เราคิดว่าต่างกันมากเลยนะ เพราะเพื่อนของเราหรือแม้กระทั่งเพื่อนในทวิตเตอร์ ส่วนใหญ่จะถูกเรียกกันว่า ‘เด็กชอบฉอด’ (ศัพท์สแลง หมายถึง เด็กที่กล้าแสดงออกทางความคิด และต่อต้านความคิดเดิมๆ และกล้าแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย) ซึ่งไม่ค่อยยอมรับการถูกกดขี่ ไม่ว่าจะรูปแบบใด แต่พอมาเป็นผู้ใหญ่ อาจจะมีการยอมรับการกดขี่ เช่น อาจจะมองคนที่ตัวเองบูชาว่าอยู่สูงกว่าตัวเองก็ได้ แต่ส่วนตัวเรา เรามองว่าทุกคนต้องเท่ากัน ไม่ว่าจะทางเพศหรือทางไหน แม้แต่เวลาเราไปพูดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศกับผู้ใหญ่ฝ่ายประชาธิปไตยบางคน เขายังบอกเลยว่า ‘ให้สนใจเรื่องประชาธิปไตยก่อนไหม’ แต่เรามองว่าเราสามารถเรียกร้องความเท่าเทียมทุกเรื่องไปพร้อมกันได้ อีกอย่างคือเรื่องความตระหนักรู้ (awareness) ในเรื่องต่างๆ เช่น คนมีอายุที่พูดปราศรัย บางทีก็พูดกระทบคนเพศอื่น และกดทับกันเองไปเลย” เสกจิ๋ว กล่าว

ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ

“เราสนับสนุนให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์มากที่สุด เพราะสิ่งนี้ถือเป็นปมต้นเหตุของปัญหาหลายๆ อย่างในประเทศ ถึงแม้ว่าคุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ก็ไม่ได้แปลว่าสถาบันกษัตริย์จะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นข้อนี้จึงควรได้รับการผลักดันให้เป็นไปได้ กฎหมายใดก็ตามที่คุ้มครองสถาบันกษัตริย์ให้อยู่เหนือกว่าคนธรรมดาต้องแก้ให้หมด เพราะถึงแม้สถาบันฯ จะอยู่ในฐานะบุคคลพิเศษของประเทศไทย แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน”

คิดอย่างไรกับกฎหมาย ม.112

เสกจิ๋ว ยอมรับว่าตั้งแต่ถูกตำรวจควบคุมไป ตนคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องโดนแจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะเพื่อนนักเรียนที่รู้จักกันก็โดนแจ้งความข้อหานี้ไปแล้ว

“เราว่ามันไม่ใช่กฎหมาย มันเป็นอาวุธที่เอาไว้โจมตี ให้เราต้องปิดปาก ให้เราไม่สามารถวิจารณ์อะไรได้ มันไม่ยุติธรรม เรารู้สึกว่ามันไม่ควรที่จะแก้ แต่มันไม่ควรที่จะมี” เสกจิ๋ว แสดงความคิดเกี่ยวกับกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายนี้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับนักกิจกรรมจำนวนมาก นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563

“เราเชื่อในสิทธิเสรีภาพในการพูด เราเชื่อว่าทุกคนสามารถวิจารณ์คนๆ หนึ่งได้ คือคุณต้องยอมรับว่าทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด แต่ถ้าคำพูดไหนที่เข้าข่าย hate speech (คำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง) หรือเข้าข่ายหมิ่นประมาท คุณก็ฟ้องไปเลย แต่บางอย่างมันก็ไม่ใช่ เช่น บางสิ่งที่คุณทำผิดจริงๆ แล้วคนเอา [ข้อเท็จจริง] มาพูดถึง คุณมีสิทธิ์อะไรจะไปฟ้องเขา ในเมื่อมันเป็นความจริง”

“ถ้ามองในทุกมุมมอง ไม่มีใครสมควรโดนดำเนินคดีกฎหมายนี้อยู่แล้ว และการที่กฎหมาย ม.112 ถูกใช้มากขึ้น เรามองว่ามันเป็นเพราะเขากลัวมากขึ้น เลยต้องการที่จะปิดปากเรา”

นิยามของการต่อสู้แบบ ‘สันติวิธี’

“สันติวิธี ในมุมมองของเรา คือ ต้องไม่มีใครตาย ไม่มีใครโดนทำร้าย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสนับสนุนการ looting หรือขโมย พนักงานในร้านจะต้องไม่ถูกทำร้าย ไม่ถูกข่มขู่ หรือการเผา ถ้าคุณเผา ต้องไม่มีใครตาย แต่ตึกต้องพัง ประมาณนี้ พูดง่ายๆ ว่า สันติวิธี คือ การต่อสู้โดยเน้นโจมตีที่สิ่งของ เป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่ต้องไม่ใช่เจาะจงไปที่ตัวบุคคล ถ้าคุณเจาะจงไปที่ตัวบุคคลนั่นคือความรุนแรง”

“ทุกคนมีแนวทางการต่อสู้ที่หลากหลาย คุณจะเตือน จะบอกกันก็ได้ แต่คุณห้ามความคิดคนไม่ได้หรอก เชื่อสิว่าสักวันก็จะต้องมีคนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใส่สิ่งของอีก มันไม่มีการต่อสู้แบบไหนที่ผิดต่อเผด็จการหรอกค่ะ เพราะเผด็จการมันผิดตั้งแต่มันลุกขึ้นมายึดอำนาจไปจากเราอยู่แล้ว”

ถูกกดดันจากโรงเรียนเพราะแสดงออกทางการเมือง

ด้วยความที่ เสกจิ๋ว แสดงออกและทำกิจกรรมการเมืองทั้งในและนอกโรงเรียนบ่อยครั้ง ทำให้ถูกจับตามองเป็นพิเศษจากครูในโรงเรียน พร้อมเผยว่า ตนถูกคุกคามอย่างหนักถึงขั้นถูกโรงเรียนบังคับเซ็นใบลาออกมาแล้ว ซึ่งการถูกคุกคามในรูปแบบต่างๆ จากครูในโรงเรียนทำให้ตนรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนและมีอคติต่อโรงเรียน

“เมื่อปีที่แล้ว โรงเรียนไล่เราออก บังคับให้เราไปเซ็นใบลาออก แต่พอเรื่องนี้แดงขึ้นมาจนเป็นข่าวก็เลยไม่ถึงขั้นนั้น แต่พอช่วงที่มีการรณรงค์ให้ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน เราถูกจับขังไว้ในห้องปกครองกับเพื่อน และครูก็พูดจาไม่ดีใส่เรา เราขอไปเรียน แต่ครูไม่ยอม เราบอกไปว่าแต่งกายผิดระเบียบก็หักเลย 5 คะแนนแล้วปล่อยเราไปเรียน แต่ก็ไม่ยอมอีก ผ่านไปครึ่งวันถึงยอมให้เราไปเรียน ซึ่งครึ่งวันคือการขอประนีประนอมด้วยนะ ถ้าเราไม่ยอมอาจจะโดนขังทั้งวันก็ได้” เสกจิ๋ว กล่าว พร้อมบอกว่าการใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการเรียน

“ส่วนตัวเรามองว่าไม่มีผลกระทบ ถ้ามีอาจจะแค่ช่วงแรกๆ ที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน อาจจะมีพูดคุยเรื่องแฟชั่นการแต่งตัวบ้าง แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มันก็จะชิน พอชิน การเรียนทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม ก็จะเป็นปกติ มันก็แค่ชุดๆ หนึ่ง คือชุดนักเรียนไทยถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางเพศเยอะมาก การใส่ชุดไปรเวทก็เหมือนการป้องกันตัวเองทางหนึ่งด้วย” เสกจิ๋ว กล่าว

แผนการใช้ชีวิตในอนาคตหลังจากนี้

เสกจิ๋ว เผยว่า ตอนนี้กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แต่ตนตั้งใจจะสอบเทียบเพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยไม่เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามระบบการศึกษาไทย

“เราตั้งใจจะสอบเทียบแล้วขึ้นมหาวิทยาลัยเลย เป็นไปได้ก็อยากจะเรียน ป.ตรี ที่เมืองนอก ก็จะลองหาหนทางดู หรืออาจจะเรียนที่เมืองไทยก็ได้ แต่เราไม่อยากต่อมัธยมปลายแล้ว เราอยากสอบเทียบเลย เพราะถึงตอนนั้นก็อายุ 16 พอดี”

เสกจิ๋ว เผยว่า การสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตนหมายถึงนั้น คือ การสอบ GED (General Educational Development) หรือการสอบเทียบระดับมัธยมปลาย ซึ่งเป็นการสอบ 4 วิชา ได้แก่ ภาษา, สังคมศึกษา, วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยผลสอบ GED สามารถใช้สมัครเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัยไทยบางแห่งที่เปิดสอนในหลักสูตรนานาชาติได้

เสกจิ๋ว บอกว่า หากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ตนอยากเรียนด้านรัฐศาสตร์ หรือด้านภาษา เพราะตนชื่นชอบการเรียนวิชาภาษาต่างประเทศเป็นพิเศษ หากเป็นวิชาบังคับตามหลักสูตรของโรงเรียนก็ชื่นชอบวิชาภาษาจีนและภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเป็นภาษาที่สนใจโดยส่วนตัว คือ ภาษาฮินดี บาลี และสันสกฤต

“เราชอบมาตั้งแต่ประถมแล้ว เราชอบเรื่องเทพเจ้าอินเดียมาก อาจจะเรียกว่านับถือไปแล้วก็ได้ (หัวเราะ) เราชอบมากก็เลยค้นคว้าหาเรียนรู้ เรารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์มากๆ มันคือรากฐานของภาษาของโลก เพราะภาษาเหล่านี้มันเป็นภาษาที่อยู่มายาวนาน และคุณจะเข้าใจ [เรื่องราวของเทพเจ้าอินเดีย] อย่างลึกซึ้ง พอเรากำลังศึกษาด้วยตัวเอง เราก็อินไปกับมัน เรารู้สึกว่าถ้าเราเข้าใจจากผู้เชี่ยวชาญ เราจะเข้าถึงได้มากขึ้น”

ประสบการณ์นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอังกฤษ

เสกจิ๋ว เผยว่า ตอนสมัย ม.1 ตนเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมระยะสั้น ของ BWK International ซึ่งตนเดินทางไปเรียนภาษาระยะสั้น 2 สัปดาห์ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

“ไปแล้วรู้สึกตาสว่าง (หัวเราะ) เราไปคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ไปด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้ลองใช้ชีวิตเองในต่างประเทศแบบที่เราใฝ่ฝันมาตลอด พอไปถึงเราก็ได้เจอกับสภาพแวดล้อมในแบบที่เราอยากใช้ชีวิตอยู่มากๆ เป็นเมืองที่น่าอยู่มาก เพื่อนในชั้นเรียนเดียวกันก็ดีกับเรามาก ทุกคนให้เกียรติกัน”

“สิ่งแรกที่เราไปแล้วตกใจมาก คือ [ลอนดอน] เมืองไม่มีสะพานลอย (หัวเราะ) แล้วเราก็ได้รู้ว่าที่ไม่มีสะพานลอยเพราะคนที่เขานั่งวีลแชร์จะได้ข้ามถนนได้ เราชอบมากๆ รถไฟก็ติดแอร์ นั่งได้ยาวๆ ไม่เหมือนรถไฟไทย ไม่เหมือนเลยทุกอย่าง เราชอบมากๆ ชอบบรรยากาศทุกอย่าง” เสกจิ๋ว เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมเผยว่าตนฝันอยากจะนั่งรถไฟดีๆ ในไทยแบบที่เคยนั่งสมัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษบ้าง ทั้งยังบอกว่าหากเป็นไปได้ อยากให้ไทยเลิกสร้างสะพานลอย แต่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมกับคนทุกกลุ่ม

“เราคนจะมองถึงทุกคน ว่าทุกคนควรที่สามารถเดินทางเองได้ คนที่ใช้วีลแชร์ควรจะข้ามถนนเองได้ ฟุตบาทก็ควรทำให้ดีกว่านี้” เสกจิ๋ว กล่าว

ที่มาของนามแฝง ‘เสกจิ๋ว’

เสกจิ๋ว เล่าว่า นามแฝงนี้เป็นที่รู้จักกันในโลกออนไลน์ เพราะเป็นชื่อที่ใช้ในทวิตเตอร์ ซึ่ง เสกจิ๋ว ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตนชื่นชอบ ‘เสก โลโซ’ และยกให้เป็นที่สุดของศิลปินในดวงใจ

“ชอบมาก ชอบมากที่สุดในโลก (หัวเราะ) พ่อเราฟังพี่เสกอยู่แล้ว แต่ตอนแรกๆ เราก็ไม่ได้สนใจ แต่สมัยประถม เราขึ้นเล่นดนตรี ก็เลยแต่งตัวแบบชาวร็อค เพื่อนๆ ก็พากันบอกว่า ‘เนี่ย เหมือนพี่เสกมากเลย’ เราก็งงว่าพี่เสกอะไรกัน (หัวเราะ) ก็เลยไปหาข้อมูลว่าพี่เสกคือใคร พอได้ฟังเพลงพี่เสกแล้วก็ชอบมาก ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น และชอบมาเรื่อยๆ”

“ถ้าถามถึงเพลงพี่เสกในดวงใจ ต้องยกให้ ‘ซมซาน’ เลย เพลงนี้อันดับหนึ่ง ฟังเท่าไรก็ไม่เบื่อ ฟังสบายๆ”

เล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก

เสกจิ๋ว เผยว่า นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว การเล่นดนตรีก็ถือเป็นงานอดิเรกที่ตนชื่นชอบ ซึ่งเครื่องดนตรีที่ถนัดที่สุด คือ กีตาร์ แต่จริงๆ แล้วตนสามารถเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด ทั้งเครื่องดนตรีไทย เช่น ขิม ระนาด ฆ้องวง หรือเครื่องดนตรีสากลอย่างเปียโน และอูคูเลเล่ ก็สามารถเล่นได้เช่นกัน

“ตอนนี้มีวงดนตรีกับเพื่อนๆ กำลังตั้งใจว่าจะตั้งวงมาเล่นในม็อบนี่แหละ ตอนนี้ขาดมือเบสอย่างเดียว แต่คุยกันแล้วว่า โป๊ยเซียน จะซื้อเบสมาเล่น (หัวเราะ) ซึ่งพี่วาดดาว (ชุมาพร แต่งเกลี้ยง) ก็บอกว่าจะเข้ามาสนับสนุน วงเราก็จะเน้นแสดงเพลงเกี่ยวกับความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ และมีแนวเพลงแนวร็อค เน้นความสนุก ความมัน” เสกจิ๋ว กล่าว พร้อมบอกว่าแม้จะอยู่ในช่วงจัดตั้งวงดนตรี แต่ตนเคยแบกกีตาร์ไปฉายเดี่ยวเล่นดนตรีในกิจกรรมชุมนุมตามเวทีย่อยของตนมาแล้ว นอกจากนี้ เสกจิ๋ว ยังใช้เวลาว่างฝึกฝนทักษะด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก เช่น อะโดบี โฟโตช็อป และอะโดบี อิลลัสเตรเตอร์

อนาคตของประเทศไทยที่อยากเห็น

เสกจิ๋ว เผยว่า ตนอยากให้สังคมไทยมีความตระหนักรู้ในด้านต่างๆ มากขึ้น เช่น เรื่องคนพิการ หรือเรื่องเพศ

“จากประสบการณ์ของเรา ที่เพื่อนเราไปบอกคนในทวิตเตอร์ว่าเราไม่ต้องการให้คนอื่นเรียกเราว่าเป็นผู้หญิง เราอยากให้คนมีความตระหนักรู้เรื่องนี้เพิ่มขึ้น เช่น กรณีคนหายหรือถูกจับ คุณไม่จำเป็นต้องไปบอกว่าลักษณะทางเพศข้างนอกหรือ expression เขาจะเป็นอย่างไร แค่บอกไปว่าเป็นใคร บอกตัวตนเขาไปเลย หรืออย่างตอนที่เราโดนจับ เขาบังคับให้เราเป็นผู้หญิง เพราะเพศกำเนิดของเรา หรืออย่างเช่นคนที่เป็นเกย์ เขาก็คงไม่อยากให้เราไปเรียกเขาว่าเป็นผู้ชาย แค่ระบุชื่อ ระบุว่าเป็นเยาวชนไปเลย แต่ถ้าในทางการแพทย์เราเข้าใจนะ เพราะหลายคนจะมองร่างกายตามหลักอะนาโตมี (กายวิภาค)”

แด่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

“ถึงแม้สันติวิธีของเราจะไม่ตรงกัน คุณจะซื้อหรือไม่ซื้อวิธีการไหน เราก็อยากให้คุณเปิดใจรับฟังในอีกมุมมองหนึ่งหากมีคนลุกขึ้นมาต่อสู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง เราก็ไม่อยากให้ไปขัดขวางเขา เพราะทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน” เสกจิ๋ว กล่าวทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท