Sir James George Scott บอกไว้ชัดเจนว่า พวกเขินก็ตาม ลื้อก็ตาม ไม่เคยเรียกตัวเองว่าไทหรือไต ยืนยันว่าตนเป็นเขินหรือเป็นลื้อ ซึ่งก็ไม่ต่างจากพวก “ลาว” ในฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ำโขง ก็เรียกตนเองว่า “ลาว” เสมอ ไม่เคยเรียกว่าไทเลย จนถึงทุกวันนี้พวก “จ้วง” ในกวางสีก็ยังยืนยันว่าเขาเป็น “จ้วง” (ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ใหม่ที่จีนเหมารวมไว้ด้วยกัน) ไม่ใช่ไทหรือไต
ในบรรดาประชาชนที่พูดภาษาไทย มีคนที่เรียกตนเองว่าไทหรือไตอยู่ไม่กี่กลุ่ม หมอดอดด์ซึ่งเดินทางเท้าจากแถบสิบสองปันนาไปจนถึงเมืองนานนิง เพื่อต่อเรือไปเมืองกวางตุ้งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แม้ได้พบคนพูดภาษาไท-ไตอยู่หลายกลุ่มตลอดเส้นทาง แต่พวกเขาต่างเรียกตนเองด้วยชื่ออื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ ตัวหมอดอดด์เองต่างหากที่ไปเรียกพวกเขาว่าเป็นไท-ไต
นอกจากหมอดอดด์แล้ว ชาวตะวันตกในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทั้งที่เป็นนักวิชาการและมิชชันนารี ซึ่งได้พบปะหรือถึงศึกษากลุ่มคนที่พูดภาษาไท-ไต ต่างเรียกพวกเขาว่าเป็นประชาชนในกลุ่มไท-ไต เพราะเห็นได้ชัดว่าภาษาของเขาคือภาษาเดียวกับที่ใช้กันในสยาม อันเป็นดินแดนที่ประชาชนเรียกตนเองว่าคนไทย
ไท-ไต-ไทยจึงกลายเป็นชื่อชนชาติขึ้นมาจากชื่อทางวิชาการ
เมื่อผมมาอยู่เชียงใหม่แรกๆ ประชาชนที่นี่ต่างเรียกตนเองว่าเป็น “คนเมือง” แทนคำว่า “ยวนหรือโยน” ซึ่งเคยเป็นชื่อชาติพันธุ์อันใช้มาแต่เดิม ไม่ต่างจากเขิน, ลื้อ, และลาว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไรที่ “คนเมือง” ใช้คำว่า “คนไทย” ในสมัยนั้นเขาหมายความเฉพาะถึงคนที่มาจากภาคกลาง (และภาคใต้) เท่านั้น
ผมควรกล่าวไว้ด้วยว่า ประชาชนที่พูดภาษาไท-ไต แล้วเรียกตนเองว่าไทหรือไตก็มีอยู่ด้วยนะครับ ที่เรารู้จักกันดีก็คือพวก “ไตโหลง” หรือไทยใหญ่ในรัฐชาน อันเป็นผลให้ประชาชนในอะหมซึ่งเป็นอาณาจักรที่พวกไตโหลงเคลื่อนย้ายไปตั้งขึ้น ก็เรียกตนเองว่าไตเหมือนกัน เช่นเดียวกับประชาชนที่พูดภาษาไท-ไตในสิบสองจุไท เช่น ไทดำและไทขาว ต่างก็เรียกตนเองว่าเป็นไตเช่นกัน
ทั้งนี้ ไม่นับ “คนไทย” ในภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งเป็นพวกที่ค่อนข้างประหลาดอยู่สักหน่อย เพราะเป็นคนพูดภาษาไท-ไตที่เป็นแขนง d/ph (มีเสียง ท. และ พ.) เพียงกลุ่มเดียวในภูมิภาคนี้ ที่เรียกตนเองว่าไทย ในขณะที่พวกลาวซึ่งเป็นแขนง d/ph เหมือนกันหาได้เรียกตนเองว่าไทยไม่
แม้ว่าชื่อชนชาติไทยเป็นเพียงชื่อเรียกทางวิชาการ แต่ก็ถูกรัฐบาลกรุงเทพฯ ใช้เป็นชื่อชาติพันธุ์รวมประชาชนที่พูดภาษาไท-ไตในราชอาณาจักรไว้ด้วยกันหมด ไม่แต่เพียงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “ไทย” ในสมัยนายกฯ ป.พิบูลสงคราม เท่านั้น แม้ก่อนหน้านั้นเมื่อกรุงเทพฯ ตัดสินใจเลิกเรียกมณฑลต่างๆ ด้วยชื่อชาติพันธุ์เดิม เช่น ลาวกาว, ลาวเฉียง ฯลฯ หันมาเรียกตามทิศทางภูมิศาสตร์ (อุดร, พายัพ ฯลฯ) ก็อ้างว่าเพราะล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน
พูดอีกอย่างหนึ่ง ความเป็นชาติพันธุ์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นปึกแผ่นของรัฐ เรียกเป็นศัพท์ว่า ethno-nationalism คือชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์
ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชาติในบางชาติเหมือนกัน โดยเฉพาะในยุโรปกลางและตะวันออก ส่วนหนึ่งก็เพื่อต่อต้านอำนาจของ “จักรวรรดิ” ซึ่งครอบงำตนอยู่ (ออสเตรียและรัสเซีย) แต่ไม่ใช่ในรัสเซีย (ซึ่งเป็นจักรวรรดิในตัวเอง ก่อนจะเป็น “สหภาพโซเวียต”) ไม่ใช่ชาตินิยมอินเดีย หรืออินโดนีเซีย และไม่ใช่ในอเมริกาเหนือและละตินอเมริกา
ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์นำมาสู่ความเป็นชาติได้จริง แต่ปัญหาของชาติเช่นนั้นมีอย่างน้อยสองอย่าง หนึ่งรัฐประชาชาติแต่ละแห่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางการเมือง ซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะรวมเอาคนชาติพันธุ์อันหลากหลายไว้ภายในเส้นเขตแดนตายตัวของรัฐ อันเป็นสิ่งที่เพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่ในรัฐชาติ จะจัดการกับ “ชนส่วนน้อย” เหล่านั้นอย่างไร ในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายรัฐก็คือจัดลำดับขั้นของชาติพันธุ์ให้เป็นพลเมืองชั้น 1 หรือ 2, 3, 4 ซึ่งมีสิทธิในทางปฏิบัติไม่เท่ากัน ดังนั้น แทนที่จะเกิดความเป็นปึกแผ่นในชาติ ก็กลับเป็นตรงกันข้าม
ปัญหาอย่างที่สองก็คือ ชาติพันธุ์ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์เหมือนกัน แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางสังคมและวัฒนธรรม เมื่อประดิษฐ์ขึ้นแล้ว ก็มักทำให้ผู้คนเข้าใจว่า ชาติพันธุ์นั้นๆ มีอยู่หรือดำรงอยู่มาแต่บรมสมกัลป์จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในประจักษ์พยานของการมีอยู่คือภาษา ซึ่งหากสืบค้นไปก็จะพบว่าล้วนใช้กันมาแต่โบราณเก่าแก่ทั้งนั้น ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้ไปสมมุติว่า “ชาติ” ของตนเป็นอะไรที่มีมาแต่โบราณเก่าแก่เหมือนกัน “ชาติ” จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลุดลอยออกไปจากความเป็นจริง ผู้คนต้องเคารพบูชาชาติอย่างมืดบอด เปิดโอกาสให้คนกลุ่มเล็กๆ เอารัดเอาเปรียบคนอื่นทั้งหมดในนามของ “ชาติ” อย่างไม่จบไม่สิ้น
ผมคิดว่าชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ของไทย บรรจุปัญหาทั้งสองอย่างไว้ครบถ้วน แต่พัฒนาการของคติชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ของไทยไม่ได้เป็นเส้นตรงเสียทีเดียว มีการหักงอคดเคี้ยวแปรผันมาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน
แม้ว่ารัฐบาลในสมัย ร.5 อาศัยชาติพันธุ์สร้างสำนึกความเป็นปึกแผ่นให้แก่รัฐที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ แต่เมื่อมาถึงปลายรัชกาลสำนึกนี้เริ่มแปรผันไปสู่ความเป็นปึกแผ่นของประชาชน (หรือที่เรียกว่า “ราษฎร” ในสมัยนั้น) ในหมู่ผู้ได้รับการศึกษาแผนใหม่ ชาติคือประชาชน ผู้เป็นเจ้าของตัวจริงของชาติ และด้วยเหตุดังนั้นชาติจึงมีความสำคัญสูงสุดเหนือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของนายทหารหนุ่มใน ร.ศ.130 ซึ่งเกิดขึ้นเพียงปีเดียวหลังสิ้นรัชกาลที่ 5
ผมเข้าใจว่า สำนึกชาตินิยมที่ถูกปลุกขึ้นในสมัย ร.6 ก็คงมีจุดหมายจะตอบโต้สำนึกชาตินิยมของผู้ได้รับการศึกษาแผนใหม่นี้เอง เพื่อทำให้ความเป็นชาติแยกไม่ออกจากพุทธศาสนาและสถาบันกษัตริย์ เป็นสามสถาบันที่แยกออกจากกันไม่ได้
ชาติจึงมีความหมายถึง “บ้านเมือง” มากกว่าประชาชน และในฐานะบ้านเมือง ชาติไทยย่อมมีมาแต่บรมสมกัลป์ โดยมีพระมหากษัตริย์และพุทธศาสนาเป็นหลักชัยตลอดมา ส่วนลำดับขั้นเชิงชาติพันธุ์ ก็เปลี่ยนจากระยะห่าง-ใกล้กับชาติพันธุ์หลัก เป็นห่าง-ใกล้จากสถาบันกษัตริย์ไปแทน ใกล้มากก็เป็นพลเมืองชั้น 1 ห่างออกมาเท่าใด ก็เรียงลำดับลงไป
หลัง 2475 จนถึงรัฐประหาร 2490 แกนนำคณะราษฎรช่วงชิงกันนิยามชาติในสองความหมาย ฝ่ายหนึ่งยังอิงอยู่กับชาตินิยมแบบ ร.6 แต่ลดความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ลงไป ส่งเสริมการเขียนประวัติศาสตร์ที่เน้นอานุภาพทางการเมืองและการทหารของ “ชาติ” ไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์ โดยเน้นย้ำบทบาทสำคัญให้อยู่กับชาติพันธุ์ไท-ไต อีกฝ่ายหนึ่งถือว่าชาติคือประชาชน และพยายามผลักดันนโยบายที่เอื้อต่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน รวมทั้งขยายบทบาทและอำนาจทางการเมืองของประชาชนด้วย
ฝ่ายแรกซึ่งมีกองทัพหนุนหลังได้โอกาสการนำสูงกว่า และหลังรัฐประหาร 2490 ก็สามารถขจัดฝ่ายหลังออกไปจากวงการเมืองได้เกือบสิ้นเชิง และด้วยเหตุดังนั้น “ชาติไทย” สืบต่อมาอีกหลายทศวรรษ จึงเป็นชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ไตมากกว่าของประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นพลเมือง
ความทรงจำเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติในหมู่คน “เชื้อสาย” จีน, มลายู, เวียดนาม, กะเหรี่ยง, แม้ว-เย้า, ขมุ, อาข่า ฯลฯ ยังมีอยู่ในหมู่พลเมืองจำนวนมาก และแม้จนถึงทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าทุก “เชื้อสาย” จะสามารถหลุดพ้นจากการเลือกปฏิบัติเช่นนั้นได้หมด
อย่างไรก็ตาม การเปิดเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบเสรีนิยมในต้นทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ทำให้พลเมือง “เชื้อสาย” อื่น โดยเฉพาะจีน เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่มากขึ้น ทำให้การกีดกันพลเมืองกลุ่มนี้ออกไปจากการเมืองทำได้ยากขึ้น จนในที่สุดก็หลุดออกไปจากการถูกเลือกปฏิบัติ ในขณะที่พลเมืองซึ่งยังไม่อาจเข้าสู่เศรษฐกิจแบบใหม่ได้เต็มที่ ยังต้องตกเป็นพลเมืองชั้น 2, 3 ต่อไป
แม้ยังมีพลเมืองที่ในทางปฏิบัติแล้ว หาได้มีความเท่าเทียมกับคนอื่นอยู่อีกมากในสังคมไทย แต่ข้ออ้างที่จะรอนสิทธิ์ผู้อื่นด้วยเหตุแห่งชาติพันธุ์ไม่อาจใช้ได้อีกแล้ว ผมจำได้ว่าในการสังหารหมู่ของวันที่ 6 ตุลานั้น ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายอันธพาลก่อความรุนแรง ต่างก็อ้างว่านักศึกษาที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีแต่ลูกญวนบ้าง ลูกจีนบ้าง ทั้งนั้น แต่ผมไม่ได้ยินข้ออ้างเช่นนี้เพื่อให้ความชอบธรรมแก่การใช้ความรุนแรงของตำรวจต่อผู้ประท้วงในช่วงระยะหลังเลยจนถึงปัจจุบัน
ในการชุมนุมของกลุ่ม พ.ธ.ม. เพื่อต่อต้านคุณทักษิณ ชินวัตร ผู้เข้าร่วมบางกลุ่มถึงประกาศตนเลยว่าเป็น “ลูกจีนรักชาติ”
อย่างน้อยหลักการกระจายสิทธิด้วยความต่างทางชาติพันธุ์ในประเทศไทย ก็กลายเป็นหลักการที่ไม่อาจประกาศโดยเปิดเผยได้เสียแล้ว และจะให้ผลร้ายทางการเมืองและสังคมแก่ผู้อ้างหลักการนี้จนไม่คุ้ม
ความเป็นชาติของไทยกำลังเปลี่ยน ชาติที่รวมตัวกันภายใต้บารมีของสถาบันหลักแห่งชาติก็ตาม ชาติที่อาศัยชาติพันธุ์หลักคือไทยเป็นแกนกลางให้ผู้คนรวมตัวกันเข้ามาก็ตาม ไม่ได้อยู่ในจินตนาการของคนรุ่นใหม่ไปเสียแล้ว ชาติในทัศนะของเขา กลายเป็นฐานอันแข็งแกร่งเพื่อรองรับระบบคุณค่าประชาธิปไตย เช่น เสรีภาพ, ความเท่าเทียม, ความยุติธรรม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ในการบริหารสาธารณะ ก็เรียกร้องประสิทธิภาพ, ความซื่อสัตย์ และความสำเร็จเป็นความอยู่ดีกินดีของประชาชน ซึ่งชาติแบบเดิมไม่เคยมอบให้ได้เลย บางส่วนของความใฝ่ฝันเหล่านี้ ก็เป็นที่ต้องการของกลุ่มที่ไม่เรียกตนเองว่าเป็นรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน
หากดูจากความใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ แม้แต่ตัดส่วนที่เป็นคุณค่าประชาธิปไตยออกไป ชาติภายใต้สถาบันหลักก็ตาม ชาติเชิงชาติพันธุ์ก็ตาม ไม่อาจตอบสนองได้เสียแล้ว ไม่ใช่ขัดข้องเชิงอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว แต่รัฐชาติในความหมายทั้งสองอย่างนั้นได้เดินมาถึงจุดเสื่อมจนไร้พลังจะตอบสนองได้อีกเลย
เช่น ลองคิดดูเถิดว่า กองทัพซึ่งเป็นกำลังค้ำจุนหลักของรัฐชาติทั้งสองแบบจะต้องปฏิรูปตนเองขนานใหญ่, กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองเพื่อผดุงความยุติธรรมตามกฏหมายแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม, ระบบเศรษฐกิจที่ยกความได้เปรียบให้แก่นายทุนใหญ่ ต้องหันมาลดความได้เปรียบนี้ลง และเปิดโอกาสให้คนเล็กคนน้อยได้เข้าถึงปัจจัยการพัฒนาตนเองที่สำคัญๆ อย่างทั่วถึง, ระบบการศึกษาทั้งระบบต้องเปลี่ยนมาสู่การเรียนรู้แทนการยัดเยียด ฯลฯ กองทัพ, กระบวนการยุติธรรม, ระบบเศรษฐกิจ, ระบบการศึกษา และอะไรอื่นอีกมากมายหลายอย่างจะทำได้หรือ… ไม่ว่านายกฯ จะมาจาก “คนใน” หรือ “คนนอก”
การประท้วงของประชาชนที่ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง และการยึดกุมอำนาจอย่างดื้อดึงแข็งขืนที่สุดเท่าที่จะทำได้ของฝ่ายอำนาจในเวลานี้ เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นความตายอย่างเชื่องช้าและอย่างทรมานของ “ชาติ” ในความหมายแบบเก่าได้อย่างดี
ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์ www.matichonweekly.com/column/article_452476