Skip to main content
sharethis

เปิดสินทรัพย์รวมย้อนหลังของ 5 บริษัทที่ปรากฎชื่อในเอกสารอ้างอิงราคากลางจัดซื้อ 'รถหุ้มเกราะ' 8 คัน วงเงินรวม 198 บาทของกองทัพเรือ พบ 1 ใน 5 บริษัทมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นสูงสุด 172.11% และ 1 ในบริษัททั้งหมดมีที่ตั้งเป็นอาคารพาณิชย์ใกล้เยาวราช

1 ก.ย. 2564 วอยซ์ออนไลน์รายงานว่าเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2564 กรมการขนส่งทหารเรือออกประกาศการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง (8X8) ชนิดลำเลียงพล จำนวน 2 คัน วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร 99 ล้านบาท คันละ 49.95 ล้านบาท โดยอ้างแหล่งที่มาของราคากลาง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด, บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด และบริษัทปรีชาถาวรอุตสาหกรรมจำกัด

นอกจากนี้ ในวันที่ 27 ส.ค. 2564 กรมการขนส่งทหารเรือได้ออกประกาศการจัดซื้อจัดจ้างอีก 1 ฉบับในโครงการซื้อรถหุ้มเกราะอเนกประสงค์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4x4) จำนวน 6 คัน วงเงินงบประมาณ 99 ล้านบาท คันละ 16.65 ล้านบาท โดยอ้างแหล่งที่มาของราคากลาง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด, บริษัท นันทเทรด จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.สยามพาณิชย์ รวมวงเงินจัดซื้อรถหุ้มเกราะทั้ง 2 โครงการทั้งสิ้น 198 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2545 ด้วยทุนจดทะเบียน 310 ล้านบาทจากผู้ร่วมลงทุนชาวไทย 4 คน (สัดส่วนมูลค่าการลงทุน 98.75%) และผู้ร่วมลงทุนสัญชาติมาเลเซีย 1 คน (สัดส่วนมูลค่าการลงทุน 1.25%) สถานะปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ โดยมีพนัส วัฒนชัย เป็นคณะกรรมการบริหาร จุดประสงค์ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ระบุว่า เพื่อขายส่งเหล็กเหล็กกล้าและโลหะที่นอกกลุ่มเหล็กขั้นมูลฐาน แต่จากการส่งงบประมาณการเงินล่าสุดระบุจุดประสงค์ว่าเพื่อผลิตยานยนต์ รถพ่วงและกึ่งพ่วง ในปี 2561 บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด มีทรัพย์สินรวม 1,823,802,737.09 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 25.35% ต่อมาในปี 2562 มีสินทรัพย์รวม 2,458,480,099.06 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 34.79% และในปี 2563 สินทรัพย์รวมของบริษัทลดลง -8.49% เหลือ 2,249,568,071.23 บาท

ก่อนหน้านี้ในปี 2562 สำนักข่าวอิศรารายงานว่าบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด คือ ผู้ให้เช่ารถลากจูงสัมภาระยี่ห้อ Bliss Fox รุ่น F1-40 ของประเทศออสเตรเลีย จำนวนทั้งหมด 54 คัน วงเงิน 125 ล้านบาท แก่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งพนักงานของการบินไทยจำนวนหนึ่งมาร้องเรียนต่อสำนักข่าวอิศราว่าการจัดซื้อจัดจ้างรถลากจูงสัมภาระดังกล่าวอาจขัดต่อเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ที่กำหนดให้ฝ่ายเอกชน เป็นผู้รับผิดชอบจัดหาพนักงานรวมไปถึงการออกค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงรถอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เพราะว่าพนักงานการบินไทยเข้าไปช่วยทำงานในส่วนดังกล่าว พนักงานการบินไทยจึงมีข้อกังวลว่าการทำงานของผู้บริหารในขณะนั้นอาจเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอกชน อย่างไรก็ตาม พนัส วัฒนชัย ผู้บริหารของบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ได้ออกมาชี้แจงกับสำนักข่าวอิศราว่าบริษัทดำเนินการตามเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างทุกประการ และมีพนักงานของบริษัทประจำการอยู่ในหน่วยซ่อมบำรุง ไม่ได้ใช้พนักงานของการบินไทยทำหน้าที่แทนแต่อย่างใด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ากระแสข่าวดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเพราะมีพนักงานการบินไทยบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์

บริษัทที่ 2 ที่มีชื่อในการอ้างอิงราคาจัดซื้อรถหุ้มเกราะของกองทัพเรือในทั้ง 2 โครงการ คือ บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท โดยมีหิรัญ กุลหิรัญ เป็นกรรมการผู้จัดการ และนพรัตน์ กุลหิรัญ หรือ 'มาดามรถถัง' เป็นรองประธาน จุดประสงค์เริ่มแรกในการจดทะเบียนของบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด คือเป็นผู้ผลิตและประกอบยานยนต์ล้อ ยานยนต์สายพาน ข้อต่อสายพาน ล้อกดสายพานเฟืองขับของรถยนต์ แต่ต่อมาได้ขยายธุรกิจไปทำด้านการผลิตและซ่อมบำรุงรถและชิ้นส่วนรถหุ้มเกราะให้แก่กองทัพบกไทย รวมถึงส่งออกยานเกราะที่เกี่ยวข้องกับการทหารไปยังต่างประเทศ ปัจจุบันยังคงดำเนินกิจการอยู่

ในปี 2557 บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด มีสินทรัพย์รวม 667,071,077.58 บาท ลดลงจากปีก่อนหน้า -1.74% ในปี 2558 สินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดิม 32.75% อยู่ที่ 885,595,324.16 บาท และในปี 2559 มีสินทรัพย์รวม 1,179,845,957.86 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 33.22% ต่อมาในปี 2560 สินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงจากปีก่อนหน้า 0.40% ลงมาอยู่ที่ 1,175,044,921.85 บาท และในปี 2561 มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3.67% และลดลง -11.31% อีกครั้งในปีถัดมา รวมสินทรัพย์อยู่ที่ 1,080,318,708.91 บาท และในปี 2563 สินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงจากปีก่อนหน้า -4.77% รวมมีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 1,028,744,252.60 บาท

บริษัทต่อมา คือ บริษัท ปรีชาถาวรอุตสาหกรรม จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 7 พ.ค. 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่จดทะเบียนเมื่อก่อตั้งบริษัท คือ ธุรกิจการบำรุงรักษาและการซ่อมตัวถังประตูหน้าต่างและอื่นๆ ที่คล้ายกัน ต่อมาในปีงบการเงินล่าสุด ได้เปลี่ยนแปลงประเภทธุรกิจเป็นธุรกิจผลิตยานยนต์ทางการทหารเพื่อใช้ในการสู้รบ โดยในปี 2557 บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 316,383,638.80 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1.31% ในปี 2558 มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 296,266,370.15 บาท ลดลงจากเดิม -6.35% ต่อมาในปี 2559 มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากเดิม 11.71% รวมอยู่ที่ 330,986,747.43 บาท

ในปีถัดมา บริษัทมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 14.04% เป็น 377,476,958.79 บาท หลังจากนั้นในปี 2561 สินทรัพย์รวมลดลงจากปีก่อนหน้าถึง -19.09% อยู่ที่ 305,392,125.48 บาท และมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3.74% ในปี 2562 อยู่ที่ 316,819,940.27 บาท ล่าสุดในปี 2563 งบการเงินที่บริษัทนำส่งแก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าบริษัทมีสินทรัพย์รวมลดลงจากปีก่อนหน้า -11.87% รวมสินทรัพย์ในปัจจุบันทั้งสินอยู่ที่ 279,182,613.73 บาท

สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า บริษัท ปรีชาถาวรอุตสาหกรรม จำกัด เป็นบริษัทเอกชนรายเดียวได้ที่รับการว่างจ้างจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ให้จัดซื้อรถหุ้มเกราะกันกระสุนจำนวน 66 คัน วงเงิน 179,443,100 บาท ดำเนินการตั้งแต่ ก.ย. 2555 ถึง มิ.ย. 2556 นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวยังเป็นผู้ขายรถยนต์หุ้มเกราะป้องกันกระสุน ยี่ห้อ VOLKSWAGEN รุ่น Caravelle TDI 2.0 ดีเซล เกียร์อัตโนมัติ จำนวน 2 คัน ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้ในกิจการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ 30 ก.ย.2554 วงเงิน 7.8 ล้านบาท และเป็นผู้ขายรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนให้สำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้ใน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อ 14 พ.ค. 2556 จำนวน 58 ล้านบาท และมีการจัดซื้อจัดจ้างให้แก่หน่วยงานในกองทัพอีกหลายครั้ง

อีกหนึ่งบริษัทที่มีชื่อปรากฎเป็นแหล่งอ้างอิงราคากลางในการซื้อรถหุ้มเกราะครั้งนี้ คือ บริษัท นันทเทรด จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2536 ด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 5 ล้านบาท เพื่อประกอบกิจการค้าวัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ทุกชนิดทุกประเภท ประกอบกิจการค้า เคมีภัณฑ์ต่างๆ ทุกชนิดทุกประเภท โดยในปี 2556 มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 8,835,337.58 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 32.92% ในปี 2557 มีสินทรัพย์รวม 10,345,274.17 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 17.08% ในปี 2558 มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 14,465,048.39 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 39.82%

ในปี 2559 บริษัทมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นสูงที่สุด โดยเพิ่มจากปีก่อนหน้าถึง 172.11% อยู่ที่ 39,361,631.32 ในปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 46,302,311.51 เพิ่มขึ้น 17.63% ในปี 2561 มีสินทรัพย์รวม 44,714,310.92 บาท ลดลง -3.42% และในปี 2562 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่บริษัทส่งข้อมูลทาการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่ามีสินทรัพย์ 53,133,305.45 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 18.82% ทั้งนี้ บริษัท นันทเทรด จำกัด เคยมีชื่อปรากฎในเอกสารอ้างอิงราคากลางการจัดซื้อชุดทำความสะอาดปืนพก ขนาด 9 มิลลิเมตร และขนาด 11 มิลลิเมตร จำนวน 2,000 ชุด โดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบก เมื่อปี 2562 มีวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรทั้งสิ้น 3.6 ล้านบาท โดยเป็นบริษัทเอกสารชนเพียงรายเดียวที่เป็นแหล่งอ้างอิงราคากลาง

บริษัทสุดท้ายที่มีชื่อปรากฏในเอกสารจัดซื้อรถหุ้มเกราะของกองทัพเรือ คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.สยามพานิช จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2505 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เพื่อประกอบกิจการขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมใหม่ของยานยนต์ ที่ตั้งของบริษัทอยู่ที่อาคารพาณิชย์เลขที่ 127 ซ.เฉลิมเขตร์ 1 ถ.เฉลิมเขตร์ 1 วัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โดยมีเหรียญ ศรีโสภาจิต และปิยะ ศรีโสภาจิต เป็นหุ้นส่วนกรรมการ

ข้อมูลการเงินในปี 2561 พบว่าบริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 42,666,654.60 บาท ลดลงจากปีก่อนหน้า -17.18% ในปี 2562 มีสินทรัพย์รวม 40,692,747.84 บาท ลดลง -4.62% ในปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 45,653,926.48 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 12.19%

ที่มา:

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net