Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

จากการที่คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564 โดยเป็นการประชุมลับเพื่อยกเลิกการยกย่องเชิดชูเกียรติการเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2554 ของ อ.สุชาติ สวัสดิศรี โดยให้เหตุผลว่าได้กระทำการโพสต์ข้อความที่เป็นประเด็นขัดแย้งในสังคมลงในสื่อเฟซบุ๊กอยู่เป็นประจำ โดยมีถ้อยคำหรือภาพที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นพฤติกรรมที่มีความประพฤติเสื่อมเสียต่อการเป็นศิลปินแห่งชาติตามข้อ 10 วรรคสอง ของกฎกระทรวงกำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือก และประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ.2555 และแก้ไขเพิ่มเติมในกฎกระทรวงฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 ข้อ2 นั้น 

ผลที่ตามมาคือการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ทั้งในแง่ความเหมาะสม ธรรมเนียมการปฏิบัติในนานาอารยประเทศ และประเด็นทางกฎหมาย ซึ่งผมจะเสนอความเห็นเฉพาะในประเด็นทางกฎหมายเพื่อให้เห็นถึงการซ่อนเงื่อนหรือหมกเม็ดไว้ ส่วนประเด็นอื่นมีผู้นำเสนอไว้เยอะแล้ว

1.ปัญหาเชิงเนื้อหา

มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าข้อเท็จจริงอันเป็นเงื่อนไขในการออกมติมีเพียงใด การโพสต์ข้อความ มีภาพ ถ้อยคำ หมิ่นเหม่ ไม่สมควร ไม่เหมาะสม ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีข้อเท็จจริงอย่างไร ต้องให้เปิดออกมาเพื่อสามารถโต้แย้งได้อย่างชัดเจน หรือเป็นการตีความไปเอง แล้วคำว่าเสื่อมเสีย นั้น เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง คณะกรรมการฯ ตีความโดยอาศัยเหตุผล ความเชื่อแบบไหน เป็นการตีความขัดต่อเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร

ที่สำคัญกฎกระทรวงฯ ไม่ได้บัญญัติลักษณะของการเสื่อมเสียไว้ เช่น ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและอัยการเห็นควรสั่งฟ้อง เป็นต้น คณะกรรมการฯ จึงไม่มีอำนาจบัญญัติลักษณะของการเสื่อมเสียขึ้นมาเองตามอำเภอใจ หรือตามทัศนคติทางการเมืองของตน อีกทั้งกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 และ3  ยังคุ้มครอง อ.สุชาติอยู่

ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการไม่มีอำนาจนิยามลักษณะหรือความหมายของคำว่าเสื่อมเสียขึ้นมาเองตามอำเภอใจ การลงมติถอดถอนโดยที่ อ.สุชาติไม่ต้องคำพิพากษาใดใด ไม่เคยถูกร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีอาญาใดใด จึงเป็นการกระทำการโดยไม่สุจริต หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 (1) และ (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

2.ปัญหาเชิงกระบวนการ

ในการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ไม่ได้ให้โอกาส อ.สุชาติใช้สิทธิโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการฯ มาตรา 30  การที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ระบุว่า อ.สุชาติมีสิทธิชี้แจงคณะกรรมการฯ ภายใน 30 วัน นั้น กฎกระทรวงฯ ที่อ้างในการปลด ก็ไม่พบเรื่องการให้ชี้แจงภายใน 30 วัน หรือเรื่องการอุทธรณ์ร้องทุกข์ใดๆ และการชี้แจงดังกล่าวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ เพราะไม่พบว่ามีกฎหมายกำหนดเรื่องการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการฯ นี้แต่อย่างใด

ซึ่งกรณีดังกล่าว ถ้า อ.สุชาติยื่นชี้แจง น่าจะเป็นการเปิดประตูไปสู่เรื่อง "การขอพิจารณาใหม่" ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการฯ มาตรา 54 หรือคณะกรรมการฯ กำลังใช้เทคนิคล่อให้เข้า ม.41 (3) ของ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ เป็นเทคนิคหลอกล่อให้เข้าทางเพราะ ม.41 (3) บัญญัติไว้ว่า “มาตรา 41 คำสั่งทางปกครองที่ออกโดยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ ไม่เป็นเหตุให้คำสั่งทางปกครองนั้นไม่สมบูรณ์ ... (3) การรับฟังคู่กรณีที่จำเป็นต้องกระทำได้ดำเนินการมาโดยไม่สมบูรณ์ถ้าได้มีการรับฟังให้สมบูรณ์ในภายหลัง....”  

นอกจากนั้นผมเข้าใจว่าคณะกรรมการฯ คงจะอ้างข้อ (1) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2540) ที่ออกตามความใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ โดยอ้างว่าการให้พ้นจากตำแหน่งเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 30 วรรคสอง (6) ที่ไม่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน ซึ่งก็ฟังไม่ขึ้นเพราะในหมายเหตุท้ายกฎกระทรวงได้ให้เหตุผลว่าต้องเป็นกรณีที่โดยสภาพไม่สามารถแจ้งหรือไม่สมควรแจ้งให้คู่กรณีทราบก่อนการทำคำสั่งทางปกครอง ซึ่งข้อเท็จจริงในกรณีนี้สามารถแจ้ง อ.สุชาติได้อยู่แล้ว และไม่มีเหตุผลใดที่จะมาอ้างได้ว่าไม่สมควรแจ้งเจ้าตัวน่ะครับ เพราะมิใช่การพ้นตำแหน่งเช่น การย้ายข้าราชการที่มิใช่อยู่ในวิสัยที่ควรกระทำ เป็นต้น

ฉะนั้น จึงเป็นการกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น ตามมาตรา 9 (1) และ (3) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

3.การฟ้องคดี

3.1 ศาลปกครอง
เนื่องจากคณะกรรมการต่างๆ ที่ไม่อยู่ในระบบการบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ในชั้นเหนือขึ้นไปที่จะพิจารณาอุทธรณ์ต่อไปได้ ดังนั้น มาตรา 48 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ จึงบัญญัติให้โต้แย้งคำสั่งของคณะกรรมการต่างๆ ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ และโดยที่มาตรา 87 บัญญัติให้มาตรา 48 เป็นอันยกเลิกเมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นทำหน้าที่แทนคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ผู้รับคำสั่งจึงสามารถนำคดีไปสู่ศาลปกครองได้โดยไม่ต้องอุทธรณ์ก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของคณะกรรมการต่างๆ เช่น คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ/คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ/ คณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งคำสั่งขององค์กรกลุ่มที่เรียกชื่ออย่างอื่น เช่น สภามหาวิทยาลัย สภาองค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพ เช่น สภาวิศวกร หรือสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ฯ ลฯ  

ในเมื่อคำสั่งถอด อ.สุชาติมีสถานะเป็นคำสั่งทางปกครองตาม มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการฯ และเมื่อเป็นคำสั่งของคณะกรรมการฯ ซึ่งไม่พบว่ามีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ไว้ ดังนั้น อ.สุชาติจึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องชี้แจงต่อคณะกรรมการฯ แต่อย่างใด โดยอาจฟ้องเพื่อยกเลิกคำสั่งอย่างเดียวหรือฟ้องละเมิดทางปกครองควบคู่กันไปด้วยก็ได้

3.2 ศาลยุติธรรม

แน่นอนว่าการมีมติครั้งนี้หากมีคำพิพากษาศาลปกครองถึงที่สุดว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตจริง ผู้เสียหาย คือ อ.สุชาติย่อมนำคดีไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมตามประมวลอาญามาตรา 157 ได้ ซึ่งคณะกรรมการก็ต้องรับผิดเป็นการเฉพาะตัวไป 

แต่ก็อย่างว่าแหละครับงานนี้คุณวิษณุได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าในส่วนของตัวเองและ รมว.วัฒนธรรมซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองและปลัดฯ ได้งดออกเสียง ก็ปล่อยให้ที่เหลือผจญกรรมกันเองต่อไปน่ะครับ
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net