Skip to main content
sharethis

เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ออกจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.แรงงาน ตั้ง 3 ข้อสังเกตพร้อมทั้งยื่น 6 ข้อเสนอต่อนโยบายการบริหารจัดการโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ในโรงงาน

 

15 ก.ย. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (14 ก.ย. 64) เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group - MWG) ออกจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตั้งข้อสังเกตพร้อมทั้งยื่นข้อเสนอต่อนโยบายการบริหารจัดการโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ในโรงงาน หรือ Factory Sandbox ของกระทรวงแรงงาน

โดยเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติตั้งข้อสังเกตว่า การบริหารจัดการของกระทรวงแรงงานมุ่งเน้นคนทำงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งอาจจะทำให้แรงงานบางรายที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมตกหล่นจากโครงการนี้ แม้จะทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการก็ตาม และในด้านมิติของการการคุ้มครองคนทำงานจากการเก็บข้อมูลเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติพบว่า แรงงานประสบปัญหาที่คล้ายๆ กัน เช่น แรงงานอาจถูกสั่งให้พักงานชั่วคราวได้ หากพบว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อเพื่อสังเกตอาการโดยยังไม่มีแนวทางชัดเจนเรื่องค่าจ้าง ค่าแรงของแรงงานว่าจะได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติแรงงานมักถูกให้ใช้วันหยุด วันลา พักร้อนในการกักตัว ทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิของลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งที่พักของคนงานที่มีความแออัดและมีความเสี่ยงต่อการติดโรค หรืออาหารและน้ำดื่มไม่เพียงพอในช่วงกักตัว และถ้าพ่อแม่ต้องเข้าร่วมในโครงการ Factory Sandbox ลูกหลานหรือผู้ติดตามของแรงงานอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังไร้คนดูแล

นอกจากนี้ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาความไม่ชัดเจนด้านต้นทุนในการตรวจคัดกรอง ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ระบุไว้ในคู่มือของกรมควบคุมโรคว่าภาคส่วนใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น หากแรงงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวน 474,109 คน ที่ต้องตรวจ RT-PCR ในครั้งแรกต้องใช้งบประมาณในการตรวจอย่างน้อย 1 พันล้านบาท (คิดที่อัตราค่าตรวจ 3,000/คน) และการตรวจโดยชุดตรวจแอนติเจนด้วยตนเอง (Antigen Self-Testing Kit: Self ATK) อีกทุกสัปดาห์ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 33,187,630 บาท (คิดที่อัตรา ATK 70 บาท/คน/สัปดาห์) และหากต้องใช้ 4 ครั้ง/เดือน แรงงานต้องใช้อุปกรณ์ ATK จำนวนทั้งสิ้น 1,896,436 ชิ้น ซึ่งยังไม่มีความไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานไหนจะเข้ามารับผิดชอบต้นทุนในการตรวจคัดกรองส่วนนี้ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติได้รับข้อมูลจากแรงงานในโรงงานว่า มีแรงงานจำนวนมากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการตรวจ ATK ด้วยตัวเอง และจำนวน ATK ที่แรงงานต้องใช้อาจจะมีไม่เพียงพอ

 

สำหรับจดหมายเปิดผนึก มีรายละเอียดดังนี้

 

จดหมายเปิดผนึก

14 กันยายน 2564

เรื่อง ขอสังเกตและขอเสนอต่อนโยบายการบริหารจัดการโครงการ Factory Sandbox ของกระทรวงแรงงาน เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

สำเนาถึง:

1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

4. ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

5. สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย (TFFA)

6. สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย

7. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

8. หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการ นำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) โดยกระทรวงแรงงานได้เริ่มดำเนิน โครงการนำร่อง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 มุ่งเน้นสถานประกอบการ กิจการ โรงงานภาคการผลิตส่งออกขนาด ใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถดำเนินกิจกรรมต่อไปได้ 4 ประเภท ได้แก่ ยานยนต์ ชิ้นส่วนอเล็กทรอนิกส์ อาหาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในพื้นที่เป้าหมายในระยะแรก 4 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี และมีลูกจ้างตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป ควบคู่กับมาตรการควบคุมและป้องกันโรค ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19

กระทรวงแรงงานรายงานว่า พื้นที่เป้าหมายระยะแรกมีสถานประกอบการ 387 แห่ง ลูกจ้างที่เป็น ผู้ประกันตน รวม 474,109 คน เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ มีข้อสังเกตเห็นว่า

  1. โครงการดังกล่าวมีกระทรวงแรงงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและ กระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข” รักษาเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจและด้านการจ้างงาน คู่กับการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เครือข่ายฯเห็นว่า แม้กระทรวงแรงงานจะเป็นเจ้าภาพหลักของโครงการฯ แต่การบริหารจัดการแรงงานมีการมุ่งเน้นคนทำงานที่อยู่ ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 อันอาจจะทำให้แรงงานบางรายที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมกลายเป็นผู้ตกหล่นในโครงการแม้จะอยู่ในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ
  2. ในด้านมิติของการการคุ้มครองคนทำงาน อันเป็นการส่งเสริมการทำงานที่มีคุณค่า (decent work) ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค จากการเก็บข้อมูลแรงงานทั้งที่อยู่ในโครงการ Bubble and Seal- BBS และนอกโครงการ แรงงานประสบปัญหาที่คล้ายๆ กัน เช่น แรงงานอาจถูกสั่งให้พักงานชั่วคราวได้ หากพบว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อเพื่อสังเกตอาการ โดยยังไม่มีแนวทางชัดเจนเรื่องค่าจ้าง ค่าแรงของแรงงานว่าจะได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติแรงงานมักถูกให้ใช้วันหยุด วันลา พักร้อนในการกักตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิของลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานว่าด้วยสิทธิในการได้รับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ในยามปกติ รวมถึงสถานที่พักของคนงาน แม้จะมีการกำหนดแนวทางของสาธารณสุขแต่จากเคสที่เครือข่ายฯได้รับ พบว่าแรงงานยังต้องอยู่ในสภาพที่ แออัดมีความเสี่ยง และอาหารและน้ำดื่มที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งสมาชิกในครอบครัว ถ้าพ่อแม่ต้องเข้าร่วมในโครงการ เด็กผู้ติดตามจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและไร้คนดูแล เป็นต้น
  3. เครือข่ายฯ พบว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้จัดทำคู่มือรายละเอียดว่าด้วย “มาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal - BBS) สำหรับสถานประกอบ กิจการ” ไว้อย่างละเอียด อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติโดยเฉพาะกระบวนการที่แรงงานทุกคนจะต้อง ทำการตรวจคัดกรองหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR เพื่อแยกผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาทันที อีก ทั้งให้มีการตรวจโดยชุดตรวจแอนติเจนด้วยตนเอง (Antigen Self-Testing Kit: Self ATK) ทุกสัปดาห์ เครือข่ายฯ มีข้อสังเกตถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ระบุไว้ในคู่มือของกรมควบคุมโรคว่าภาคส่วนใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ หากพิจารณาถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวน 474,109 คน ที่ต้องตรวจ RT-PCR ในครั้งแรกต้องใช้งบประมาณในการตรวจอย่างน้อย 1 พันล้านบาท (คิดที่อัตราค่าตรวจ 3,000/คน) และการตรวจ ATK อีกทุกสัปดาห์ ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 33,187,630 บาท (คิดที่อัตรา ATK 70 บาท/คน/สัปดาห์) และหากต้องใช้สี่ครั้ง/เดือน แรงงานต้องใช้อุปกรณ์ ATK จำนวนทั้งสิ้น 1,896,436 ชิ้น ซึ่งนอกจากปัญหาความไม่ชัดเจนด้านต้นทุนในการตรวจคัดกรองแล้ว และข้อมูลที่เครือข่ายฯ ได้รับจากแรงงานที่สถานประกอบกิจการบริหารจัดการโรงงานในในลักษณะ BBS แรงงานจำนวนมากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการตรวจ ATK ด้วยตัวเอง และจำนวน ATK ที่แรงงานต้องใช้อาจจะมีไม่เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีมติจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) จำนวน 8.5 ล้านชุด พบว่าพื้นที่เป้าหมายในการจัดสรรอยู่ในชุมชนแออัด ตลาด เน้นกลุ่มเสี่ยง และผู้ทำงานให้กับชุมชน และจากที่ปรากฏจากข่าวออนไลน์ สปสช. สามารถดำเนินการแจก ATK ให้กับประชาชนได้กลางเดือนกันยายน เป็นต้นไป ในขณะที่ โครงการนำร่อง Factory Sandbox ได้มีการดำเนินการแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2564

ดังนั้น เพื่อให้เกิดการรักษาเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงานควบคู่กับการควบคุมและป้องกันโรคอันเป็นกระบวนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19 และสอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามหลักกฎหมายของรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2560 ทางเครือข่ายฯ มีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

  1. จัดทำคู่มือว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิคนงานภายใต้โครงการควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ เพื่อเป็นแนวทางที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการและแรงงาน ในกรณีที่ต้องมีการพักหยุดงาน การใช้วันหยุด วันลาของ แรงงาน ความชัดเจนของการจ่ายค่าแรง หรือค่าชดเชย เนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎการปฏิบัติตัวเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพื่อป้องกันมิให้แรงงานสูญเสียสิทธิอันพึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานแรงงาน พ.ศ.2541 โดยกระทรวงแรงงานจะต้องออกประกาศ กำหนดให้การลาป่วยหรือการกักตัวจากการระบาดขอโรคโควิด-19 เป็นการลาป่วยที่ต้องได้รับค่าจ้างตามกฎหมาย ไม่อยู่ในเงื่อนไขของการลาป่วยตามปกติเนื่องจากมีระยะเวลาในการรักษาตัวหรือกักตัว ในการควบคุมโรคเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการในการตรวจแรงงานเชิงรุกอย่างเข้มข้น และสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เช่น การให้ยื่นคำร้องในระบบออนไลน์ที่มีภาษาของแรงงานข้ามชาติ และเปิดให้ยื่นคำร้องในลักษณะกลุ่มได้ ทั้งนี้กิจการที่เข้าสู่ โครงการทั้ง 4 กิจการเกี่ยวข้องกับการส่งออก ดังนั้นนอกจากรักษามาตรฐานของสินค้า การคุ้มครอง แรงงานนับเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ประเทศผู้ซื้อให้ความสำคัญ และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของไทยทั้งในด้านหลักการทำธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Business and Human Rights)
  2. ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาขยายกลุ่มแรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตามตามพรบ.ประกันสังคม มาตรา 33 ซึ่งอาจจะอยู่ในโรงงานที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงแรงงาน เนื่องจากแรงงานในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ มีทั้งแรงงานไทยและข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันแรงงานข้ามชาติถูกจัดแบ่งการบริหารเป็นหลายกลุ่มประเภท ซึ่งอาจจะทำให้แรงงานบางรายอยู่ในขั้นตอนที่กำลังเข้าสู่การเป็นผู้ประกันตน รวมถึงการเข้าถึงสิทธิประกันการว่างงาน ในกรณีที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและถูกให้กักตัว โดยที่ แรงงานอาจจะไม่สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
  3. ขอให้กระทรวงแรงงานหารือด่วนกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้การจัดสรรอุปกรณ์การตรวจคัด กรองมีความเพียงพอต่อจำนวนแรงงานในโครงการทุกคน และกระทรวงสาธารณสุขควรป็นเจ้าภาพ ในการจัดสรรงบประมาณด้านการจัดซื้ออุปกรณ์การตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 โดยไม่จัดเก็บ ค่าใช้จ่ายจากผู้ประกอบการหรือแรงงาน โดยพิจารณาการจัดสรรงบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุข อาจได้รับจากโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ กรอบวงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขมีกรอบวงเงินอยู่ที่ 63,898 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้ป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 47 วรรคสาม ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย” ทั้งนี้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยได้ตระหนักและยอมรับว่า โรคระบาดโควิด-19 เป็นโรคที่อุบัติขึ้นใหม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพต่อประชากรทุกคนรวมทั้งการพัฒนาของประเทศในทุกมิติ
  4. ขอให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดให้มีการจัดสรรวัคซีนให้แก่แรงงานทุกคนเป็นวาระด่วน อันเป็น มาตรการที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค การเจ็บป่วย การเสียชีวิตของประชากร ทำให้เกิดการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร นำไปสู่การส่งเสริมการยกระดับเป้าหมายการ พัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยถูกจัดอันดับดัชนีของ SDG อยู่ที่ลำดับลดลงมาที่ 43 ของ โลกเมื่อเทียบกับปี 2563 ดัชนีของไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ลำดับ 41 และเจตนารมณ์ของรัฐ ไทยที่ยืนยันหลักการ No one safe until everyone safe ที่ได้แถลงต่อที่ประชุม Global Compact on Migration ที่สำนักงานสหประชาชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2564
  5. ให้สำนักงานประกันสังคม กองเศรษฐกิจ แล้วแต่กรณีเชื่อมต่อให้สถานบริการสุขภาพตามสิทธิของแรงงานในพื้นที่นั้นๆ เข้ามาเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดการดูแลเรื่องการสถานพยาบาลของ (Factory Sandbox) ในแต่ละจุดหรือสปสช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการดูแล รักษาพยาบาลแรงงานทุกคน โดยค่าใช้จ่ายให้ สปสช. ไปดำเนินการเบิกจ่ายจากหน่วยงานดูแล กองทุนเอง โดนไม่ปล่อยให้เป็นภาระของสถานประกอบการ หรือตัวแรงงาน
  6. มีมาตรการที่ชัดเจน แนวปฏิบัติ การติดตามเรื่องการจัดการที่พักสำหรับการกักตัวของแรงงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่สถานประกอบการต้องดำเนินการ โดยมุ่งเน้นเรื่องการดูแลเรื่องการอุปโภค บริโภค เรื่องความแออัดของพื้นที่ ป้องกันความเสี่ยง รวมถึงมาตรการในการรองรับกรณีที่ต้องมีการแยกพ่อแม่ออกมากักตัวโดยที่ลูกของแรงงานไม่มีการดูแล

ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net