Skip to main content
sharethis

'เพื่อไทย' ชี้ลดภาษีเหล้า-ไวน์ ซ้ำเติมสุราพื้นบ้านไทย ไม่เคยไปถึงเวทีโลก - เตือน 'ประยุทธ์' เปิดประเทศแบบไม่พร้อม ไม่รอบคอบ ไม่รัดกุม จะเสียหายมากกว่า แนะ 8 แนวทางฟื้นฟูท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ทำไทยกลับไปเป็นอันดับ 1 ด้านการท่องเที่ยว

ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย
ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย

18 ก.ย. 2564 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงที่ประชุม ครม.มีมติลดภาษีนำเข้า 50% สินค้ากลุ่ม ไวน์ สุรา ซิกการ์ เป็นเวลา 5 ปี เพื่อดึงดูดให้เศรษฐีต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยว่า หลักคิดของรัฐบาลกำลังเดินหลงทางอย่างหนัก เพราะนอกจากจะสวนทางกับมาตรการสาธารณสุขของประเทศ ที่รัฐบาลพยายามรณรงค์ให้ประชาชนลดการดื่มสุรา สูบบุหรี่แล้ว การลดภาษีสินค้านำเข้าสินค้ากลุ่มมึนเมาเป็นการทุ่มตลาดสินค้าในประเทศ แบบที่ไม่มีประเทศไหนในโลกทำกัน สินค้าที่ผลิตจากต่างประเทศ จะมีราคาขายถูกลงจนราคาใกล้เคียงกับสินค้าที่ผลิตโดยผู้ประกอบการคนไทย และอาจสร้างผลกระทบซ้ำเติมรังแกผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีที่ผลิตไวน์จากผลไม้ไทย หรือสุราพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาของไทย เป็นต้น

นายชนินทร์ กล่าวว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นับวันยิ่งทำให้ประชาชนตัวเล็กลงไปทุกวัน ประเทศล้าหลังลงคลอง เพราะปกครองด้วยวิธีการทางทหาร เอาแต่ควบคุม แต่ไร้ซึ่งการพัฒนา แทนที่จะทำงานเชิงรุก ศึกษาโอกาสทางธุรกิจ จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ตลาดโลกต้องการ เช่น อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อยที่กำลังจะล้มตาย แต่กลายเป็นว่าลดภาษีให้ต่างชาติ เอื้อแต่นายทุนใหญ่ในประเทศ ส่วนคนตัวเล็กกำลังจะตายหมดประเทศ

“รัฐอ้าแขนรับเหล้านอก แต่เหล้าพื้นบ้านไทยกลับไม่เคยส่งเสริมปกป้อง ถ้าคิดได้แค่นี้ ประเทศไทยจะไม่มีทางหาเงินเข้าประเทศได้ด้วยสินค้าไทย” นายชนินทร์ กล่าว

แนะ 8 แนวทางฟื้นฟูท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ทำไทยกลับไปเป็นอันดับ 1 ด้านการท่องเที่ยว

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส. เชียงใหม่ ประธานอนุกรรมการนโยบายการท่องเที่ยว รองเลขาธิการ และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลจะเปิด 5 จังหวัดที่รวมถึง กทม. ในวันที่ 1 ต.ค. และ อีก 21 ในวันที่ 15 ต.ค. แต่เนื่องจาก รมว. ท่องเที่ยว แจ้งว่า กทม. ยังไม่พร้อมเพราะยังฉีดยากันไม่ถึง 70% จึงขอเลื่อนไปวันที่ 15 ตุลาคม ทั้งนี้ได้มีนายแพทย์ผู้ชำนาญการได้ออกมาเตือนเป็นห่วงว่า ถ้าไม่พร้อมจริง การเร่งเปิดประเทศ จะทำให้เกิดการระบาดครั้งใหม่ได้ ทั้งนี้เพราะปริมาณคนที่ได้รับวัคซีนในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ประชาชนที่ฉีดเข็มแรกมีเพียง 39.9% ประชาชนที่ฉีด 2 เข็มมีเพียง 19 % การเปิดประเทศโดยที่ประชาชนยังได้รับการฉีดวัคซีนจะทำให้มีโอกาสเกิดการระบาดครั้งใหม่ได้

ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงคุณภาพวัคซีนที่ไม่สามารถจะป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้อีกเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุด ครม. อนุมัติซื้อวัคซีนโมเดอร์นา ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้ดี จำนวน 1 ล้านโดส เพื่อมอบให้กับสภากาชาด ทำให้แปลกใจว่าทำไม ครม. ถึงไม่สั่งซื้อ วัคซีนโมเดอร์นาในจำนวนที่มาก ๆ 20-30 ล้านโดส เพื่อเป็นวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน ซึ่งน่าจะป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาดในไทยได้ดีกว่าวัคซีนชนิดอื่น โดยเฉพาะป้องกันได้ดีกว่าวัคซีนซิโนแวคมาก จึงไม่เข้าใจหลักคิดของรัฐบาล

โดยไม่อยากให้คิดได้ว่าการที่พลเอกประยุทธ์ พยายามที่จะเปิดประเทศทั้งที่ยังไม่พร้อม ก็เพราะต้องการกลบข่าว คะแนนไม่ไว้วางใจมากสุด คะแนนไว้วางใจรองบ๊วย ความแตกแยกในรัฐบาล ความแตกแยกในพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่น่าจะจบง่ายๆ พลเอกประยุทธ์ ดูเหมือนจะเท้าลอยแล้ว เพราะเลขาธิการพรรค และเหรัญญิกพรรค พปชร. ยังคงเป็นคนที่พลเอกประยุทธ์ ปลดออกจาก ครม. แล้วจะมองหน้ากันติดได้อย่างไร รวมถึงการสอบสวนของประธานสภาเรื่องการแจกเงิน 5 ล้านบาทกับ ส.ส. เพื่อไม่ให้โหวตล้มนายกฯ ซึ่งถ้าทำเพียงเพื่อกลบข่าวเหล่านี้ ปัญหาต่างๆ จะตามมาอีกมาก

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรัฐบาลต้องการที่จะเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยว และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยขอเสนอแนวทาง 8 ด้านดังนี้

1. เร่งฉีดวัคซีนคุณภาพให้ครบ ให้กับประชากรในแหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งให้ถึง 70-80% และจะต้องคิดล่วงหน้าเพื่อ สั่งจองวัคซีนคุณภาพล่วงหน้าเพื่อจัดฉีดให้ประชาชนในปีถัดไปเช่น วัคซีน Novavax

2. เตรียม ยารักษาไวรัส ยาป้องกัน สถานพยาบาลพร้อมบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อมในกรณีที่เกิดการระบาดของไวรัส เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ

3. เร่งพัฒนาปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว สร้าง landmarkใหม่ ให้มีความสวยงามและมีความสะดวกสบาย เพิ่มอันดับขีดความสามารถต่างๆ ในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวและเปิดการท่องเที่ยวในอนาคต

4. ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของการท่องเที่ยวในอนาคต ที่น่าจะมุ่งที่คุณภาพ (Blue Ocean) ของนักท่องเที่ยวมากกว่าปริมาณ และแต่การแข่งขันด้านราคา (Red Ocean) ทำอย่างไรให้ประเทศเป็นสถานท่องเที่ยวระดับสูง ที่จะสร้างรายได้อนาคตได้อีกมาก ทั้งพัฒนาให้ครบไปสู่การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนทั้ง White and Green Ocean ด้วย

5. การเพิ่มสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละอำเภอ โดยใช้หลัก CBT และ BCG เพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงเพื่อฟื้นระบบเศรษฐกิจในชุมชนและครัวเรือน

6. ช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวที่มีปัญหาทางการเงินจากวิกฤตไวรัสโควิด โดยพิจารณาตัดหนี้ ตัดดอกเบี้ย ตัดเงินต้น ยืดการชำระเงิน เพื่อให้ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถดำเนินการต่อไปได้

7. สร้างแอพพลิเคชั่นการจองโรงแรมและการท่องเที่ยวที่เป็นของประเทศไทยเอง เพื่อส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวและส่งเสริมธุรกิจด้านเทคโนโลยี

8. ใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ เช่น Virtual reality, Augmented Reality เพื่อประกอบการท่องเที่ยวให้น่าสนใจ

แนวทางและนโยบายเหล่านี้จะเป็นทิศทางอนาคตที่จะทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยฟื้น อีกทั้งยังจะทำให้การท่องเที่ยวของไทยดีขึ้นกว่าเดิมได้ และจะเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในอนาคตหากพรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารประเทศ โดยจะมีนโยบายปรับปรุงการท่องเที่ยวให้พัฒนาที่มากกว่านี้ และเชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยกลับไปยืนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลกได้อีกครั้ง จะสร้างงาน สร้างรายได้ กระจายรายได้ สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับประชาชนทั้งประเทศอีกครั้ง

 

ที่มาเรียบเรียงจากเว็บไซต์พรรคเพื่อไทย [1] [2]
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net