Skip to main content
sharethis

'เพื่อไทย' ชี้รัฐประหาร 19 ก.ย. 25449 จุดเริ่มต้นทำประเทศสูญเสียโอกาสจากประเทศ 'กำลังพัฒนา' กลายเป็น 'ห้ามพัฒนา' - 'สุดารัตน์' ถอดบทเรียน 3 รัฐประหาร 'จากพฤษภาทมิฬ' ถึง 'ม็อบราษฎร'

รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549

19 ก.ย. 2564 มติชนออนไลน์ รายงานว่าที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้พรรค พท. น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท. แถลงถึงกรณี 19 ก.ย. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองฯ ได้ทำรัฐประหารรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร

โดย น.ส.อรุณีกล่าวว่า การทำรัฐประหารรัฐบาลนายทักษิณ คือจุดเริ่มต้นแห่งความอัปยศของประเทศ รัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด ถูกยึดอำนาจ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนและเพื่อประชาชนถูกทำลายลง ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง มุ่งสร้างนโยบายเพื่อตอบสนองกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศตามหลักการประชาธิปไตย คนไทย 60 ล้านคน กำลังมีชีวิตที่ดีในรัฐบาลนายทักษิณ ที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของ “อำนาจประชาชน” (Citizen power) มาสู่นโยบายหลายด้านที่สร้างโอกาสการมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน เริ่มต้นที่ระบบสาธารณสุข อย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค จนกลายเป็นฐานที่แข็งแรงปลอดภัยให้กับชีวิตประชาชน มาสู่การมุ่งสร้างรายได้ให้ประชาชน ผ่านนโยบายกองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ทำให้ประชาชนทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ หารายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องรอรัฐแจกเงิน ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่เป็นอย่างทุกวันนี้โดยสิ้นเชิง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมา 15 ปี ประเทศไทยไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

น.ส.อรุณีกล่าวอีกว่า ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่วันนี้กลับกลายเป็นประเทศที่ต่างชาติเมินหันหลังให้ เพราะรัฐประหารบ่อยครั้งจนเคยชินจากประเทศ “กำลังพัฒนา” มาสู่ประเทศ “ห้ามพัฒนา” เพราะมีผู้นำประเทศคนเดียวกับคนที่ลงมือทำรัฐประหาร ประชาคมโลกไม่ยอมรับ เมื่อทหารปกครองประเทศ ทำให้ประเทศสูญเสียทุกด้าน ทั้งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด สูญเสียสิทธิเสรีภาพ โอกาสทางการแข่งขัน สูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นคน สูญเสียโอกาสที่จะได้รับสวัสดิการที่ดี เศรษฐกิจปากท้องที่ประชากรต้องกินอิ่มนอนหลับ เงินในกระเป๋าต้องมี หลายคนได้เงินล้านเพราะรัฐบาลทักษิณ แต่ทุกวันนี้มีแต่หนี้ คนไทยจนหมดประเทศเป็นจริงแล้ว สมกับที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยกล่าวเอาไว้

“รัฐประหารในปี 2549 คือบ่อนทำลายช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของคนไทยให้ตกลงไปสู่หลุมดำที่ไม่มีทางปีนกลับขึ้นมาแม้เสี้ยวหนึ่งของจุดเดิมได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้ความชั่วร้ายที่ชื่อรัฐประหารหมดไป คือ ความรู้สึกสำนึกชอบในความเป็นคน ของใครก็ตามที่มีส่วนเริ่มต้นที่ทำให้มันเกิดขึ้น” น.ส.อรุณีกล่าว

ด้านนายยุทธพงศ์กล่าวว่า หลังการรัฐประหารมีคนเอาดอกไม้มาให้ทหาร แต่สุดท้ายจากดอกไม้ก็กลายเป็นความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะการรัฐประหารเป็นการทำให้ประเทศบอบช้ำอย่างมาก ต่อมานายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกฯอย่างถล่มทลาย แต่ก็ถูกโดนคดีเพราะทำกับข้าว ทำให้ได้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ จากการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ซึ่งเป็นได้เพียงสมัยเดียวทั้งที่นายอภิสิทธิ์มีความสามารถ ผลจากการตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น ทำให้วันนี้ นายอภิสิทธิ์หายไปจากการเมืองไทย การรัฐประหารได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และถูกรัฐประหารซ้ำอีก ผลจากการรัฐประหารนี้ ทำให้ประเทศไทยได้รถไฟเก่าๆ ที่ได้รับบริจาคมา ในขณะที่ประเทศลาวกำลังจะเปิดรถไฟความเร็วสูงแล้ว วันนี้เศรษฐกิจย่ำแย่ ประเทศไทยถดถอย ล้าหลัง

'สุดารัตน์' ถอดบทเรียน 3 รัฐประหาร 'จากพฤษภาทมิฬ' ถึง 'ม็อบราษฎร'

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan เพื่อรำลึกถึงวันก่อรัฐประหารปี 49 และถอดบทเรียนการทำรัฐประหาร 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 34 โดยระบุว่า

รำลึก 19 กันยา ถอดบทเรียน 3 รัฐประหาร : จากพฤษภาทมิฬ ถึง ม็อบราษฎร

ในชีวิตการเมืองของดิฉันกว่า 29 ปี ได้ผ่านรัฐประหารมา 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 34 โดยดิฉันได้ร่วมในขบวนการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของพล.อ.สุจินดา ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตั้งแต่วันแรก

จนมาถึงการรัฐประหารปี 49 ซึ่งขณะนั้นดิฉันเป็นรัฐมนตรีเกษตร กำลังทำหน้าที่นำสินค้าเกษตร และอาหารไทย ไปขายที่ยุโรป ในวันปฏิวัติดิฉันกำลังประชุมกับรัฐมนตรีพาณิชย์ของฝรั่งเศสอยู่ หลังจากทราบข่าวการทำรัฐประหาร ดิฉันได้รับมอบหมายให้ประสานงานฝ่ายความมั่นคงของฝั่งเราที่กรุงเทพฯ เพื่อต้านการรัฐประหารโดยที่ดิฉันไม่รู้เลยว่าคนที่ดิฉันประสานงาน เขาได้ย้ายไปอยู่ฝั่งผู้ทำรัฐประหารไปแล้ว

ผลคือหลังจากนั้นชั่วโมงเดียว ทหารกว่า 20 นายพร้อมปืนM.16 เข้าไปยึดบ้าน จับคนในบ้านของดิฉัน ดิฉันต้องติดอยู่ต่างประเทศกว่า 3 สัปดาห์ ถึงกลับประเทศไทยได้

และครั้งสุดท้ายคือปี 57 ซึ่ง ขณะนั้นดิฉันพักการทำงานการเมือง เพื่อไปทำงานบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ก็ไม่พ้นถูกทหารนำรถหุ้มเกราะมาล้อมบ้านอีก

ดิฉันอยากจะสรุปบทเรียนของ 3 รัฐประหาร จากพฤษภาทมิฬ ถึงม็อบราษฎรว่า ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 35 – ปี 64 เป็นเวลา 29 ปี กงล้อประชาธิปไตยไทย ตกหล่มอยู่กับที่ประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันถอยหลังไปกว่า 40 ปี
สิทธิพลเมืองถูกด้อยค่า ประเทศตกต่ำ ล้าหลัง

แต่เผด็จการ พัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น โดยผ่านรัฐธรรมนูญปี 60

เผด็จการสร้างกลไกในการสืบทอดอำนาจของตัวเองอย่างมั่นคง และวางแผนที่จะปกครองประเทศนี้อีกยาวนาน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เขียนควบคุมการบริหารประเทศไว้ทุกด้าน วางกับดักไว้เอาผิดรัฐบาล ที่ไม่ได้มาจากฝั่งเผด็จการ จนไม่สามารถทำงานได้รวมทั้งยังต้องฝ่าด่าน สว. 250 คนและองค์กรอิสระต่างๆ ที่ฝ่ายเผด็จการควบคุมได้ทั้งหมด

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านสภา ไปเมื่อไม่กี่วันนี้ ก็แก้เพียงระบบเลือกตั้ง
ซึ่งไม่สามารถทำให้ฝั่งประชาธิปไตยชนะได้อย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยจะชนะเลือกตั้ง แต่ก็ต้องฝ่าด่านแรกว่าจะชนะสว. 250 คนได้ไหม

และถ้าชนะสว. 250 คนได้
จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่จะไม่สามารถบริหารงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ รัฐบาลฝั่งประชาธิปไตยอาจจะถูกคว่ำได้อย่างง่ายดายภายในเวลา 3 ถึง 6 เดือน
และ”นายก” จากฝั่งประชาธิปไตย ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกลไกที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้อย่างที่ผ่านมา

“โดยการล้มรัฐบาลฝั่งประชาธิปไตยในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องลากรถถังออกมาทำรัฐประหารอีกต่อไป เพราะเผด็จการได้ฝังกลไกการล้มรัฐบาลที่ไม่ใช่พวกตนเอง ไว้ในรัฐธรรมนูญปี 60 ไว้อย่างเบ็ดเสร็จ”

ดังนั้นทางออกจาก #ระบอบเผด็จการครองประเทศ อย่างถาวร คือการต้องผลักดันให้สร้าง #รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ให้สำเร็จด้วยการเรียกร้องให้ #เร่งทำประชามติ โดยเร็วที่สุด
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net