ศาลมณฑลทหารบกที่ 46 จ.ปัตตานีอ้างโควิด-19 เลื่อนฟังคำสั่งรับฟ้องคดีพลทหารวิเชียร เผือกสมที่ถูกทหารซ้อมจนเสียชีวิตในช่วงฝึกทหารใหม่อย่างไม่มีกำหนดหลังจากเหตุเกิดผ่านมาแล้ว 10 ปี คดียังไม่ได้พิจารณาในศาล

พระวิเชียร เผือกสม ก่อนหน้าที่จะเข้าสมัครเป็นทหารเกณฑ์

21 ก.ย.2564 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงานว่า ศาลมณฑลทหารบกที่ 46 จ.ปัตตานี มีหนังสือแจ้งครอบครัวของพลทหารวิเชียร เผือกสมที่ถูกซ้อมจนเสียชีวิตว่าให้เลื่อนฟังคำสั่งประทับรับฟ้องคดีนี้ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19ในพื้นที่จะดีขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและไม่เป็นส่วนหนึ่งของการแพร่ระบาดของเชื้อ

ก่อนหน้านี้เมื่อ 25 พ.ค.2564 อัยการศาล มทบ. 46 มีหนังสือถึงครอบครัวของพลทหารวิเชียรแจ้งว่าอัยการยื่นฟ้องคดีตั้งแต่ 11 พ.ย.2564 และศาล มทบ.46 มีคำสั่งเลื่อนนัดฟังคำสั่งประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 21 พ.ค.2564เป็นวันที่ 27 ส.ค.2564แทนไปแล้วโดยอ้างเรื่องการระบาดของโควิด-19 เช่นกันและไม่สามารถเบิกตัวจำเลยจากทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางกรุงเทพมหานครได้ซึ่งก่อนหน้าวันนัดเมื่อ 21 พ.ค. ศาลก็เคยเลื่อนมาแล้ว 1 ครั้ง

คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีที่ พลทหารวิเชียร เผือกสม ถูกเจ้าหน้าที่ทหารรุมซ้อมทรมานทำร้ายร่างกายในหน่วยฝึกทหารใหม่ในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในปี 2554 โดยข้อเท็จจริงพบว่าผู้ที่รุมทำร้ายพลทหารวิเชียรคือ ร้อยโทภูริ เพิกโสภณ กับพวกเจ้าหน้าที่ทหารรวม 9 คนเหตุเกิดเมื่อวันที่ 1มิ.ย. 2554 โดยผู้ก่อเหตุอ้างว่าพลทหารวิเชียรหลบหนีการฝึก หลังเกิดเหตุพลทหารวิเชียรเสียชีวิตลงในวันที่ 5 มิ.ย.2554 จากอาการไตวายเฉียบพลัน และกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีข้อสังเกตว่าคดีเหตุการณ์ผ่านมาเป็นเวลา 10 ปี แล้วแต่การดำเนินคดีอาญาเพื่อลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำความผิดอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงนั้นมีความความล่าช้ามาก โดยคดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) แล้วสรุปสำนวนส่งไปยังอัยการศาลทหารรวมระยะเวลา 9 ปี จึงได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลทหารแต่ศาลทหารยังคงไม่ได้นัดฟังคำสั่งประทับรับฟ้อง

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมระบุอีกว่า ที่ผ่านมานริศราวัลย์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวของพลทหารวิเชียร เผือกสม ได้เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมในทางคดีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และได้มีการยื่นฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ในส่วนของคดีแพ่ง โจทก์ฟ้องกระทรวงกลาโหม กองทัพบก และ สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย และศาลได้พิพากษาให้คดีความเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2557 โดยกองทัพบกจ่ายเงิน 7 ล้านกว่าบาทแก่โจทก์ ในส่วนของคดีอาญาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยได้ยื่นฟ้องทหารผู้กระทำความผิดต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 46 ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563