พรรคแอลดีพีของญี่ปุ่นโหวตเลือก ฟุมิโอะ คิชิดะ เป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีต่อจาก โยชิฮิเดะ ซุงะ ก่อนการเลือกตั้งเดือน พ.ย. 2564 โดยคิชิดะเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสายสันติ ที่วิพากษ์วิจารณ์อิทธิพลจีนต่อฮ่องกงและไต้หวัน และพูดถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ จึงถูกจับตาว่าจะทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าขึ้นได้หรือไม่
ฟูมิโอะ คิชิดะ ได้รับการโหวตเลือกจากพรรคพรรครัฐบาลจิยูมินชูโต หรือแอลดีพี ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ปูทางให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ถัดจากโยชิฮิเดะ ซุงะ ที่ตัดสินใจลาออกหลังจากดำรงตำแหน่ง 1 ปี
ภารกิจแรกของคิชิดะในการเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ คือการนำพรรคแอลดีพีไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 28 พ.ย. 2564 หลังพรรคแอลดีพีซึ่งเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่นมายาวนานเริ่มสูญเสียคะแนนนิยมจากการเดินหน้าจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากประชาชน
มีการตั้งข้อสังเกตว่า คิชิดะที่เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สามารถเอาชนะ ทาโร โคโนะ ผู้ถูกจับตามองในฐานะผู้สมัครที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งนี้ ยังมีการวิเคราะห์ว่าคิชิดะถูกวางตัวไว้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากชินโซ อาเบะ มานาน แต่กลับแพ้ซุงะเมื่อปี 2563
การที่คิชิดะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคบวกกับพรรคแอลดีพีมีเสียงข้างมากในสภา ทำให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากซุงะโดยปริยาย จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า
ปัญหาที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องเผชิญ คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโรคระบาดของโควิด-19 และการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและประเด็นอื่นๆ
คิชิดะเคยเรียกร้องให้มีการตั้ง "หน่วยงานจัดการวิกฤตสาธารณสุข" เพื่อจัดการกับปัญหาโรคระบาดหนักและสนับสนุนแนวคิดการผ่านร่างมติประณามการปฏิบัติของจีนต่อชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์
คิชิดะกล่าวหลังจากที่ได้รับตำแหน่งว่า ทักษะของเขาคือการรับฟังผู้คนอย่างจริงจัง และบอกว่าเขามีความตั้งใจที่จะพยายามร่วมกับทุกคนในการสร้างพรรคแอลดีพีที่มีความเปิดกว้างและทำให้ญี่ปุ่นมีอนาคตที่รุ่งโรจน์
ฟูมิโอะ คิชิดะ ปัจจุบันอายุ 64 ปี เขาเกิดและเติบโตในครอบครัวที่เป็นนักการเมือง โดยที่พ่อและปู่ของเขาต่างก็เป็นสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎร เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศยาวนานที่สุดในญี่ปุ่นระหว่างปี 2555-2560
คิชิดะเคยชนะการเลือกตั้ง ส.ส. เขต 1 ของฮิโรชิมาในปี 2537 เขาต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์เพราะเห็นผลกระทบต่อฮิโรชิมามาก่อน ผลงานที่สำคัญของคิชิดะ คือการเตรียมรับการมาเยือนของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ฮิโรชิมา เมื่อปี 2559 ทำให้โอบามาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ที่ไปเยือนเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ขณะยังดำรงตำแหน่ง นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับจุดยืนอื่นๆ คิชิดะถูกมองว่าเป็นนักการต่างประเทศสายสันติ ที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำให้ญี่ปุ่นมีทหาร แบบเดียวกับที่หลายคนในพรรคแอลดีพีต้องการ โดยเขาต้องการ "การทูตอย่างมีมนุษยธรรม" แบบในรัฐธรรมนูญสันติ เน้นความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการส่งเสริมยุทธศาสตร์ "คาบสมุทรอินโด-แปซิฟิกที่เปิดกว้างและมีเสรี"
นอกจากนี้ คิชิดะยังมีจุดยืนเรียกร้องให้สนับสนุนไต้หวันในการต่อต้านอำนาจครอบงำจากจีนแผ่นดินใหญ่ และมองว่าหลังจากที่จีนจำกัดเสรีภาพฮ่องกงแล้ว คาบสมุทรไต้หวันจะกลายเป็นพื้นที่ความขัดแย้งทางการทูตต่อไปในระดับใหญ่ คิชิดะยังเคยวิจารณ์จีนว่า "ส่งออกระบอบอำนาจนิยม" ประเด็นจีนยังมีทีท่าว่าจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้ให้ผู้คนจับตามองว่าคิชิดะจะหาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอย่างไร
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า แม้คิชิดะจะอยู่ฝ่ายโคชิไกที่เป็นสายกลางของพรรคแอลดีพีแต่เขาก็เป็นสมาชิกของกลุ่มนิปปอนไคกิที่เป็นกลุ่มการเมืองอนุรักษ์นิยมสุดโต่งของญี่ปุ่น
ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2564 คิชิดะเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนทุนนิยมรูปแบบใหม่ที่จะลดความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ โดยกล่าวว่าลัทธิเสรีนิยมใหม่และการลดการกำกับดูแลทางเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจในสังคมเพิ่มมากขึ้น
มาริโกะ โออิ นักข่าวบีบีซีจากญี่ปุ่น รายงานว่า คิชิดะเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองเสรีนิยมสายกลาง ทำให้คนมองว่าเขาน่าจะทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมอย่างแอลดีพีเบนไปทางซ้ายบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คิชิดะถูกวิจารณ์ว่าจืดชืดและน่าเบื่อเกินไป ขณะเดียวกัน คิชิดะก็ต่างจากคู่แข่งในพรรคของเขา คือ โคโนะ ตรงที่ได้รับการหนุนหลังจากนักการเมืองอาวุโสในพรรค นอกจากนี้ ยังสัญญาว่าจะใช้งบประมาณหลายพันล้านในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19
เรียบเรียงจาก
- Fumio Kishida wins race to become Japan's next prime minister, BBC, 30-09-2021
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก