เยาวมิตรที่รัก
ฉันเห็นแววตาของเธอบนใบหน้าเปื้อนเหงื่อซึ่งสะท้อนแสงแดดอุ่นยามบ่ายกลางที่ชุมนุมประท้วงด้วยความสุขใจระคนห่วงใย
แววตาแบบเดียวกันนี้ ฉันเคยเห็นซ้ำๆตั้งแต่เมื่อ 45 ปีก่อน เมื่อฉันส่องกระจกเงาแล้วเพ่งมองใบหน้าผอมบางของเด็กหนุ่มวัย 19 ปีในนั้น
แววตาแบบนี้ ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยลังเลที่จะเดินไปข้างหน้าแม้รู้ว่ามีอุปสรรคมากมายรออยู่ และแววตาแบบนี้แหละ-ไม่ระย่อต่อความทุกข์และความตาย
ฉันจำฝังใจว่า ฉันได้แววตาร้อนแรงแบบนี้มาพร้อมกับหยาดน้ำเอ่อท้นในดวงตา หลังจากฉันเดินหันหลังกลับออกมาจากความโหดร้ายใต้ต้นมะขามสนามหลวงตอนเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
นับแต่วันนั้น ฉันก็ไม่ใช่ฉันคนเดิมอีก ฉันไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพียงใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ อยากมีชีวิตที่ดี มีครอบครัวอบอุ่น สะสมเงินทอง แล้วจากโลกนี้ไปบนเตียงนุ่มสบายในวงล้อมของคนรัก
ฉันบอกกับตัวเองในวันนั้นว่า ฉันจะใช้ชีวิตของฉันให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาเป็น“คน” เมื่อฉันเป็นหมอ ฉันจะไม่ใช่หมอรักษา“ไข้” แต่เป็นหมอรักษา“คน” ฉันจะไม่รักษาผู้ป่วยทีละคน แต่ฉันจะต้องรักษาผู้ป่วยทั้งสังคม
ดังนั้น เวลาที่เหลืออยู่อีก 3 ปีของการเป็นนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัย ฉันจึงไม่เพียงเรียนรู้ในห้องเรียน ในตึกผู้ป่วย และในห้องผ่าตัด แต่ฉันกลับได้เรียนรู้อีกมากมายผ่านการเขียนใบปลิว ทำหนังสือพิมพ์กำแพง วาดการ์ตูนล้อเผด็จการ ประชุมกลุ่มแกนนำนักศึกษาอย่างลับๆ รื้อฟื้นกิจกรรมนักศึกษาขึ้นมาใหม่ จนก่อตั้งสโมสรนักศึกษา 16 สถาบันเพื่อรับบทบาททดแทนศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
แต่ฉันได้ตระหนักรู้จากบาดแผลในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เช่นกันว่า การแย่งชิงอำนาจจากเผด็จการกลับคืนมาให้ประชาชนนั้น อาศัยเพียงศรัทธาและความวิริยะอดทนไม่มีทางสำเร็จ ฉันต้องมีสติ และมีปัญญาด้วย
ฉันจึงทบทวนบทเรียน 3 ปี ของขบวนการนักศึกษาไทยอย่างเอาจริงเอาจัง และอ่านหนังสือที่ให้บทเรียนของขบวนประชาธิปไตยในทางสากล ฉันได้พบว่า “ฉันไร้เดียงสาและยังไม่รู้อีกมาก” ยิ่งได้ทราบข่าวความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและข่าวเพื่อนมิตรที่ไปสู่ป่าเขาต้องก้มหน้ากลับคืนสู่เมืองอย่างผู้ปราชัย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า “ฉันไร้เดียงสาและยังไม่รู้อีกมาก”
หลังจบการศึกษา ฉันไปเป็นหมอบ้านนอกใช้ชีวิตหมออยู่กับชาวบ้าน แม้ต่อมากลับมาเป็นอาจารย์แพทย์ แต่คำสัญญาแห่งเดือนตุลาในวัยเยาว์ยังซุกเป็นดอกตูมๆรอวันบานอยู่ในใจของฉันเสมอ จนกระทั่งในค่ำคืนของวาระครบ 20 ปี 6 ตุลาคม 2519 ดอกไม้ที่เฝ้าบ่มเพาะมานานจึงได้เวลาผลิบาน หลังจากคืนนั้น ฉันตัดสินใจทิ้งชีวิตราชการเพื่อเข้าสู่การเมืองในระบบรัฐสภา และได้ทำความฝันเรื่องรักษาผู้ป่วยทั้งสังคมให้เป็นจริง
ผ่านมา 45 ปี ชีวิตฉันเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา มีขึ้นมีลง มีเอี้ยวซ้ายมีเอียงขวา ดังนั้น วันนี้เมื่อฉันมองกระจก แม้เห็นแววตาคู่เดิมซึ่งร้อนแรงเหมือนไฟไม่ระย่อทุกมรสุม แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ ฉันยังพบเห็นความนิ่งเหมือนหิน ความยืดหยุ่นเหมือนน้ำ และความเย็นเหมือนลมในแววตานั้นด้วย
กาลเวลาพิสูจน์คนและพิสูจน์สัจธรรมว่า สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทน
ฉันจึงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงต่างๆในรอบ 4 ทศวรรษทั้งชีวิตของตนและบ้านเมืองด้วยความเข้าใจ หนักแน่นและนิ่งเหมือนหิน
ฉันแหวกว่ายไปยังจุดหมายข้างหน้าตลอดหลายสิบปีอย่างเสมอต้นเสมอปลายด้วยความยืดหยุ่นพลิกแพลงเหมือนน้ำ
.
และทุกวันเวลาที่ผ่านไป ฉันไม่เคยยอมโบยตีตัวเอง แต่กลับเก็บรักษาความสุขสงบไว้ในใจอย่างประณีตเหมือนมีสายลมเย็นพัดผ่านเบาๆ
เพราะฉันรู้ดีว่า จุดหมายปลายทางของความฝันแสนยาวไกล ถ้าฉันไปถึงจุดหมายในอายุขัยของฉันย่อมดีเลิศ แต่ถ้าฉันไม่มีโอกาสนั้น ลูกของฉันก็จะเดินทางต่อไป และถ้าเขายังไม่ถึงจุดหมาย ฉันเชื่อมั่นว่า หลานของฉันก็จะออกเดินต่อไปอีก ไม่ลดละเลิกราง่ายๆ
นี่ยังไม่นับว่า แดนศิวิไลซ์ที่คนแต่ละรุ่นใฝ่ฝันนั้น อาจไม่เหมือนกันเลย เพราะชนรุ่นหลังจะคิดสร้างสรรค์ของเขาเองไม่รู้จบด้วยปัญญาและความใฝ่ฝันที่งอกงามไม่สิ้นสุด
....
เยาวมิตรที่รัก
วันนี้โลกนี้เป็นของเธอ และเธอก็จะส่งต่อโลกนี้ให้ลูกหลานของเธอต่อไป
โลกที่เธอใฝ่ฝันในวันนี้สวยงามกว่าโลกที่ฉันเคยฝันถึงมาก่อน แต่เชื่อฉันเถิด ความใฝ่ฝันของลูกหลานเธอย่อมไม่เหมือนความฝันของเธอ เพราะจะยิ่งใหญ่กว่าและกว้างไกลมากกว่า
คนแต่ละรุ่นย่อมมีความฝัน ไม่มีใครฝันแทนใครได้ และไม่มีความฝันใดจบลงอย่างสมบูรณ์ที่คนรุ่นหนึ่งรุ่นใด
ขอจงเดินทางสู่ฝันของเธออย่างมีความสุข มีศรัทธาในความดีงาม มีความเพียรที่แกร่งกล้า มีสติและปัญญารู้เท่าทันต่อเล่ห์เพทุบาย
และระหว่างเดินทางไปสู่ดวงดาว ขอเธออย่าละเลยดื่มด่ำความงดงามของแสงดาว
รักและยืนเคียงกันเสมอ
สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ที่มา: เฟสบุ๊ค สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี