Skip to main content
sharethis

6 ต.ค. 2564 ส.ส.ก้าวไกล ตั้งคำถามบริษัทของบุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา หลานนายกรัฐมนตรี 7 ปี เป็นคู่สัญญารับงานรัฐ วงเงิน 863.31 ล้านบาท เรื่องตั้งบริษัทในค่ายทหาร ค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. 3 ปี ยังไม่มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวน ชี้นามสกุลใดก็ทำธุรกิจกับภาครัฐได้ แต่ต้องมีธรรมาภิบาล เปิดเผย โปร่งใส

ทีมสื่อพรรคก้าวไกลรายงานว่า กรณี หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชนะการประมูลโครงการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 3 สัญญา ในปี 2564 รวมวงเงิน 251.88 ล้านบาท และมีข้อสังเกตว่า หากนับตั้งแต่ 2558-2564 หรือ 7 ปีหลังรัฐประหารเป็นต้นมา หจก.คอนเทมโพรารีฯ เป็นคู่สัญญาได้รับงานจากหน่วยงานของรัฐ รวมวงเงินอย่างน้อย 863.31 ล้านบาท

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการเปิดเผยของสื่อมวลชน กรณีลักษณะนี้คงทำให้หลายคนคงได้เห็นหน้าตาของกิจการรัฐประหารชัดเจนขึ้น และทำให้เข้าใจว่าเหตุใดบรรดาผู้คุมกำลังกองทัพจึงสนใจเข้าสู่วงการเป็นนักรัฐประหารเรื่อยมา

รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เฉพาะตระกูลจันทร์โอชา ตัว พล.อ.ประยุทธ์ เอง ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีทรัพย์สินมากน้อยเพียงใดหลังยึดอำนาจ และพยายามเลี่ยงเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินโดยอาศัยช่องว่างเชิงเทคนิคกฎหมายของ ป.ป.ช. ทั้งที่หนึ่งในข้ออ้างสำคัญในการยึดอำนาจคือการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน จึงควรมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงกว่านี้ แต่นี่แค่การปฏิบัติตามจริยธรรมขั้นพื้นฐานของนักการเมืองในเรื่องความโปร่งใสก็ทำให้ไม่ได้ โดยพยายามหาข้อยกเว้นให้ตัวเองมาตลอด

“บางทีก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ บางทีก็ไม่เป็น” สุรเชษฐ์กล่าว “เราจะเห็นเสมอว่า นักรัฐประหารทุกคนมักสร้างภาพตนเองให้ดูเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่หาประโยชน์เข้าตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งเหมือนแกล้งเป็นคนตาบอดหูหนวกไม่รู้ไม่ชี้เวลาบรรดาเครือญาติหรือเครือข่ายอุปถัมป์ของตนเข้าไปทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อถูกตั้งคำถามก็ปัดว่าไม่รู้เรื่อง เป็นการทำธุรกิจตามปกติและมีกลไกการตรวจสอบทำหน้าที่อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ปิดหูปิดตาตัวเองเกินไป ก็น่าจะรับรู้รับทราบได้ว่ากลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐในประเทศนี้ที่อ้างถึงล้วนถูกทำลายหรือทำให้ง่อยเปลี้ยไปหมดแล้ว ที่เห็นกันตำตาก็เช่น กรณีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน องค์กรตรวจสอบเองกลับเป็นหน่วยงานที่กระตือรือล้นเป็นอย่างยิ่งในการหาสรรหาคำมาชี้แจงแทน ซึ่งเป็นการหลบเลี่ยงการพิทักษ์ประโยชน์ให้ประชาชน"

รองเลขาธิการพรรคก้าวไกลกล่าวต่อว่า ย้อนดูผลงาน พล.อ.ปรีชา น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ สมัยเป็น สนช. ที่แต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร แม้ขาดประชุม สนช. 394 วัน จาก 400 วัน ก็ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ส.ว. พร้อมตั้งคำถามว่า ภาษีและและสวัสดิการถูกจ่ายไปให้บุคคลนี้เพราะผลงานหรือแค่เพราะมีคำว่า "จันทร์โอชา" อยู่ที่นามสกุล

สุรเชษฐ์ ชี้ว่า หลานลุงซึ่งเป็นลูกของ พล.อ.ปรีชา ก็ถูกตั้งคำถามไม่น้อยไปกว่ากัน  ปี 2561 ถูกกล่าวหาว่าจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในค่ายทหารกองทัพภาคที่ 3 แล้วก็คว้าโครงการของกองทัพภาคที่ 3 มาได้หลายโครงการ  น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า หากไม่ได้เป็นหลาน พล.อ.ประยุทธ์ จะคว้างานรัฐได้มากขนาดนี้หรือไม่ เพราะเพิ่งเรียนจบ พ่อก็รับราชการทหารมาตลอดชีวิต ไม่น่าจะมีการทำธุรกิจอะไรที่เป็นต้นทุนทำธุรกิจ แต่พอตั้งบริษัทขึ้นได้ไม่กี่ปีก็รับงานรวมวงเงินหลายร้อยล้านบาทได้ตั้งแต่ตอนนั้น กลายเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ อายุน้อยร้อยล้านไปอย่างชวนงง

ส.ส.พรรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ถูกตรวจสอบจาก ป.ป.ช. มาแล้ว 3 ปี แต่การไต่สวนข้อเท็จจริงยังอยู่แค่ชั้นต้นและยังไม่มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน บริษัทเองก็ยังได้รับงานจากหน่วนงานรัฐมาตลอด 7 ปี ที่ผ่านมาเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ รวมวงเงินอย่างน้อย 863.31 ล้านบาท คาดว่าถ้าระบอบประยุทธ์ยังอยู่ถึงปีหน้า หลานลุงคนนี้จะได้เป็นอายุน้อยพันล้านอย่างแน่นอน

สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่นักการเมืองโดยเฉพาะฝ่ายบริหารซึ่งมีอำนาจในการให้คุณให้โทษหน่วยงานรัฐต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษามาตรฐานทางจริยธรรม ระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและบุคคลใกล้ชิด ต้องไม่ให้มีข้อครหาถึงการเอื้อประโยชน์ ซึ่งถือเป็นการทุจริตคอร์รัปชันรูปแบบหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจกับภาครัฐถือเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะเป็นนามสกุลใดก็ต้องทำได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสามารถอธิบายต่อสาธารณะได้อย่างไม่มีข้อกังขา รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจะพยายามสร้างความโปร่งใส มีการสนับสนุนให้เปิดเผยข้อมูลภาครัฐและยอมให้ฝ่ายค้านรวมถึงประชาชนทั่วไปตรวจสอบได้อย่างเต็มที่

“รัฐบาลที่มีความโปร่งใสทางการเมือง ดัชนีชี้วัดที่สำคัญคือความสามารถของประชาชนที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงไม่ว่า เอกสารหรือข้อมูลของรัฐ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้สามารถตรวจสอบธุรกรรมต่าง ๆ รวมถึงสัญญาหรือสัมปทาน ของรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐได้อย่างเต็มที่  อย่างไรก็ตาม จากข้อสังเกตที่เกิดขึ้นมากมายที่กำลังรายล้อม พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ผมจึงคิดว่าชาตินี้เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นรัฐโปร่งใสภายใต้รัฐบาล ‘จันทร์โอชา’ อย่างแน่นอนและก็สงสัยว่า ทำไมคนที่เกลียดนักการเมืองโกง จึงไม่กลัวทหารการเมืองโกง ทั้ง ๆ ที่ก็รู้กันอยู่ว่ากระทรวงกลาโหมมี ‘ชื่อเสีย’ ที่สุดในด้านการคอรัปชันและความไม่โปร่งใส” สุรเชษฐ์ ระบุ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net