Skip to main content
sharethis

กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกจัดการชุมนุมคาร์ม็อบ "ขบวนกีV4" เคลื่อนพลจากสีลมซอย 2 สู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชูจุดยืน 3 ข้อเรียกร้อง ประยุทธ์ลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญ, ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ พร้อมเรียกร้อง "จุดยืนเปลือย 5 ข้อ" สร้างรัฐธรรมนูญสีรุ้งเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรมทางเพศ

9 ต.ค. 2564 วันนี้ (9 ต.ค. 2564) เวลา 14.00 น. กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกจัดการชุมนุมคาร์ม็อบ “ขบวนกีV4” เปลือยให้รัฐสะเทือน วางแผนเส้นทางการเคลื่อนขบวนจากซอยสีลม 2 (ซอยธนิยะ) โดยใช้เส้นทาง ถ.วิทยุ ผ่านแยกราชประสงค์และแยกประตูน้ำ เข้าสู่ ถ.เพชรบุรี ผ่านแยกยมราช เข้าสู่ ถ.หลานหลวง และไปยังจุดหมายปลายทางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน ซึ่งทางผู้จัดการชุมนุมแจ้งว่าจะมีการตั้งเวทีปราศรัยบริเวณดังกล่าวในเวลา 16.00 น.

กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก อธิบายที่มาที่ไปของชื่อการจัดกิจกรรม ทำไมต้อง “เปลือย” ผ่านเพจเฟซบุ๊กเฟมินิสต์ปลดแอก โดยระบุว่า “การเปลือยเป็นเสมือนการปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างจากพันธะ จากการปกปิด จากแอกที่ครอบงำ ดังนั้นเราจึงอนุมานได้ว่าเราต้องเปลือยจากการกดขี่ของสังคม เปลือยจากประเทศนี้ เปลือยจากเผด็จการทหาร และนั่นก็เป็นที่มาของ 5 ข้อเรียกร้องม็อบเปลือย”

สำหรับข้อเรียกร้อง 5 ข้อของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกในการชุมนุมคาร์ม็อบวันนี้ ได้แก่

  1. เปลือยอคติทางเพศเพื่อสวัสดิการผ้าอนามัย
  2. เปลือยจารีตเพื่อสนับสนุนสมรสเท่าเทียม
  3. เปลือยกฎหมายปิดปากเพื่อยกเลิกกฎหมาย 112
  4. เปลือยเรื่องต้องห้ามเพื่อรณรงค์ปฎิรูปสถาบันกษัตริย์
  5. เปลือยรัฐธรรมนูญปิตาธิปไตยให้เห็นรัฐธรรมนูญสีรุ้ง

13.05 น. กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกแจ้งผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าเมื่อเวลา 12.59 น. รถเครื่องเสียงของผู้จัดการชุมนุมที่กำลังเดินทางจาก จ.ปทุมธานี เข้ามายังซอยสีลม 2 ถูกตำรวจสกัดกั้นไม่ให้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ทางเพจจึงจะประกาศขออาสารถเครื่องเสียง รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ให้เข้ามาร่วมนำขบวนคาร์ม็อบที่ซอยสีลม 2

13.11 น. ผู้สังเกตการณ์การชุมนุมรายงานว่ากลุ่มผู้จัดการชุมนุมเดินทางมายังบริเวณซอยสีลม 2 แล้ว 4-5 คน พบตำรวจในเครื่องแบบ 3 นาย และคาดว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบประจำการบริเวณพื้นที่ดังกล่าวประมาณ 4-5 คน

13.27 น. รถขนอุปกรณ์ประกอบการชุมนุมเดินทางมาถึงซอยสีลม 2

13.57 น. ชุมาพร แต่งเกลี้ยง หรือวาดดาว จากกลุ่มเฟมนิสต์ปลดแอกให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าการปราศรัยในกิจกรรมคาร์ม็อบวันนี้มีความหลากหลาย ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องเพศ จากคนหลากหลายกลุ่ม อีกทั้งยังมีการแสดงจากวงดนตรี เช่น วงสามัญชน และ Zweed n' Roll ชุมาพรกล่าวเพิ่มเติมว่าทีมงานได้ชวนผู้ขับรถสิบล้อที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 10 คันมาร่วมขบวนคาร์ม็อบ ซึ่งไม่มีการปราศรัยบนรถเครื่องเสียง แต่จะเปิดเพลงเพื่อเต้นบนรถบรรทุกอย่างเดียว ซึ่งตนยืนยันว่าที่ใช้รถสิบล้อจำนวน 10 คันเพราะต้องการเต้นแบบรักษาระยะห่างระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม ตำรวจ จ.ปทุมธานี สกัดไม่ให้รถสิบล้อมาที่นี่ ทั้งนี้ ทางผู้จัดยืนยันว่าจะทำกิจกรรมต่อ โดยนำธงรุ้งมากกว่าหนึ่งพันผืนมาแจกให้ผู้ร่วมชุมนุม เพื่อยืนยันในเรื่องความหลากหลายทางเพศ และข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, แก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

ชุมาพรให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่าเหตุผลที่เลือก ถ.สีลม เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนคาร์ม็อบ เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดที่พี่น้องชาว LGBTQ+ และพนักงานให้บริการทางเพศ (Sex worker) เคยทำงาน มีความมั่งคั่ง และเติบโต แต่ทุกอย่างต้องหยุดชะงักเพราะโควิด-19 จึงอยากใช้เป็นจุดเริ่มต้นและจุดให้กำลังใจ นอกจากนี้ ชุมาพรยังกล่าวว่า หากอาสาสมัครที่มาจัดกิจกรรมในวันนี้คนใดไม่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ทางทีมงานจะขอให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อน ทางผู้จัดจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดตำรวจถึงตั้งข้อกล่าวหาเรื่องเสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาด ทั้งที่ผู้จัดมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเต็มที่แล้ว

14.02 น. กลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันบริเวณซอยสีลม 2 ทางลงสถานี BTS ศาลาแดง โดยมีสมาชิกกลุ่มทะลุฟ้า เฟมินิสต์ปลดแอก และกลุ่มปฏิวัติการศึกษาไทย เข้าร่วม รวมประมาณ 10 คน บางคนสวมผ้าคลุมศีรษะสีสะท้อนแสง กำลังรวบรวมธงของกลุ่มต่างๆ และเตรียมเคลื่อนขบวน

 

14.17 น. ผู้จัดการชุมนุมแจกธงสีรุ้งซึ่งมีสัญลักษณ์ของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกติดอยู่บนธงให้แก่ผู้มาเข้าร่วมกิจกรรม โดยธงสีรุ้งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)

14.30 น. รถเครื่องเสียงของกลุ่ม WeVo เดินทางมาถึงบริเวณสถานี BTS ศาลาแดง

14.37 ขบวนคาร์ม็อบของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกเคลื่อนขบวนจากซอยสีลม 2 มาบริเวณแยกสีลม โดยหัวขบวนคือรถเครื่องเสียงของกลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรี ต่อด้วยผู้ร่วมกิจกรรมถือธง Pride ขนาดใหญ่ และขบวนธง LGBTQ+ ก่อนจะนำผ้าธง Pride มางกางบนพื้นถนนบริเวณหน้า MRT สีลม

 

14.40 น. ผู้จัดกิจกรรมประกาศเริ่มติดกรรมการแสดงแดร็กควีน (Drag Queen) บริเวณแยกสีลม เริ่มด้วยการแสดงลิปซิงค์เพลง Just Like Fire ของ P!nk ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Alice Through the Looking Glass มีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้และพยายามเพื่อสิ่งที่ดีกว่าอย่างไม่หวาดเกรง ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะแผดเผาอุปสรรคที่กีดอย่างให้สิ้นซาก นอกจากนี้ยังมีการแสดงเพลงหมอลำ และเพลง Born This Way ของ Lagy Gaga ซึ่งมีเนื้อหาสนับสนุนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จากนั้นเมื่อจบการแสดง ผู้จัดประกาศผ่านรถเครื่องเสียงว่าพร้อมเคลื่อนขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน โดยใช้เส้นทาง ถ.พระราม 4 มุ่งหน้า ถ.วิทยุ

หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมแสดงเพลง Born This Way ของ Lady Gaga
 

คลิปการแสดง Drag Queen บริเวณแยกสีลม

15.18 น. ไอลอว์รายงานว่าในขณะที่ขบวนคาร์ม็อบเคลื่อนผ่านแยกราชประสงค์ พบป้ายผ้าแขวนอยู่บนสะพานลอยหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมข้อความเขียนว่า “เปลือยจารีตเพื่อสนับสนุนสมรสเท่าเทียม” ขณะเดียวกันบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการปิดการจราจรด้วยแผงเหล็ก พบเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบประมาณ 10 นาย และตำรวจชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) พร้อมปืนประสุนยางประมาณ 10 นาย และมีการปิด ถ.พระราม 1 ทั้งเส้น ทั้งขาเข้าและขาออก

 

 

15.45 น. หัวขบวนคาร์ม็อบเดินทางมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยผู้ชุมนุมพยายามนำธงสีรุ้งขึ้นไปคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

 

15.55 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งผู้จัดการชุมนุมไม่ให้ปิดเส้นทางการจราจร ถ.ราชดำเนิน รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หากจะตั้งเวที ให้ไปตั้งหน้าวงเวียน แต่ทางผู้จัดการชุมนุมแจ้งว่าจะปิดถนนบริเวณแยกคอกวัว ฝั่งศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ต่อมาเวลาประมาณ 16.00 น. ผู้ชุมนุมปิด ถ.ราชดำเนิน จากแยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

16.07 น. ตัวแทนกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก 6 คน เดินขบวนขึ้นมาบนหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีธง Pride คลุมไว้ ก่อนจะตะโกนร่วมกันว่า “ปิตาธิปไตยจงชิบหาย ความเป็นธรรมหลากหลายจงเจริญ” หลังจากนั้นได้นำธง Pride ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ ปักไว้รอบๆ บริเวณอนุสาวรีย์

 

16.25 น. EM Magzeen ผู้ร่วมกิจกรรมทำการแสดง Drag Queen ในเพลง Listen ของ Beyonce เพื่อเปิดกิจกรรมปราศรัยอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นจึงเริ่มการปราศรัย นำโดยชาร์ล็อต ตัวแทนกลุ่มนอนไบนารี, ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากไอลอว์, พรหมศร ธรรมวีระจารี หรือฟ้า ราษฎรมูเตลู, ธนพร วิจันทร์ และธนัตถ์ ธนากิจอำนวย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีจากศิลปิน เช่น กุลจิรา ทองคง หรือเอ้ เดอะวอยซ์ และสุกัญญา มิเกล

ระหว่างการปราศรัยนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกตัวเองว่า 'ทะลุแก๊ส' ได้ปรากฏตัวด้านหน้าเวที พร้อมประกาศขอความเป็นธรรมและความสนับสนุนจากประชาชนผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ โดยพูดถึงความรุนแรงที่ คฝ. เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นๆ กระทำต่อเยาวชนและผู้ชุมนุมบริเวณแยกดินแดง ทั้งในการสลายการชุมนุม การบุกจับกุม ไปจนถึงขั้นตอนการสอบสวน ซึ่งตัวแทนของกลุ่มเยาวรุ่นทะลุแก๊สบอกว่าผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมตัวไปบางคนนั้นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาบุหรี่จี้ และถูกทำร้ายร่างกาย

กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกตัวเองว่า 'ทะลุแก๊ส' ปรากฎตัวบริเวณหน้าเวทีชุมนุม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าช่วงเวลา 17.30 น. ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือลูกนัท ได้ปรากฎตัวหน้าเวทีชุมนุมในชุด Drag Queen โดยแต่งเป็นมาดอนน่า (Madonna) นักร้องชาวอเมริกันชื่อดัง และมีคิวขึ้นเวทีปราศรัยในวันนี้ด้วย

ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือลูกนัท
 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาประมาณ 19.10 น. ขณะที่พรมศร หรือฟ้า จากกลุ่มราษฎรมูเตลูกำลังปราศรัยอยู่นั้น พิธีกรได้ประกาศยุติการชุมนุมทันที เนื่องจากมีเหตุปะทะบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และขอให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางแยกคอกวัวเป็นหลัก ทั้งนี้ มีรายงานเบื้องต้นว่าประชาชนกลุ่มหนึ่งได้ปะทะกับ คฝ. และมีการยิงแก๊สน้ำตาเกิดขึ้น

พรหมศร ธรรมวีระจารี หรือฟ้า ราษฎรมูเตลู แต่งกายเป็นนางสีดาในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
ขณะกำลังปราศรัยเรื่องสิทธิของผู้ต้องขังในเรือนจำ และกล่าวถึงเพื่อนๆ นักกิจกรรมที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้
 

'เป๋า ไอลอว์' เรียกร้องสมรสเท่าเทียม ลุ้นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 14 ธ.ค. นี้

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากไอลอว์ ได้ขึ้นมาปราศรัยต่อในเรื่องกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเริ่มต้นด้วยการกล่าวชื่อประเทศที่แก้กฎหมายให้บุคคลทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียม พร้อมระบุว่าประมวลกฎหมายสมรสของประเทศไทยซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1448 ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2478 ได้รับการแก้ไขเพียงครั้งเดียว และเป็นการแก้ไขในส่วนของอายุของชายและหญิงที่ต้องการจดทะเบียนสมรส ไม่ใช่เรื่องเพศ ที่ผ่านมา ส.ส.พรรคก้าวไกลพยายามผลักกฎหมายสมรสเท่าเทียมให้เข้าสู่สภา แต่ก็ถูกดองอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าสู่วาระการพิจารณาเสียที แม้กระทั่ง พ.ร.บ.คู่ชีวิตที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอก็ยังไม่เข้าสู่วาระการพิจารณา

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์
 

ยิ่งชีพกล่าวว่าปัญหาไม่ได้อยู่เพียงแค่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1448 เท่านั้น แต่กฎหมายลูกหลายฉบับในปัจจุบันระบุว่าสิทธิต่างๆ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณเป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ซึ่งกฎหมายฉบับนี้อนุญาตให้เฉพาะชายและหญิงเท่านั้นจึงจะสามารถจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายได้ พร้อมระบุว่าเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญประกาศ 'เลื่อน' ฟังคำวินิจฉัยว่ากฎหมายมาตรานี้ขัดต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐนูญหรือไม่ โดยนัดฟังคำวินิจฉัยใหม่เป็นวันที่ 14 ธ.ค. 2564 ซึ่งหมายความว่าเหลือเวลาอีก 2-3 เดือนกว่าจะทราบคำวินิจฉัย ยิ่งชีพขอให้ทุกคนช่วยกันเปล่งเสียงเรื่องการสมรสเท่าเทียมและการแก้ไขกฎหมาย ม.1448 ให้ดังไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1448 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นว่าความเท่าเทียมทางเพศถูกปิดตายไปแล้วในสังคมไทย

"นี่เป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่เราจะเปล่งเสียง ที่เราจะบอกออกไปว่ามันสำคัญแค่ไหนที่คนทุกคนจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กัน แต่งงานกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ฝากอนาคตร่วมกัน จะต้องมีสิทธิ์เข้าถึงการจดทะเบียนเท่ากัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพศใดก็ตาม ถ้าโอกาสนี้เราส่งเสียงให้ดังพอ คำวินิจฉัยในเดือน ธ.ค. จะสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นชาติที่ 2 ในเอเชียที่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ระหว่างเพศเดียวกันได้ แต่ถ้าวันนี้เราส่งเสียงไม่ดัง ศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังนอนคิดอยู่ตอนนี้ ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงเรา ถ้าเขาบอกว่ามันไม่ขัดรัฐธรรมนูญ นี่จะเป็นคำวินิจฉัยที่เลวร้ายที่สุดที่ปิดตายความเท่าเทียมทางเพศในประเทศนี้ไปอีกนาน ดังนั้น 2 เดือนข้างหน้า มีเสียงเท่าไหร่ มีข้อมูลเท่าไหร่ มีเหตุผลเท่าไหร่ มีโอกาสเท่าไหร่ พูดให้ดังที่สุดเท่าที่ท่านจะพูดได้ ผมหวังว่าเราจะไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง เดือน ธ.ค. เราจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดว่ารู้งี้วันนั้นเราพูดเรื่องนี้ไปดีกว่าเพราะโอกาสตอนนี้อยู่ในมือเราแล้ว" ยิ่งชีพกล่าว พร้อมระบุว่าตนไม่ได้มีปัญหากับกฎหมายฉบับนี้ แต่เพื่อน พี่น้อง และคนอีกหลายคนในประเทศนี้ยังเข้าไม่ถึงสิทธิในการจดทะเบียนสมรส ดังนั้นจึงขอร้องให้คนที่ไม่ถูกกีดกันจากกฎหมายนี้ ช่วยกันเรียกร้องและผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมให้เกิดขึ้นจริงในประเทศนี้ด้วย

"ถ้าเราพูดไม่ดังพอ ไม่ชัดพอ เราอาจจะสร้างประวัติศาสตร์ไม่ได้ วันนี้อาจจะไม่ง่าย เราอาจจะมีหลายเรื่องที่ต้องพูดกัน ทั้งปล่อยเพื่อนเรา ทั้งประชาธิปไตย ทั้งการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ แต่เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าข้ามโอกาสนี้ เราอาจจะต้องกลับมาเสียใจทีหลัง ดังนั้น ฝากเรื่องสมรสเท่าเทียมไว้ด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะเพศอะไร ไม่ว่าคุณที่คนรักจะเป็นเพศอะไร ไม่ว่าวันนี้คุณจะจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่ มีพี่น้องอีกหลายคนที่ต้องการจดทะเบียนสมรส" ยิ่งชีพกล่าว พร้อมขอให้ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมตะโกนคำว่า 'สมรสเท่าเทียม' ก่อนลงจากเวที

Sex Worker ต้องได้รับสิทธิ

น็อต นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 5 และทาทาจากกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอด ขึ้นเวทีปราศรัโดยกล่าวถึงสิทธิและสวัสดิการของคนทำงานให้บริการทางเพศ หรือ Sex Worker โดยทาทากล่าวว่า Sex Worker เป็นอาชีพที่มีมาตั้งแต่โบราณในยุคศักดินา ทุกคนล้วนหากินกับกลุ่มคนอาชีพนี้มาตลอด แต่ผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้กลับไม่ได้รับการยอมรับและถูกกดทับจากสังคม ทั้งๆ ที่อาชีพผู้ให้บริการทางเพศเป็นอาชีพที่สุจริต บุคคลที่ประกอบอาชีพนี้มีสิทธิเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอาชีพนี้ เพราะถือเป็นสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเขา ทาทาระบุว่า พ.ร.บ.ค้าประเวณี ถือเป็นปัญหาที่สำคัญต่อการผลักดันอาชีพผู้ให้บริการทางเพศให้ถูกกฎหมาย เพราะกฎหมายที่มีอยู่ในทุกวันนี้เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจทีเทาของคนในเครื่องแบบ

น็อต นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 5 (ซ้าย) และทาทา จากกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก (ขวา)
 

"คุณรู้ไหมคะว่าวันหนึ่งๆ ในพื้นที่แถบนี้ ผู้ที่มีอำนาจยังใช้อำนาจกดขี่แล้วขอให้เขา (ผู้ให้บริการทางเพศ) ให้บริการฟรีเนื่องจากตัวเองใส่เครื่องแบบ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจซบเซาขนาดนี้ ขายกีก็ลำบาก 300 ขั้นต่ำนะตอนนี้ บางที[ทำงาน] 5 วันถึงจะได้ 300 บาท" ทาทากล่าว

น็อต (นามสมมติ) นิสิตแพทย์ปี 5 จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กล่าวต่อไปว่าการผลักดันให้อาชีพผู้ให้บริการทางเพศถูกกฎหมายนั้น เพื่อต้องการให้บุคคลที่ประกอบอาชีพเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ตามที่ประชาชนทุกคนสมควรจะได้รับ การผลักดันให้อาชีพนี้ถูกกฎหมายไม่ได้แปลว่าคนจะแห่ไปทำอาชีพนี้มากขึ้น หรือไม่ได้หมายความว่าคนทำอาชีพนี้จะเป็นผู้แพร่กระจายโรคติดต่อต่างๆ แต่ขอให้มองว่าหากมีกฎหมายที่รองรับสิทธิของกลุ่มคนเหล่านี้ จะช่วยให้พวกเขาสามารถประกอบอาชีพได้อย่างปลอดภัย ทั้งจากโรคภัย และการละเมิดสิทธิต่างๆ เช่น การบังคับขู่เข็ญ การถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือการทำร้ายร่างกาย เป็นต้น

"ในฐานะที่เราออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ออกมาเรียกร้องความเท่าเทียม เราขอส่งเสียง ขอให้ทุกคนอย่าลืมคนกลุ่มนี้ อย่าลืม Sex worker เพราะพวกเขาก็เป็นคนไทยเหมือนเราทุกคน เขาต้องการสวัสดิการต้องการความคุ้มครอง และต้องการให้กฎหมายมองเห็นพวกเขาเหมือนกับพวกเราทุกคน" ทาทากล่าวทิ้งท้าย พร้อมขอให้ผู้ชุมนุมตะโกนคำว่า 'ปล่อยเพื่อนเรา' 3 ครั้งพร้อมกัน ก่อนลงจากเวที

ฟังเสียงเยาวชน เรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ

ชาร์ล็อต ตัวแทนกลุ่มคนนอนไบนารี ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นคนแรก พูดถึงตัวตนของคนคนนอนไบนารี (Non-Binary) ชาร์ล็อต กล่าวว่า เราเกิดมาก็ถูกแพทย์ชี้ว่าเป็นผู้ชายเพียงเพราะเขาเห็นอวัยวะเพศของเรา พอโตมาผู้คนก็ชี้มาที่เราว่าเราเป็นผู้หญิงเพียงเพราะเห็นการแสดงออกของเรา แต่เราเชื่อว่าเราคือตัวตนที่แตกต่าง เราไม่ได้อยู่บนกรอบทางเพศทั้งชายและหญิง เราเกิดจากการผสมผสานมากกว่าการเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง และสังคมไม่มีสิทธิ์มากำหนดว่าเราจะต้องเป็นชายหรือหญิง

ชาร์ล็อต
 

"เราในฐานะนอนไบนารี ในตอนเด็กๆ ทุกคนเชื่อไหมว่าเราต้องเผชิญกับคำถามมากมายและถูกจับจองมากมายว่าแท้จริงแล้วเราคือเพศอะไร วันหนึ่งเขามองเราเป็นผู้ชาย อีกวันนึงเราถูกมองว่าเป็นผู้หญิง เชื่อไหมว่า 1 ปีเราน่าจะถูกระบุเพศประมาณ 3 หมื่นกว่าเพศได้ เพราะฉะนั้น เราถึงอยากจะบอกว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเกิดจากโครงสร้างของประเทศนี้ที่มองไม่เห็นตัวตนของเรา ที่ไม่ยอมรับเราในฐานะการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง" ชาร์ล็อตกล่าว พร้อมระบุว่าวิชาเพศศึกษาในระบบการศึกษาของประเทศไทยมองว่ากลุ่มคนนอนไบนารีหรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศคือตัวตนที่ผิดปกติ และควรได้รับการเข้ารักษา รวมถึงรัฐธรรมนูญเองก็ไม่คำนึงถึงความหลากหลาย ซึ่งเราไม่เคยถูกมองตัวตน

"การที่รัฐไทยมองไม่เห็นเรา การที่รัฐธรรมนูญมองไม่เห็นเรา คือการละเลยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนอนไบนารี คือการมองไม่เห็นของสิทธิเสรีภาพของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และไม่สนใจเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างก้าวหน้าแล้วแบบนี้ประเทศเราจะก้าวหน้าได้อย่างไร" ชาร์ล็อตกล่าว พร้อมระบุว่าวันนี้ตนใส่ชุดสีดำมาเพื่อไว้อาลัยให้กับตัวตนของกลุ่มนอนนอนไบนารีในสังคมนี้ที่ถูกมองข้าม

"เราก็คือคนเหมือนกัน เราก็มีสีสัน เราก็มีความสวยงามข้างในเหมือนกัน ไม่ใช่สีดำ ไม่ใช่สีเทา ไม่ใช่สีม่วงหรือสีอะไรก็ตามที่เขาบอกว่าเราเป็น" ชาร์ล็อตกล่าว หลังจากนั้นจึงถอดสูทออก เผยให้เห็นชุดด้านในที่มีสีสันสดใส พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่าสิ่งที่กลุ่มคนนอนไบนารีต้องการ คือ รัฐธรรมนูญสีรุ้ง ที่เขียนให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

"การที่พวกเราเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญสีรุ้งนั้นถือเป็นการกอบกู้ด้วยการเขียนตัวตนของเราขึ้นมาใหม่ ให้เราได้รับการปฏิบัติในสังคมได้อย่างเท่าเทียม" ชาร์ล็อตกล่าว

ขณะที่ ฟิวส์ (นามสมมติ) เยวาชนจากกลุ่มปฏิวัติการศึกษาไทยขึ้นเวทีปราศรัยในหัวข้อศีลธรรมอันดีกับเพศศึกษาในโรงเรียน โดยกล่าวว่าเรื่องเพศ 1 คน 1 สไตล์ 1 ล้านคนหนึ่งล้านสไตล์ เราไม่สามารถไปกำหนดและไปตัดสินได้ว่าคนนี้เพศหญิงหรือเพศชายหรือเพศไหน โลกแห่งนี้มีแต่เพียงคนที่มันเหมือนกัน มีเพียงแค่คนทุกคนเท่าเทียมกัน มายาคติแบบหรือวิสัยทัศน์แบบเดิมๆ ไม่สามารถใช้ได้แล้ว สิ่งที่สามารถใช้ได้กับสังคมในปัจจุบันนี้ คือ คนทุกคนเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ ฟิวส์ ยังได้ยกเรื่องราวของกวีจากชาติตะวันตก 2 คนซึ่งถูกกดทับจากความไม่เข้าใจทางเพศมาพูดบนเวทีปราศรัยด้วย นั่นคือ Oscar Wilde นักประพันธ์ชาวไอริช เจ้าของผลงาน The Picture of Dorian Gray ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปีเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และ Virginia Woolf นักเขียนชาวอังกฤษที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของตนเองผ่านบทประพันธ์ที่ชื่อว่า A Room of One’s Own ซึ่งเธอยอมรับกับตัวเองว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนหรือชอบผู้หญิงด้วยกัน

ฟิวส์ (นามสมมติ) เยวาชนจากกลุ่มปฏิวัติการศึกษาไทย
 

ฟิวส์ กล่าวว่า 2 เรื่องราวนี้สะท้อนถึงสังคมไทยได้มาก ทุกคนอยากเป็นในสิ่งที่ทุกคนเรื่องและอยากเป็น แต่กฎหมายบ้านเมืองและมายาคติของคนรุ่นก่อนที่มอบให้กับคนรุ่นเราที่บอกว่าชายต้องคู่กับหญิง ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่าเหตุใดชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงถึงรักกันไม่ได้ เพราะเราทุกคนคือคนเหมือนกัน เราทุกคนคือคนที่เท่าเทียมกัน สังคมไทยจึงต้องเปิดกกว้างเปิดเสรี และเป็นไปในสิ่งที่ทุกคนอยากเป็น

นอกจากนี้ ยังมี มีมี่ และพลอย เยาวชนจากกลุ่มไพร่ปากแจ๋ว ขึ้นมากล่าวปราศรัยบนเวทีเรื่องความรุนแรงทางเพศในสังคม โดยระบุว่าเด็กถูกตีตราและตัดสินจากผู้ใหญ่เวลาออกมาพูดเรื่องการเมืองหรือวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางสังคม และผู้ใหญ่มักหยิบคำว่า 'ความกตัญญู' มากดขี่ ลิดรอนการใช้สิทธิเสรีภาพของเด็ก ซึ่งหลายครั้งนำมาสู่การเกิดความรุนแรงในครอบครัว โดยพลอยกล่าวว่า "อย่าใช้คำว่าความกตัญญูมากดขี่เด็ก ไม่เอาค่านิยมแล้วกับคำว่าความกตัญญูรู้คุณ ไม่เอาแล้วกับการปฏิบัติกับเด็กแบบไม่เห็นความเป็นมนุษย์" พร้อมเรียกให้ให้ผู้ใหญ่ยุติการใช้ความรุนแรงกับเด็ก

ทั้งนี้ ก่อนลงจากเวทีปราศรัย มีมี่ ประกาศว่าตนจะขอโกนผมจนกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกแล้วยังมีรัฐบาลเผด็จการขึ้นมาบริหารประเทศอีก ตนจะขอโกนหัวต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าประเทศนี้ปราศจากประชาธิปไตย เมื่อกล่าวเสร็จ พิธีกรได้นำกรรไกรและปัตตาเลียนมาตัดผมของมีมี่ ตามคำประกาศของเจ้าตัว

พลอย (ซ้าย) และมีมี่ (ขวา) เยาวชนจากกลุ่มไพร่ปากแจ๋ว
 

ปูน ทะลุฟ้า-ไหม ธนพร เรียกร้องให้ยกเลิก ม.112

ปูน ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) จากกลุ่มทะลุฟ้า ขึ้นเวทีด้วยชุดไทยจิตรลดาสีแดงเพื่อกล่าวปราศรัยในประเด็นข้อเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยระบุว่าการแต่งกายถือเป็นสิทธิและเสรีภาพ ดังนั้น รัฐไม่มีสิทธิมาควบคุมการแต่งกายของประชาชน

ปูน ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) หรือปูนจากกลุ่มทะลุฟ้า
 

ธนพัฒน์ กล่าวว่า ทุกวันนี้มีประชาชนมากมายที่อยู่ในเรือนจำเพราะพูดถึงการแก้ไขกฎหมาย ม.112 สิ่งที่ประชาชนหรือนักกิจกรรมเหล่านั้นออกมาพูด คือ การวิจารณ์การกระทำของสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดิน ตนจึงขอถามว่าสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดเป็นสิ่งที่ผิดตรงไหน

"เขาพูดเพียงเพราะเขาต้องการให้งบประมาณของชาติอยู่กับประชาชน เขาพูดเพียงเพราะว่าต้องการให้เงินภาษีของประชาชนถูกจัดสรรปันส่วนให้อยู่ในส่วนของประชาชน ไม่ใช่อยู่ที่ครอบครัวในครอบครัวหนึ่ง ดังนั้น คนเหล่านี้คือคนที่เสียสละ แต่ก็ต้องถูกกฎหมายมาตรา 112 เล่นงาน" ธนพัฒน์กล่าว พร้อมระบุว่าหากประชาชนยังสู้ต่อไปด้วยกันอยู่ ตนเชื่อว่าในอนาคต กฎหมาย ม.112 จะต้องถูกยกเลิก ไม่ใช่แค่ถูกแก้ไขอย่างแน่นอน

"เมื่ออยากอยู่ในประเทศนี้ แผ่นดินเดียวกับราษฎรก็จำเป็นที่จะต้องรับฟังเสียงของราษฎร ทั้งคนที่เห็นต่างและคนที่รัก อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง อย่าจับขังเฉพาะคนเห็นต่าง คนที่ทำรัฐประหารก็ไม่เห็นว่าจะโดนขังอะไรเลย" ธนพัฒน์กล่าว

"ไม่ต้องกังวลไปว่าการออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ใครมันจะสามารถทำลายเราได้ ตราบใดที่เรายังยืนหยัดรักษาเกียรติยศของเราไว้อยู่ จะไม่มีใครสามารถมากดขี่ท่านได้ ตราบใดที่ท่านยังยึดหลักประชาธิปไตยอันมีตัวท่านเองเป็นที่ตั้ง จะไม่มีใครสามารถกดขี่และริดรอนสิทธิเสรีภาพของท่านได้ เขาสามารถแข่งกับอะไรก็ได้ แต่เขาไม่สามารถแข่งกับกงล้อแห่งกาลเวลาที่จะหมุนเวียนและเปลี่ยนผ่านในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน" ธนพัฒน์กล่าว

ธนพัฒน์กล่าวต่อไปอีกว่าเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2548 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเคยมีกระแสพระราชดำรัสไว้ว่า "สามารถวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ได้ แต่ขอให้ทราบว่าผิดตรงไหน" นั่นหมายความว่าสถาบันฯ ก็ควรถูกวิจารณ์ได้ตามที่กษัตริย์ตรัสไว้ และการวิพากษฺวิจารณ์ในที่นี้ เราไม่ได้ด่าทอหรือติเตียน แต่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงมาพูด ซึ่งส่งผลดีต่อตัวสถาบันฯ เองเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ธนพัฒน์ยังชี้ให้เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่เพียงแค่จะจัดการคนที่เห็นต่างเท่านั้น แต่คนที่ผิดใจกันในครอบครัว หรือคนที่ต้องการจะกลั่นแกล้งกันก็สามารถแจ้งความเอาผิดได้ ไม่ว่าจะในกรณีของพี่แจ้งจับน้องโดยใช้มาตรา 112 หรือคดีของอากง เป็นต้น

"ในปัจจุบันก็เห็นแล้วว่าการยัดเยียดข้อหามาตรา 112 นั้นส่งผลเสีย ยังไม่ปรากฏผลดีเลยด้วยซ้ำ ทางออกที่ดีที่สุดนั่นก็คงจะเป็นการยกเลิกมาตรา 112 ผมอยากเห็นประเทศไทยสามารถวิจารณ์ทุกคนได้อย่างสุจริต ให้ทุกคนมีกฎหมายตัวเดียวกันในการป้องกันตัวเอง ไม่ใช่ว่าใครคนใดคนหนึ่งเหนือกว่า เพราะเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย" ธนพัฒน์กล่าว

ธนพร วิจันทร์
 

ผู้ปราศรัยอีกหนึ่งคนที่ขึ้นกล่าวปราศรัยในประเด็นข้อเรียกร้องยกเลิกประมลกฎหมายอาญามาตรา 112 คือ ธนพร (ไหม) วิจันทร์ ประธานครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน โดยธนพรกล่าวถึงการขยายตัวของกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทั้งบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ผู้รับจ้างผลิตวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อแอสตราเซเนกาให้กับประเทศไทย รวมถึงการร่วมทุนของบริษัทต่างๆ จัดตั้งโรงไฟฟ้าขยะใน จ.สระบุรี นอกจากนี้ ธนพรยังได้เรียกร้องให้ภาคแรงงานจงเห็นความสำคัญของสิทธิสตรี ทั้งยังเรียกร้องความเป็นธรรมทางเพศให้แก่ผู้หญิงที่ต้องอยู่ในกรอบประเพณี ต้องมีสามีคนเดียวหรือรักเดียวใจเดียว แต่ในทางกลับกัน กรอบความคิดเช่นนั้นกลับไม่ถูกนำมาบังคับใช้กับผู้ชาย

ธนพร ยังกล่าวถึงประเด็นความรุนแรงต่อครอบครัวและผู้หญิง กับสถาบันกษัตริย์ที่ผ่านมา โดยยกกรณีมาตรการการลงโทษคนในครอบครัวในอดีต นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมในการมีคู่ครองที่ให้ฝ่ายชายได้เปรียบกว่าฝ่ายหญิง เป็นต้น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net