Skip to main content
sharethis

ทีมนักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ลงพื้นที่ผันน้ำยวม แนะรัฐทบทวน EIA ชะลอโครงการก่อน ขณะที่ทีมเยาวชนสำรวจแม่น้ำ-ระบบนิเวศเผยจะร่วมปกป้องธรรมชาติ ด้านคนในพื้นที่เผยถูกไล่ที่เพื่อสร้างเขื่อนภูมิพลมาจนตั้งหลักปักฐานใหม่ได้แล้ว ผ่านมา 50 กว่าปีกลับถูกไล่ที่อีกครั้ง

 

13 ต.ค. 2564 สำนักข่าวชายขอบรายงานว่าวันนี้ (13 ต.ค. 2564) ชยันต์ วรรธนะภูติ หัวหน้าศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Regional Center for Social Science and Sustainable Development : RCSD) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการผันน้ำยวม ว่าได้เดินทางพร้อมคณะไปที่บ้านแม่งูด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะเป็นปากอุโมงค์ผันน้ำมาลงอ่างเขื่อนภูมิพล โดยสิ่งที่พบคือประชาชนในพื้นที่บอกว่าถูกหลอก โดยมีคนที่อ้างตนว่าเป็นสื่อมวลชนมาถ่ายทำความคิดเห็น ซึ่งคนในพื้นที่ต่างบอกว่าไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ เนื่องจากไม่มีส่วนร่วมใดๆ แต่เมื่อนำไปเสนอข่าวกลับบอกว่าคนในพื้นที่เห็นด้วย

ชยันต์กล่าวว่าที่ผ่านมามีหน่วยงานรัฐเข้ามาสอบถามประชาชนในพื้นที่ แต่ประชาชนไม่เข้าใจเพราะไม่มีใครได้รับข้อมูลหรือเห็นรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) นอกจากประชาชนบ้านแม่งูดที่ไม่รู้ข้อมูลแล้ว ยังมีประชาชนในพื้นที่โดยรอบอีกหลายหมู่บ้านก็ยังไม่รู้เรื่อง แต่ชาวบ้านมีความเด็ดเดี่ยวที่จะร่วมกันคัดค้านโครงการผันน้ำครั้งนี้ สาเหตุที่พวกเขาไม่เห็นด้วยนอกจากการไม่มีส่วนร่วมแล้ว โครงการนี้ยังซ้ำเติมพวกเขาอีกครั้งเพราะคนในพื้นที่เคยถูกสั่งให้อพยพจากการสร้างเขื่อนภูมิพลเมื่อ พ.ศ.2507 มาแล้ว จนกลายเป็นนิคมฯ ในพื้นที่ป่าสงวน ทุกวันนี้พวกเขาได้ลงหลักปักฐานจนมีรายได้จากสวนลำใยซึ่งได้ผลผลิตดีและยังเลี้ยงวัวโดยปล่อยให้หากินในป่า นอกจากนี้ยังมีรายได้จากของป่า ซึ่งหากถูกขุดเจาะอุโมงค์และกลายเป็นกองดินถมป่า

“น้ำในอ่างเก็บน้ำที่จะเพิ่มขึ้น ชาวบ้านเชื่อว่าต้องท่วมบ้านและสวนของพวกเขาที่อยู่ขอบอ่าง เหมือนครั้งหนึ่งที่เกิดน้ำท่วมใหญ่นับสิบวันทำให้ต้นลำใยเสียหายและช่วงเวลาก่อสร้างโครงการที่มีการสร้างถนนและขุดเจาะอุโมงค์ย่อมทำให้เกิดมลภาวะ ที่แน่ๆคือความเป็นอยู่ที่สบายอย่างเพียงพอ ก็จะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาจึงได้ยื่นหนังสือไปถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านโครงการนี้แล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ” ชยันต์ กล่าว

หัวหน้าศูนย์ RCSD กล่าวว่า คณะได้ลงพื้นที่หมู่บ้านแม่เงา อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นโครงการโดยจะมีการกั้นลำน้ำยวมเพื่อสร้างเขื่อนและอ่าง นอกจากนี้ยังมีสถานีสูบน้ำและอุโมงค์ โดยสถานการณ์ของประชาชนในพื้นที่บ้านแม่เงาไม่ต่างประจากที่บ้านแม่งูด ประชาชนในพื้นที่บ้านแม่เงามีความตื่นตัวมากทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง เยาวชนและกลุ่มผู้หญิง ซึ่งพวกเขาชี้ให้เห็นการทำงานของมหาลัยวิทยาลัยที่เข้ามาเก็บข้อมูล EIA ที่ส่งนักศึกษาเข้ามาแต่ข้อมูลไม่ครบถ้วน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างเขื่อนและสถานีสูบน้ำ รวมทั้งการขุดเจาะอุโมงค์ที่ต้องมีกองดินขนาดใหญ่

“เมื่อมีการสร้างเขื่อนและอ่างปริมาณน้ำจะเอ่อท้นขึ้นมาเป็นปัญหาที่สำคัญของชาวบ้าน เขาเชื่อว่าปลาขนาดใหญ่หรือปลาเล็กที่เคยอพยพมาจากแม่น้ำสาละวิน ก็จะเข้ามาไม่ได้อีก รวมถึงหอยน้ำและสัตว์น้ำอย่างอื่น รวมถึงพืชผักริมน้ำที่ชาวบ้านพึ่งพาก็จะหายไป ชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ไร่หมุนเวียนหรือการเลี้ยงวัว พวกเขามีวิถีชีวิตโดยคนเหล่านี้เคยเป็นแรงงานในเหมืองแร่ริมน้ำยวม หลายคนไม่สามารถอ่านหนังสือไทยได้ เพราะฉะนั้นการที่ทีมจัดทำ EIA เข้ามาเขาจึงไม่เข้าใจข้อมูลที่มีแต่ภาษาไทย และใน EIA เขียนว่ามี 4 ครอบครัวที่จะได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะอุโมงค์ แต่จริงๆ แล้วมีมากกว่านั้น” ชยันต์กล่าว

 

ชยันต์กล่าวว่า เคยมีบทเรียนกรณีปากมูน จ.อุบลราชธานี ซึ่งคณะกรรมการเขื่อนโลกเสนอให้ทำการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยให้ตั้งกรรมการขึ้นมาจากทั้งสองซึ่งเป็นที่ยอมรับ โดยศึกษาทั้งด้านปลา เศรษกิจ และสังคม แล้วมานำเสนอให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับ แต่สุดท้ายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้จึงเกิดการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ และชาวบ้านได้ร่วมกันทำ EIA ของตัวเอง กลายเป็น 'งานวิจัยไทบ้าน' นำเสนอต่อเวทีสาธารณะ จนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่สามารถโต้เถียงข้อมูลของคนในพื้นที่ได้ ตอนนั้นรัฐบาลไม่ยอมทำตามมติ แต่ประชาชนได้เสนอข้อเท็จจริงเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นบทเรียนน่าสนใจ รัฐบาลควรให้ประชาชนเลือก ตอนหลังเขาจึงยอมเปิดประตูเขื่อนเพื่อให้ปลาเข้ามาตามฤดูกาล

“ที่สำคัญมันเป็นประเด็นที่สังคมได้รับรู้มากขึ้น การทำโครงการขนาดใหญ่ถ้าขาดการมีส่วนร่วมที่น่าเชื่อถือ รัฐบาลควรให้ความสำคัญเรื่องนี้ อย่างเรื่องรายได้ของชาวบ้านแม่งูดที่ต้องสูญเสียไปนั้นมีเท่าไร หรือชาวบ้านน้ำเงาที่แม่น้ำเงาและยวมไหลไปรวมกับสาละวินเป็นระบบนิเวศที่สำคัญมากของทั้ง 3 แม่น้ำ เมื่อมีการสร้างเขื่อนแล้วจะเป็นย่างไร พื้นที่บริเวณนี้ชาวบ้านเขารู้ละเอียด เราจะเข้าไปช่วยชาวบ้านในการเก็บข้อมูล ทำงานวิจัยร่วมกัน ต้นเดือนพฤศจิกายนเราเข้าไปบ้านแม่งูดอีกครั้งเพื่อวางแผน ดังนั้นรัฐบาลควรชะลอโครงการนี้เพื่อศึกษาผลกระทบให้รอบด้านก่อน" ชยันต์กล่าว

ทางด้านเครือข่ายเยาวชนและผู้นำประชาชนในพื้นที่ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 20 คน ได้ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อสำรวจระบบนิเวศแม่น้ำยวม-เงา ที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยได้ลงเรือที่จุดบรรจบแม่น้ำเงา ล่องตามแม่น้ำยวมราว 10 กิโลเมตร ผ่านหมู่บ้านท่าเรือที่จะจมใต้อ่างเก็บน้ำ ไปถึงแก่งผาแดง ใกล้กับจุดสร้างเขื่อนแม่น้ำยวม ก่อนที่แม่น้ำยวมจะไหลลงสู่แม่น้ำเมย บนพรมแดนไทยพม่า

สันติภาพ เลิศพิเชียรพิบูลย์ ตัวแทนเยาวชนบ้านแม่เงา กล่าวว่าคนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ละลำห้วยมีความสำคัญ เช่น ห้วยกุ้ง ที่มีกุ้งอาศัยอยู่ในถ้ำในลำห้วยซึ่งไหลลงแม่น้ำยวม และเยาวชนได้หารือว่าจะสืบสานการปกป้องธรรมชาติร่วมกันได้อย่างไร

 

“เราเรียนรู้ว่าชาวบ้านลุ่มน้ำยวม-เงา ได้ร่วมกันปกป้องแม่น้ำยวม-เงา มาตลอด 30 ปี ตั้งแต่เด็กๆ เราก็รู้ว่าพ่อแม่ลุกขึ้นปกป้องธรรมชาติ วันนี้ได้ล่องเรือร่วมกันกับคนรุ่นก่อน ได้เรียนรู้ประสบการณ์การต่อสู้ตั้งแต่มีโครงการเขื่อนแม่ลามาหลวง เยาวชนจะต้องร่วมกันสู้ต่อไป และจากนี้จะวางแผนเพื่อศึกษาระบบนิเวศเพื่อให้ได้ทราบทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นป่าต้นน้ำ คือ ป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวา และป่าสงวนแห่งชาติท่าสองยาง” สันติภาพ กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net