สตช.ให้ธนาคารแจ้งความแทน ปชช.ถูกดูดเงิน พท.กังวลรัฐบาลตามอาชญากรรมไซเบอร์ไม่ทัน

22 ต.ค. 2564 สตช. แถลงเตรียมสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดคดีหักเงินจากบัญชี-บัตรเครดิต-เดบิต ภายในสัปดาห์หน้า ขอให้ธนาคารเป็นผู้เสียหายแจ้งความแทนประชาชน ส.ส.เพื่อไทย กังวลรัฐบาลตามอาชญากรรมไซเบอร์ไม่ทันทำประชาชนเดือดร้อน แนะกระทวงดีอีให้ความสำคัญเรื่องนี้มากกว่าจับแต่เฟกนิวส์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานว่า พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)  ชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการกรณีที่มีผู้เสียหายถูกหักเงินจากบัญชีธนาคาร บัตรเดบิต และบัตรเครดิต โดยไม่ทราบสาเหตุว่า สืบเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการแจ้งความดำเนินคดี

รองโฆษก สตช. กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยสั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยได้จัดให้มีการประชุมหารือเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2564 ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหาแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว และได้ข้อสรุปว่าทางธนาคารต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีที่ได้รับผลกระทบจะรับเป็นตัวแทนผู้เสียหายในการไปแจ้งความร้องทุกข์กับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.) และจะชดใช้เยียวยาเงินส่วนที่ได้รับความเสียหายให้ผู้เสียหายภายใน 5 วัน หลังจากพิสูจน์ทราบแล้วว่าบัญชีนั้นๆ ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวจริง

พ.ต.อ.กฤษณะ ชี้แจงว่า ในช่วงนี้ยังคงมีผู้เสียหายบางส่วนเดินทางไปแจ้งความกับ บช.สอท. ด้วยตัวเอง ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 22 ต.ค. 2564 จำนวน 83 ราย และบางส่วนที่เดินทางไปแจ้งความกับหน่วยงานตำรวจอื่นๆ อีกกว่า 70 ราย รวมทั้งหมดกว่า 150 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยลงหลังจากที่มีการประชุมหารือและได้มีการประชมสัมพันธ์ออกไป เรื่องที่ทางธนาคารจะเป็นตัวแทนผู้เสียหายในการแจ้งความ

รอโฆษก สตช. ขอให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว ติดต่อไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีที่ได้รับความเสียหาย และทางธนาคารจะดำเนินการพิสูจน์ทราบว่าบัญชีนั้นๆ ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวหรือไม่ หากพบว่าได้รับความเสียหายจริง ก็จะติดต่อกลับไปยังผู้เสียหายเพื่อดำเนินการชดใช้เยียวยาเงินในส่วนที่ได้รับความเสียหายต่อไป

ส่วนผู้เสียหายที่ได้ร้องทุกข์ไปก่อนหน้านี้แล้ว พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิสูจน์ทราบตามขั้นตอน และการเยียวยาผู้เสียหายต่อไป โดยทางธนาคารและหน่วยงานต่างๆ ได้ประชุมหารือกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 และได้รับรายงานว่าต้องมีการรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลความเสียหายและข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจะเดินทางมาร้องทุกข์กับทาง บช.สอท.

รองโฆษก สตช. กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการสืบสวนสอบสวน รวมถึงพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและการกระทำความผิดอย่างเต็มความสามารถ และจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

พ.ต.อ.กฤษณะ ยังขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลรายการเดินบัญชี รวมถึงยอดเงินในบัญชี บัตรเครดิต และบัตรเดบิตของท่าน ว่ามีการถอนหรือหักเงินออกไปโดยที่ท่านไม่ทราบสาเหตุหรือไม่ หากพบว่ามีการถอนหรือหักเงินออกไปโดยไม่ทราบสาเหตุและท่านไม่ได้ใช้จ่ายยอดดังกล่าว ขอให้รีบติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชีหรือเจ้าของบัตรนั้นๆ เพื่อให้ทางธนาคารดำเนินการตรวจสอบและจะเป็นตัวแทนผู้เสียหายในการร้องทุกข์ โดยหากธนาคารตรวจสอบและพบว่าบัญชีหรือบัตรเครดิตบัตรเดบิต ของท่านได้รับความเสียหายจริง ก็จะดำเนินการเยียวยาชดใช้ต่อไป และขอให้ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อจะได้รู้ทันกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพ นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านพรรคเพื่อไทยรายงานว่า กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กมธ.ดีอีเอส) สภาผู้แทนราษฎร อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่มีอาชญากรรมทางไซเบอร์ มีการดูดเงินจากบัญชีธนาคารบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้เสียหายแล้วเป็นผู้ถือบัตรเครดิต 5,700 ราย คนถือบัตรเดบิต 4,800 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 130 ล้านบาท เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก และ เชื่อว่าจะมีอาชญากรรมทางไซเบอร์ในลักษณะต่างๆ เกิดขึ้นอีก เหมือนในต่างประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ และรัฐบาลจะต้องตามให้ทัน และมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาขนไม่ให้เป็นเหยื่ออาชญกรรมทางไซเบอร์นี้

ส.ส.เพื่อไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ย. 2564 กระทรวงสาธารณสุขออกมายอมรับเองว่ามีการแฮกข้อมูล โดยมีข่าวว่าเป็นข้อมูลของประชาชนกว่า 16 ล้านราย และมีเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลถูกแฮกข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่หลายแห่ง ทำให้ดูเหมือนว่าประเทศไทยมีความอ่อนแอในการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ และอาจจะเป็นเป้าหมายมากขึ้นในอนาคตถ้าหากไม่สามารถป้องกัน และสร้างความเข้มแข็งเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์เช่นนี้

กฤษฎา กล่าวต่อว่า หากจำกันได้ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยได้เตือนปัญหาของอาชญากรรมทางไซเบอร์นี้ตั้งแต่สมัยที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการโครงการพร้อมเพย์ โดยพยายามจะให้ประชาชนทุกคนเข้าไปใช้ระบบพร้อมเพย์ ด้วยความเป็นห่วงว่าหากไม่มีระบบการป้องกันที่ดีพอ อาชญากรรมทางไซเบอร์จะมีเพิ่มขึ้นอีกมาก

ส.ส.เพื่อไทย กล่าวว่า จากข้อมูลที่ทราบ การดูดเงินเกิดจากการซื้อขายออนไลน์ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเข้าไปตรวจสอบและถือโอกาสนี้ในการเก็บข้อมูลและรักษาข้อมูลการค้าออนไลน์ทั้งหมด เพื่อป้องกันอาชญกรรม อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ในการเก็บข้อมูลของรัฐเพื่อวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ในอนาคต และยังจะเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีด้วย

กฤษฎาชี้ว่า อาชญากรรมทางไซเบอร์ครั้งนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยให้รัฐบาลไทยตื่นตัว เพราะนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าจะมีมากกว่านี้ในอนาคต โดยในประเทศที่พัฒนาแล้วแม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซุนดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกูเกิล (Google) ยังออกมาเตือนรัฐบาลสหรัฐถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่จะมีมากขึ้น ให้รัฐบาลสหรัฐเตรียมตัวให้พร้อม

ส.ส.เพื่อไทย แนะว่า กระทรวงดีอี จะต้องตื่นตัวและเร่งรับมือกับปัญหานี้โดยด่วน ไม่ใช่คิดแค่เรื่องจับข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์ ซึ่งหลายครั้งดูเหมือนกลายเป็นรัฐบาลที่ออกข้อมูลที่คลาดเคลื่อน​ และเป็นผู้ให้เฟกนิวส์เสียเอง หรือ ทำเพียงไล่ปิดเว็บเพียงแค่นั้น

กฤษฎา กล่าวว่า คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยอยากขอเสนอให้รัฐบาลร่วมมือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะกับ คณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบ ด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า แห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร เพื่อร่วมมือกันจัดเตรียมระบบป้องกันอาชญกรรมทางไซเบอร์ที่เข้มแข็ง เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยรัฐบาล ธนาคาร และเอกชนอาจจะร่วมมือกัน โดยรัฐบาลและธนาคารออกทุน โดยใช้ข้อมูลจากภาคเอกชนและประชาชนที่เคยได้รับผลประทบ เพื่อให้ได้ระบบการป้องกันที่ดีสุด ซึ่งในปัจจุบัน ทั้งบุคคล​ากรและเงินทุน ไม่เพียงพอในการบริหารงานส่วนนี้ เหมือนรัฐบาลไม่เข้าใจและไม่ให้ความสนใจในส่วนนี้มากนัก

ส.ส.เพื่อไทย ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วจะมีทั้งประโยขน์และมีทั้งโทษ และ อาชญากรรมที่จะตามมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลจะต้องเตรียมรับมือกับปัญหา โดยจะต้องคิดล่วงหน้าหน้าและหาทางป้องกันและปราบปรามเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ ขาดความรู้และตามไม่ทัน ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจจะมากเกินรับมือก็เป็นได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท