‘ก้าวไกล’ จ่อยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป ม.152 ชี้มีหลายปัญหาต้องแนะและขอคำตอบจากรัฐบาล

‘หมอเก่ง’ อัด เปิดประเทศแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ย้ำจากนี้วัคซีนต้องฉีดให้ได้วันละล้าน ด้าน ‘ศิริกัญญา’ จับตารัฐบาลสับปลับ เบี้ยวจ่าย ‘ประกันราคาข้าว’ กังขา อาจมีปัญหากรอบวินัยการเงินการคลัง ‘ชัยธวัช’ แย้ม ความขัดแย้งใน พปชร. สะท้อน ส.ส.ไม่เชื่อมั่น ‘ประยุทธ์’ เชื่อ อาจมีอุบัติเหตุการเมืองให้ ‘ยุบสภา’ เร็ว

28 ม.ค.2564 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. ห้องนวมทอง ไพรวัลย์ อาคารอนาคตใหม่  ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงข่าวการเข้าชื่อเพื่อเตรียมเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ทันทีที่มีการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร

‘ลวงตัวเลข’ เปิดประเทศแบบ ‘ขายผ้าเอาหน้ารอด’

นายแพทย์วาโย กล่าวว่า ต่อกรณีที่จะมีการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ มี 3 ข้อกังวล และ 3 ข้อเสนอต่อรัฐบาล ข้อกังวัลแรกคือ ปริมาณผู้ได้รับวัคซีนครบ 2เข็ม ตัวเลขอยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 ของประชากร แต่สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาคือเป็นตัวเลขจริงและเพียงพอต่อการเปิดประเทศหรือไม่ เพราะจำนวนผู้ได้รับวัคซีนร้อยละ 40 ได้นับรวมผู้ฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายทั้งสองเข็มไปด้วย แต่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดนี้ว่า อาจไม่เพียงพอต่อการต่อกรกับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาด อาจารย์หมอ นักวิชาการและรัฐบาลก็เห็นพ้องตรงกัน นั่นจึงเป็นที่มาของการเกิดการฉีดวัคซีนแบบสูตรไขว้ ดังนั้น ตัวเลขร้อยละ 40 จึงมีผู้ได้รับวัคซีนเชื้อตายสองเข็มอยู่ด้วย ขณะเดียวกันในกรณีของการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นเพียงพอว่าใช้ได้จริง นับจากที่ตนอภิปรายในสภามาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏแค่หลักฐานจากโรงเรียนแพทย์บางแห่งเป็น 4-5 แผ่น เท่านั้น

ดังนั้น ตัวเลขของประชากรที่มีภูมิคุ้มกันจึงอาจยังไม่ถึงร้อยละ 40 และยังมีคำถามว่าตัวเลขเพียงเท่านี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้วหรือไม่

ประเด็นที่สอง นักท่องเที่ยวที่เข้ามา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ประเทศกลุ่มแรกเข้าไปพื้นที่ใดก็ได้ ส่วนกลุ่มที่ 2 คือประเทศที่เข้ามาได้เฉพาะ 17 จังหวัดแซนด์บ็อกซ์ที่ลดระยะเวลาการกักตัวจาก 14 เหลือ 7 วัน โมเดลนี้ แม้รัฐพยายามจะป้องกันเต็มที่ด้วยการให้ตรวจ RT-PCR ทั้งก่อนเดินทางและเมื่อมาถึงไทย แต่ยังมีความเสี่ยงแน่นอน เพราะการที่ผลตรวจจะขึ้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยต้อง 3 วัน ซึ่งความเสี่ยงครั้งนี้ก็คือชีวิตและอนามัยของคนไทยทุกคน

ประเด็นที่สาม รัฐบาลอิงตัวอย่างจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นเหตุผลในการเปิดประเทศ แต่ผลประกอบการของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ก็ไม่ได้สำเร็จถึงเป้าหมายเท่าที่ควร จากคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 100,000 ราย ตอนนี้ได้แค่ประมาณ 40,000 ราย  ปัญหาก็คือกระทั่งในยอดนี้ยังมีคำถามว่าเป็นตัวเลขจริงหรือไม่

เพราะท้ายที่สุด มีจำนวนมากเป็นคนไทยที่กลับเข้ามา แต่ไม่ต้องการเข้ากักตัวที่  State Quarantine เลยมาลงที่ภูเก็ตแทน จึงไม่ใช่มรรคผลในการดึงต่างชาติเข้ามา

“เมื่อนำโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาใช้ในสถานการณ์ที่การฉีดวัคซีนยังไม่ถึงไหน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังอยู่ที่ 7,000 - 8,000 รายต่อวัน ซึ่งยังไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกติ และจะต้องไม่ทำให้ภาวะที่ยังเป็นวิกฤตกลายเป็นความเฉยชา ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่ใช่ตัวเลขจริง ยังมีตัวเลขจากการตรวจ ATK ที่ไม่ถูกรวมอีกหลายพันรายต่อวัน ซึ่งในบางจังหวัดยังพบการติดเชื้อแบบพุ่งสูงที่สุดเท่าที่มีมา เป้าหมายของรัฐบาลคือการเปิดประเทศให้ได้เป็นเรื่องถูกต้อง แต่สถานการณ์ตอนนี้อาจสวนทางกับหลักการเปิดประเทศอย่างรัดกุม และยังน่ากังวลอย่างมากที่รัฐบาลจะเปิดประเทศด้วยเหตุผลเพียงเพื่อแค่ปกป้องบางคนที่ลั่นวาจาว่าจะเปิดใน 120 วัน นี่จึงเป็นการเอาชีวิตและอนามัยของประชาชนมาเสี่ยงเพื่อศักดิ์ศรีใครบางคนหรือไม่”

สำหรับข้อแนะนำ นายแพทย์วาโย กล่าวว่า เนื่องจากเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลก็จะเปิดประเทศอยู่ดี และเราไม่ได้คัดค้านการเปิดประเทศ จึงมีข้อแนะนำก่อนการเปิดประเทศคือ หลังจากนี้จะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยวันละ 1,000,000 โดส เพื่อให้ทันภายใน พ.ย.นี้ เพราะหลังจากนั้นทราบว่าจะเริ่มเปิดพรมแดนทางเท้า จะมีนักนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้างแล้ว จะต้องสู้ด้วยการเร่งฉีดวัคซีน ต้องเลิกทำงานแบบเช้าชามเย็นชามหรือทำแบบรัฐราชการได้แล้ว  เราเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาแล้วช่วงหนึ่ง จำนวนคนไข้เต็มไอซียู เครื่องช่วยหายใจและบุคลากรการแพทย์ทำงานกันแน่นไปหมด ต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้มาศึกษาและต้องคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้

และต้องเลิกมองสถานพยาบาลเอกชนเป็นศัตรูของรัฐ ในภาวะวิกฤตจะต้องดึงมาประกบพันธกิจของรัฐด้วย

“สุดท้ายคือตัวนายกรัฐมนตรีที่ต้องแก้ไขตัวเอง เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการ และชาวต่างชาติเห็นถึงความหนักแน่น จริงจัง ไม่เช้าชามเย็นชาม ลักกะปิดลักกะเปิด เพราะผู้ประกอบการมีความกังวล เนื่องจาการเปิดธุรกิจต้องลงทุน ต้องสต็อกของ ต้องจ้างคน ต้องทำสัญญา แต่ถ้าท่านบอกว่าเปิดแล้วมีปัญหาก็ปิด มันก็แค่ขายผ้าเอาหน้ารอดจากที่ลั่นวาจาไว้หรือเพื่อกู้ศักดิ์ศรีตัวเองเท่านั้น แต่ไม่ส่งผลให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเขาไม่กล้าเปิด ท่านต้องเปลี่ยนตัวเองให้หนักแน่น และดำเนินนโยบายอย่างรัดกุมที่สุด” นายแพทย์วาโย ระบุ

‘ศิริกัญญา’ สะท้อน เศรษฐกิจเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ศิริกัญญา กล่าวว่า ได้เก็บข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชนจากการลงพื้นที่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พบว่ามีความเดือดร้อนประชาชนทุกหย่อมหญ้า ตั้งแต่รากหญ้าไปบนสุด พี่น้องเกษตรกร พบปัญหาต้นทุนที่พุ่งสูงจากราคาปุ๋ย ราคายา ราคาน้ำมัน สวนทางกับราคาข้าวที่ตกต่ำเนื่องมาจากการส่งออกที่ลดลง ขณะเดียวกันมาตรการของรัฐเรื่องการประกันรายได้ ซึ่งต้องจ่ายงวดแรกวันที่ 15 ต.ค. แต่จนถึงปัจจุบัน พบว่า วงเงินที่อนุมัติจากครม.ยังน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากน้ำท่วมที่ยังต้องรอเรื่องเงินเยียวยากันต่อไป

สำหรับคนในเมือง มีปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากทั้งค่าน้ำมัน ค่าตั๋วบีทีเอส ค่าไฟฟ้า ค่าทางด่วน ที่ขึ้นราคาพร้อมๆกันแบบไม่เกรงใจประชาชนที่กำลังดิ้นรนปากกัดตีนถีบจากสถานการณ์โควิด หรือในภาคการส่งออกที่เหมือนกำลังดีขึ้น ก็เจออุปสรรคก้อนใหญจากต้นทุนค่าระวางเรือและความขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่แก้ไข และปัญหาชิปที่ขาดแคลนซึ่งอาจกระทบการส่งออกรถยนตร์หรือคอมพิวเตอร์ได้

สำหรับปัญหาชั้นบนสุด คือการเอื้อกลุ่มทุนด้วยข้ออ้างจากโควิดในกรณีสัญญาสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินและแอร์พอร์ตลิงก์ ที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนใหญ่โดยไม่เกรงใจประชาชนที่กำลังเดือดร้อน

ส่อเครดิตรัฐบาลหมด ทำเบี้ยว ‘ประกันราคาข้าว’

ศิริกัญญา ได้กล่าวถึงรายละเอียดปัญหาราคาข้าวตกต่ำว่า ปีนี้อาจส่งออกข้าวได้ไม่ถึง 5 ล้านตัน จากเดิมที่เคยส่งออกได้ 9-10 ล้านตัน เมื่อส่งออกไม่ได้จึงส่งผลให้ราคาข้าวตกต่ำ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำคือจ่ายเงินตามการประกันรายได้และจำนำยุ้งฉาง ทั้งนี้ จากการประมาณการของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ คาดว่าต้องใช้เงินอัดฉีดประมาณ 150,000 ล้านบาท แต่พบว่ามติ ครม.อนุมัติจ่ายแค่ 18,000 ล้านบาท หรือแค่ร้อยละ 12 เท่านั้น

“ถ้าจะทวงสัญญารัฐบาล เราอาจทำได้แค่การปรึกษาหารือ แต่คำถามของพวกเราในฐานะผู้แทนราษฎรคืองบประมาณเพื่อช่วยเหลือชาวนาที่ไม่เป็นไปตามนัดนั้น เป็นเพราะรัฐบาลกำลังมีปัญหากรอบวินัยการเงินการคลังอื่นหรือไม่ เพราะได้ก่อนหนี้กับ ธกส.และหน่วยงานรัฐอื่น เหมือนรูดบัตรเครดิตจนเต็มวงเงินแล้วจึงไม่เหลือเงินมากพอช่วยเหลือชาวนาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นปมมาจาก มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังที่กำหนดให้รัฐบาลก่อนหนี้กับหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจได้แค่ร้อยละ 30 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเดือน ก.ย.ปี 64 ได้ใช้ไปจนเต็มวงเงินแล้ว พอขึ้นปีงบประมาณใหม่ ถ้าจำกันได้คืองบประมาณลดลง หากคิดคำนวณ ร้อยละ 30 ของปี 65 จะอยู่ที่ประมาณ 920,000 ล้านบาท แต่เดือน ก.ย. ปี 64 ก่อหนี้ไปแล้ว 980,000 ล้านบาท”

ศิริกัญญา กล่าวว่า ถึงแม้จะมีการใช้หนี้ไปบางส่วนแล้วก็กระทบวงเงินนี้อยู่ดี จึงเป็นคำถามต่อไปว่ากรอบนี้จะขยายหรือไม่ หรือแก้ไขอย่างไร เพราะนอกจากเกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรผ่าน ธกส. แล้ว ยังรวมไปถึงการชดเชยดอกเบี้ยผ่านมาตรการรัฐต่างๆ เช่น ธนาคารออมสิน หรือธนาคารอาคารสงเคราะห์ด้วย เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องได้รับคำตอบจากรัฐบาลที่จะคุยกันต่อในการอภิปรายต่อไป

สำหรับเรื่องราคาปุ๋ย มาจากราคาแม่ปุ๋ยนำเข้าแพงขึ้นถึง ร้อยละ 25-40 แต่รัฐบาลทำเพียงแค่ออกมาตรการกดดันให้สมาคมแม่ปุ๋ยนำปุ๋ยออกมาขายแค่ 4.5 ล้านกระสอบ เทียบไม่ได้กับความต้องการของชาวนาและเกษตรกร นายกรัฐมนตรียังพูดถึงการแก้ปัญหาปุ๋ยที่แพงมา 6 เดือนแล้วให้ ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ 1.3 ล้านไร่ แต่จากที่ตนลงพื้นที่ พบว่าเงินที่เคยสัญญาว่าจะช่วยเหลือเกษตรอินทรีย์หนึ่งล้านไร่ตั้งแต่ปี 63 ที่ต้องจ่ายงวดสุดท้าย ถึงตอนนี้เกษตรกรก็ยังไม่ได้รับเงินตกเบิกตรงนั้นเลย

เตรียมเผชิญหน้าเงินเฟ้อพร้อมเศรษฐกิจตกต่ำ

เรื่องค่าครองชีพ  ศิริกัญญา กล่าวว่า แม้จะมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลแต่ราคาน้ำมันเบนซินก็ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับค่าไฟ ค่าทางด่วน ค่าตั๋วบีทีเอส ที่ขึ้นราคาพร้อมกัน ทำให้ค่าครองชีพคนเมืองจะเพิ่มทันที สิ่งที่จะตามมาคือเงินเฟ้อของคนเมือง ถามว่ารัฐบาลมีแผนรับมืออย่างไร

“ขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่าเงินเฟ้อพร้อมเศรษฐกิจตกต่ำ นอกจากความเดือนร้อนเฉพาะหน้าและยังกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกด้วย สำหรับผู้ส่งออก แม้ตัวเลขเดือน ก.ย.จะดีขึ้น แต่ถ้าไม่แก้ปัญหาค่าระวางเรือและความแคลนขาดตู้คอนเทนเนอร์ระดับภูมิภาค เครื่องจักรเศรษฐกิจที่คาดหวังซึ่งก็คือส่งออกอาจไม่เป็นตามเป้า”

ผู้ประกอบการรายย่อยรอเยียวยา 2 ปี แต่ทุนใหญ่ดีดนิ้วได้ทันที

อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องการคำตอบในการอภิปรายที่จะเกิดขึ้น ศิริกัญญา กล่าวว่า ในการให้ความช่วยเหลือ SMEs มีเสียงเรียกร้องมานาน ซึ่งในที่สุด รัฐบาลมีมาตรการจ่ายให้ลูกจ้างรายละ 3,000 บาท ไม่เกิน 200 คน แต่ความช่วยเหลือนี้มาช่วงที่เกิดการเลิกจ้างไปมากแล้ว ไม่ได้ช่วยตอนที่เขาลำบาก แม้ว่ามาช้าดีกว่าไม่มาแต่การพยุงการจ้างงานก็ไม่เกิดขึ้นจริง และกว่าจะได้เขาต้องรอมาเกือบ 2 ปี

“แต่ผู้ประกบการรายใหญ่ไม่ต้องรอ แค่ดีดนิ้วก็มา เช่น กรณี กลุ่มเอเชียเอราวัณที่ CP ถือหุ้นใหญ่ขอชะลอจ่ายค่าสัมปทานรถไฟฟ้าเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ก็ตอบรับทันที ทั้งยังมีข่าวว่าจะขอผ่อนจ่ายงวดแรกวงเงิน 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 6 งวดบ้าง 10 งวดบ้าง แต่ประชาชนกลับยังไม่ได้รับข้อมูลใดๆเกี่ยวกับการต่อรองเลย ทั้งที่โครงการนี้เป็นการร่วมทุน PPP ระหว่างรัฐกับเอกชน ประชาชนในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศควรที่จะได้รับรู้รายละเอียด ได้ตรวจสอบว่าผลประโยชน์จะตกต่อประชาชนมากขึ้นหรือน้อยลง หรือถ้ายอม ดอกเบี้ยผ่อนชำระต้องเป็นเท่าไร แต่ไม่มีรายละเอียด ปิดเป็นความลับอย่างมากจึงจำเป็นต้องซักถามข้อเท็จจริงต่อรัฐบาลจากการยืนญัตตินี้ด้วย”

‘ชัยธวัช’ คาด อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้ตลอด

ในช่วงท้าย ชัยธวัช ตอบสื่อมวลชนต่อคำถามกรณีการปรับโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐว่า เรื่องนี้มีนัยยะสำคัญในแง่ที่ว่า อุบัติเหตุทางการเมืองอาจเกิดได้เสมอและอาจมีการยุบสภาเร็วกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการ อย่างที่ตนย้ำเสมอว่า การยุบสภาในประเทศไทย น้อยครั้งมากจะยุบในเวลาที่ต้องการหรือเป็นช่วงที่ได้เปรียบที่สุด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุทางการเมืองของรัฐบาลเอง

“การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐที่กำลังเป็นข่าว สะท้อนปัญหาสำคัญคือเสถียรภาพทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าแก้ไม่ได้ อย่างน้อยการผ่านกฎหมายสำคัญในสภามีปัญหาแน่ อาจได้เห็นปรากฏการณ์การเมืองย้อนยุคที่ไม่ได้เห็นมานาน เช่น การโหวตวาระสำคัญต่างๆต้องไปแจกเงินในห้องย้ำ หรือห้องต่างๆ เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล ความไม่มีเสถียรภาพนี้เกิดจากการที่ ส.ส.ของพลังประชารัฐส่วนหนึ่ง ไม่มั่นใจใน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะหลายคนมีความกังวลใจอย่างมาก หากต้องหาเสียงกับพี่น้องประชาชนแล้วต้องชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุ

 

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท