Skip to main content
sharethis

70 นักกฎหมาย คณาจารย์นิติศาสตร์ ออกแถลงการณ์ “การล้มล้างสถาบันฯ หรือการล้มล้างสิทธิเสรีภาพของประชาชน” และรับฟังความเห็นของคณบดีคณะนิติศาสตร์ 3 สถาบัน

 

13 พ.ย.2564 วันนี้ คณาจารย์นิติศาสตร์และเครือข่ายนักกฎหมายจำนวน 70 คน ร่วมกันลงชื่อในแถลงการณ์ “การล้มล้างสถาบันฯ หรือการล้มล้างสิทธิเสรีภาพของประชาชน” หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการปราศรัยของอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอกและปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุลในการชุมนุม #ม็อบ3สิงหา เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และการชุมนุม #ม็อบ10สิงหา ธรรมศาสตร์จะไม่ทน 10 ส.ค. 2563 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ว่า เป็นการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ทั้ง 3 รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง

คณาจารย์นิติศาสตร์และเครือข่ายนักกฎหมายที่เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวจะกระทบต่อหลักการพื้นฐานของระบบกฎหมายและสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญจึงได้ออกแถลงการณ์ ดังนี้

แถลงการณ์  การล้มล้างสถาบันฯ หรือการล้มล้างสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ต่อกรณีการเคลื่อนไหวของเยาวชนและประชาชน (ในการชุมนุม เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตยหรือ “ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์” บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และการชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ความดังกล่าวได้เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางในทางสาธารณะแล้วนั้น

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้นำมาซึ่งคำถามอันเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะกระทบต่อหลักการพื้นฐานของระบบกฎหมายและสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ทั้งจะส่งผลสืบเนื่องต่อไปถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปมประเด็นปัญหาดังกล่าวปรากฏขึ้นอย่างน้อยใน 3 ประเด็นสำคัญ ดังต่อไปนี้ 

ประการแรก สิทธิในเข้าถึงการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (right to fair trial)

สิทธิในการเข้าถึงการพิจารณาอย่างเป็นธรรมถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่ได้รับการรับรองไว้อย่างกว้างขวาง ดังปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 10, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ  14 และสิทธิดังกล่าวก็ถือเป็นหลักการพื้นฐานของกระบวนพิจารณาคดีในระบบกฎหมายสมัยใหม่อันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป อันมีสาระสำคัญว่าบุคคลจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม ทั้งจะต้องสามารถนำเสนอพยานหลักฐานในการโต้แย้งหักล้างกับบุคคลที่กล่าวหาได้อย่างเต็มที่

ในการวินิจฉัยคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสได้ต่อสู้ต่อข้อกล่าวหา ด้วยการปฏิเสธไม่ให้มีการนำพยานเข้าชี้แจง แม้จะได้มีการชี้แจงว่าศาลได้มีการสืบหาข้อมูลข้อเท็จจริงมาจนสามารถชี้ขาดคดีได้ อย่างไรก็ตาม การรวบรัดในกระบวนการพิจารณาโดยไม่เปิดโอกาสให้กับฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาในการชี้แจงและนำเสนอพยานหลักฐาน ย่อมถือเสมือนเป็นการปฏิเสธสิทธิในการเข้าถึงการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจนำไปสู่การตั้งคำถามต่อคำตัดสินว่าเป็นไปโดยปราศจากข้อมูลที่รอบด้านว่าเป็นผลมาจากมุมมองและจุดยืนของผู้วินิจฉัยเป็นที่ตั้ง

ประการที่สอง เสรีภาพในการแสดงออก (freedom of expression)

เสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมถือเป็นสิทธิเสรีภาพสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้ให้การรับรองไว้ในข้อ 19 และข้อ 20, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 18 และข้อ 21 ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ก็ได้รับรองเสรีภาพในการแสดงความเห็นไว้ในมาตรา 34, เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธในมาตรา 44 การรับรองไว้อย่างสอดคล้องกันทั้งในกฎหมายระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญย่อมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเสรีภาพดังกล่าวอย่างชัดเจน แม้การรับรองเสรีภาพดังกล่าวจะบัญญัติให้มีการจำกัดขอบเขตเสรีภาพลงได้แต่ก็ต้องเป็นไปด้วยเหตุผลอันชัดเจนว่าการใช้เสรีภาพดังกล่าวจะนำไปสู่ผลกระทบอันรุนแรงต่อส่วนรวม

จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้ให้ความเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นของกลุ่มผู้ถูกร้องมิใช่เป็นการใช้เสรีภาพโดยสุจริตหากเป็นไปโดยมีเจตนาซ่อนเร้น ทั้งยังเป็นการกระทำที่เป็นการใช้ความรุนแรงข่มขู่บังคับต่อบุคคลอื่น ในความเห็นของศาลจึงเห็นว่าการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์มีเจตนาที่จะต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่จะสามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนถึงการกระทำของฝ่ายผู้ถูกร้อง คำวินิจฉัยมีลักษณะเป็นการให้เหตุผลอย่างคลุมเครือ อันนำมาสู่คำถามได้ว่าคำพูดหรือการกระทำในลักษณะเช่นใด ณ เวลาใด ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นำมาเป็นหลักฐานในการชี้ขาด ยิ่งหากพิจารณาถึงข้อเรียกร้องที่ปรากฏต่อสาธารณะก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการแสดงความเห็นทั้งหมดเป็นเพียงการเสนอปรับแก้กฎหมายและรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยที่ไม่มีการเสนอถึงการยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนสู่ระบอบการปกครองในแบบอื่นแต่อย่างใด

ทั้งการวินิจฉัยถึงเจตนาของบุคคลก็ต้องพิจารณาจากการกระทำที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน การกล่าวอ้างถึงเจตนาที่ซ่อนเร้นของบุคคลนับเป็นสิ่งที่มีอันตรายในทางกฎหมายเป็นอย่างมาก เพราะอาจเป็นเพียงการยกเอาความเห็นของผู้ตัดสินโดยปราศจากข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานสนับสนุนอย่างพอเพียง การจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ไม่อาจจะปล่อยให้เกิดขึ้นได้เพียงคำกล่าวอ้างโดยปราศจากหลักฐานที่ชัดเจน มิฉะนั้น ต่อไปในภายภาคหน้าสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็พร้อมจะถูกสั่นคลอนหรือทำลายลงได้อย่างง่ายดา

ประการที่สาม สถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ให้คำอธิบายว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่เป็นเนื้อเดียวกันกับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งได้รับการรับรองไว้ให้อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะซึ่งผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ อันปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้ให้คำอธิบายซึ่งจำแนกให้เห็นอย่างชัดเจนระหว่างสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ทั้งที่ชัดเจนว่าพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในระบอบการปกครอง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยถือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยดำรงสถานะเป็นประมุขของรัฐ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงปกเกล้าฯ แต่ไม่ปกครอง (reign but not rule) การดำรงอยู่ สถานะ และบทบาทของพระมหากษัตริย์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามที่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยก็จึงสามารถมีการปรับเปลี่ยนได้ในมิติต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเงื่อนไขของสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงในสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นสภาวะปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป หากพิจารณาถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของสังคมไทยก็จะพบว่าได้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เมื่อระบอบประชาธิปไตยได้เริ่มต้นขึ้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเช่นนี้นับแต่จะเป็นการสร้างความยุ่งยากต่อการจัดวางสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยให้ทวีความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้น

ศาลรัฐธรรมนูญในนานาอารยะประเทศเป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นด้วยเป้าหมายสำคัญก็เพื่อทำหน้าที่ในการปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งสร้างดุลยภาพอันเหมาะสมระหว่างประโยชน์ของส่วนรวมและสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในกรณีนี้จึงเป็นคำวินิจฉัยที่สร้างความสงสัยให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง พวกเราจึงเห็นว่าคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการพื้นฐานทางกฎหมายอย่างรุนแรง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งจะเป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคมไทยให้แผ่ขยายและรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักการทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมถึงการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญก็นับเป็นสิ่งที่ยังห่างไกลจากบทบาทที่ควรจะเป็นอย่างมาก

12 พฤศจิกายน 2564

เครือข่ายนักกฎหมาย คณาจารย์นิติศาสตร์

รายชื่อผู้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ฉบับนี้
1.        กนกพร จันทร์พลอย    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
2.        กรศุทธิ์ ขอพ่วงกลาง    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3.        กริช ภูญียามา    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4.        กฤติกา เลิศสวัสดิ์    มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
5.        กรกนก วัฒนภูมิ     -
6.        กฤษณ์พชร โสมณวัตร    มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
7.        กิตติภพ วังคำ    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
8.        เขมชาติ ตนบุญ    นักกฎหมายอิสระ
9.        เขมภัทร ทฤษฎิคุณ    สถาบันวิจัยเพื่ื่อการพัฒนาประเทศ
10.        คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11.        คอรีเยาะ มานุแช    สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
12.        จารุนันท์ น้าประทานสุข    ทนายความ
13.        เฉลิมศรี ประเสริฐศรี    ทนายความ มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
14.        ชนะจิต รอนใหม่    นักกฎหมาย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
15.        ชำนาญ จันทร์เรือง    -
16.        ฐิตินันท์ เต็งอำนวย    คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
17.        ณรงค์รัตน์  ขำสุวรรณ    ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
18.        ณัฏฐพงษ์ ลัทธาพลสกุล    มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
19.        ณัฏฐพร รอดเจริญ    คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
20.        ณัฐดนัย นาจันทร์    สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
21.        ณัฐสุดา อมรสู่สวัสดิ์    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
22.        ณัฐาศิริ เบิร์กแมน    ทนายความ
23.        ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
24.        ดรุเณศ เฌอหมื่อ    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
25.        ทศพล ทรรศนกุลพันธ์    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
26.        ทิตศาสตร์  สุดแสน    ทนายความ
27.        ธนรัตน์ มังคุด    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
28.        ธวัช ดำสอาด    สำนักงานกฎหมายอิสระ
29.        ธิรชา ปัญจบุตรชัย    คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
30.        ธีรวัฒน์ ขวัญใจ    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
31.        นวพร เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
32.        นัทมน คงเจริญ    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยลัยเชียงใหม่
33.        นาฏนภัส เหล็กเพ็ชร    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
34.        นิฐิณี ทองแท้     นักวิชาการอิสระ
35.        บงกช ดารารัตน์    นักกฎหมาย
36.        ปราญชลี มณีรัตน์    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
37.        ปวีณา เผื่อนงูเหลือม    ทนายความ
38.        ปสุตา ชื้นขจร    มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา 
39.        ปารณ บุญช่วย    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
40.        ปิยากร เลี่ยนกัตวา    Shanghai Jiao Tong University
41.        ผจญ คงเมือง    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
42.        พัชร์ นิยมศิลป    คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
43.        พัชราภรณ์ ตฤณวุฒิพงษ์    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
44.        พิชามญชุ์ ทรัพย์ไพบูลย์    นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
45.        ภาสกร ญี่นาง    นักวิชาการกฎหมาย
46.        ภีม อุดมบุณยลักษณ์    อิสระ 
47.        มุกกระจ่าง จรณี    มหาวิทยาลัยบูรพา
48.        มุนินทร์ พงศาปาน    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
49.        ยอดพล เทพสิทธา     -
50.        เยาวลักษ์ อนุพันธุ์    ทนายความ
51.        รัดเกล้า นามกันยา    ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
52.        เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล    ศูนย์กฎหมายสิทธิชุมชน
53.        วรรณา แต้มทอง    ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
54.        วริษา องสุพันธ์กุล    มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
55.        วัลย์นภัสร์ เจนร่วมจิต    ทนายความ
56.        วัชลาวลี คำบุญเรือง    นักกฏหมายอิสระ
57.        วิเชียร เพ่งพิศ    นักวิชาการอิสระ
58.        ศรมัณ วงศาโรจน์    คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
59.        ศรัณย์ จงรักษ์     -
60.        ศศิประภา ไร่สงวน    มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
61.        ส.รัตนมณี พลกล้า    ทนายความ มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
62.        สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
63.        สมชาย ปรีชาศิลปกุล    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
64.        สาวตรี สุขศรี    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
65.        สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
66.        สุทธิรักษ์ เนื่องมัจฉา    คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
67.        สุมิตรชัย หัตถสาร    นักกฎหมายอิสระ
68.        สุรชัย ตรงงาม    ทนายความ
69.        สุรินรัตน์ แก้วทอง    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
70.        Preeda Tongchumnum    Lawyer
 

ด้านคณบดีคณะนิติศาสตร์ 3 มหาวิทยาลัย ในฐานะคนสอนกฎหมายมีความคิดเห็นต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา ดังนี้

มุนินทร์ พงศาปาน รองศาสตราจารย์ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“ผมคิดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างบรรทัดฐานที่สร้างปัญหาในทางกฎหมายอยู่หลายเรื่องด้วยกันตามที่ได้ออกแถลงการณ์มา ในเรื่องที่สำคัญที่สุดผมคิดว่ามันทำให้ความพยายามที่จะ Rationalize ทำให้สถานะพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถานะในทางจารีตประเพณีดำรงอยู่อย่างสมเหตุสมผลในระบบประชาธิปไตย จากที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนมันทำให้อธิบายยากยิ่งขึ้นอีก คือความพยายามที่เรารักษาหลักการที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ส่วนพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นสัญลักษณ์ของประเทศตรงนี้ก็จะทำให้เกิดความสับสนเกิดความคลุมเครือมากยิ่งขึ้น มันอธิบายยากในหลักการทางกฎหมายว่าสิ่งที่ศาลพยายามสื่อมออกมาศาลต้องการจะสื่ออะไร

จริงๆ ศาลสามารถยืนยันหลักการที่ชัดเจนซึ่งอยู่ในรัฐธรรมนูญได้ แต่ว่าคำอธิบายที่ศาลออกมามันทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยว่าศาลเชื่อในหลักการที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด จริงๆ แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์หรือประชาชนเองกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่จะต้องมีการปรับตัว แทนที่ศาลจะช่วยให้สถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยมีความชัดเจนและมีเหตุมีผลมากขึ้น แต่ศาลกลับสร้างความคลุมเครือ สร้างปัญหาให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น

ประเด็นที่สอง ผมคิดว่า Due process เรื่องกระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง เป็นธรรม โปร่งใส และให้โอกาสคู่กรณีได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ปัญหาที่เราเห็นได้ชัดคือการไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีที่ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงอย่างเต็มที่ จากการแถลงออกมาผมยังไม่เห็นคำวินิจฉัยตัวเต็มผมคิดว่ามันยังขาดเหตุการณ์หรือการกระทำที่เจาะจง ข้อหาที่ศาลตั้งให้กับคนที่ถูกกล่าวหาคือเรื่องของการล้มล้างการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก ถ้าเรียกอย่างไม่เป็นทางการก็คือข้อกบฏ ผมมองว่าข้อร้ายแรงขนาดนี้ย่อมต้องให้โอกาสคนที่ถูกกล่าวหาต่อสู้อย่างเต็มที่ แม้ว่าจะยังไม่ใช่คดีอาญา แต่ยิ่งในศาลสูงสุดอย่างศาลรัฐธรรมนูญยิ่งต้องเปิดโอกาสให้เขาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และเป็นธรรม ไม่ควรจะตัดพยานหรือปฏิเสธสิทธิในการชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่น่าเครือแคลงสงสัยในทางกฎหมาย เพราะถ้ามันเกิดขึ้นในศาลสูงสุดมันเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลที่มีหน้าที่ในการปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ผมคิดว่าแค่ 2 เรื่องนี้ ถ้ามองในมุมกฎหมายก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก”

สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

“ผมไม่เห็นด้วย เหตุผลประการแรกเลยผมคิดว่าการที่ทั้งรุ้ง อานนท์ และไมค์ เขาใช้ข้อเสนอขอปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ ผมคิดว่ามันเป็นการกระทำภายใต้กรอบของกฎหมายในการใช้เสรีภาพในการชุมนุม การใช้เสรีภาพในการแสดงออก ไม่ได้เป็นการใช้วิธีการใดนอกระบบกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ได้ใช้อาวุธในการข่มขู่อะไร ดังนั้นจึงไม่ใช่การล้มล้าง

สอง ผมคิดว่าข้อเสนอในการปฏิรูปเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะว่าสถาบันกษัตริย์ก็เป็นองค์กรหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ ถ้าเราเสนอให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่างๆ ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ นั้นหมายความว่าถ้าเกิดมีการเสนอให้ปรับเปลี่ยนตัวระบบของรัฐสภา รายละเอียดของรัฐสภา เปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง ส.ส. หรือ ส.ว. ก็ถูกตีความว่าเป็นการล้มล้างได้หมด ในขณะที่ตัวสถาบันกษัตริย์กับตัวองค์กรหลักก็คือองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน ถ้าดูตามประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญก็มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติว่าด้วยหมวด 2 สถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังนั้น 10 ข้อเสนอที่เขาเสนอมาก็ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าจะไม่มีสถาบันกษัตริย์อยู่ในรัฐธรรมนูญไทยหรือในประเทศไทยอีกต่อไป ดังนั้นผมถึงไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง

สาม ผมคิดว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นการล้มล้างการปกครองเอาเข้าจริงตัวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่างหากที่เป็นการทำล้างระบอบประชาธิปไตย ผมคิดว่าข้อเสนอ 10 ข้อเป็นข้อเสนอที่เราต้องยืนยันว่าเขามีสิทธิที่จะเสนอได้ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ส่วนที่ว่าเสนอมาแล้วสังคมไทยจะเห็นด้วยกับการปฎิรูปที่ทั้ง 3 คนเสนอมาหรือไม่ เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องถกเถียงกัน มีทั้งคนที่อยากปฏิรูปและไม่อยากปฏิรูป แต่สิทธิที่เขาจะพูดได้เราต้องยืนยันว่าเขาสามารถทำได้ ส่วนสังคมไทยจะเห็นด้วยกับข้อเสนอเรื่องปฎิรูปของเขาหรือไม่นั่นเป็นเรื่องของสังคมไทยที่ต้องพูดคุยกัน ถ้าวันนี้สังคมไทยบอกว่าเรายังไม่ต้องการการปฏิรูปก็ว่ากันไป แต่นี่เป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนควรจะมีสิทธิในการเสนอได้ว่าเราอยากมีรูปแบบการปกครอง มีรายละเอียดของตัวองค์ตามรัฐธรรมนูญแบบไหน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องยืนยันว่าข้อเสนอปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อเป็นข้อเสนอที่สามารถเสนอได้ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้นก็ตาม”

นัทมน คงเจริญ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“ในแง่ของการเคารพและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่ให้มีการกระทำหรือกฎหมายใดๆ มาละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญที่เราเห็นมาตั้งแต่การจัดตั้งสมัยรัฐธรรมนูญปี 40 ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญน้อยมาก เมื่อเทียบสัดส่วนกับการตัดสินคดีทางการเมืองที่ทำให้ภาพการเมืองไทยบิดเบือนไปอย่างมาก ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือในการจัดการฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ จัดการกับความเห็นต่างโดยอาศัยกลไกทางการเมือง หลังจากที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลได้กำจัดคนที่เห็นต่างกับแนวทางทางการเมืองที่ศาลเชื่อมั่น อย่างเช่นอุดมการณ์ของอนุรักษ์นิยม

นัทมน คงเจริญ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (แฟ้มภาพ)

ในตอนนี้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันพุธที่ 10 ที่ผ่านมา นอกจากการทำลายกลไกทางการเมืองแล้วยังเข้ามาทำลายสิทธิและเสรีภาพซึ่งศาลมีหน้าที่ต้องคุ้มครองด้วยซ้ำไป การทำลายสิทธิและเสรีภาพนี้คือสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส กระบวนการในศาลขาดการรับฟังความเห็น ซึ่งขัดต่อหลักการพิจารณาคดี ยิ่งไปกว่านั้นมีการตัดสินและการกล่าวให้เหตุผลทางกฎหมายอย่างคลุมเครือ มีการคลุมไปถึงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งประเด็นนี้ไม่ชัดเจน และมีการพูดถึงการกระทำของบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาในคดีด้วย เพราะนั้นจึงเป็นการเหวี่ยงแหกินความไปถึงการกระทำอื่นๆ นอกเหนือไปจากการพิจารณาในคดี นอกเหนือไปจากการกระทำของคนที่ถูกฟ้อง ในแง่นี้เป็นการบิดเบือนการทำหน้าที่อย่างไม่ชัดเจน ไม่ตรงไปตรงมา และยังขัดต่อ Rule of law ขัดต่อหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่ควรจะเป็น และใช้อำนาจโดยเกินเลยไปกว่าหน้าที่ที่ควรกระทำ เป็นการใช้อำนาจโดยขัดต่อเจตนารมณ์ที่แท้จริงของการมีศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นถึงความน่ากลัวความอันตรายในอนาคตของสังคมไทยว่าเราจะเดินไปกับสถาบันหลักที่ไม่อาจเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชนในสังคมได้อย่างไร นำมาสู่ความล่มสลายของสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทางประชาธิปไตย ประมุขของรัฐ องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐคือศาลรัฐธรรมนูญเอง และกระทบต่อการบังคับใช้รัฐธรรมนูญในตัวของมันเอง

ถือได้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาเป็นตัวล้มล้างระบอบรัฐธรรมนูญด้วยตัวของศาลเอง นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ดับฝัน ดับไฟ ไม่เห็นแสงสว่างในระบบกฎหมายและสังคมไทย คือความผิดหวังต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง”

              

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net