ล่าชื่อผ่าน change.org หยุดคุกคาม 'แอมเนสตี้ ประเทศไทย'

ผู้ใช้เว็บ change.org ล่าชื่อรณรงค์ 'รัฐบาลประยุทธ์ต้องหยุดคุกคามองค์กรแอมเนสตี้ประเทศไทย' ด้านแอมเนสตี้ชวนย้อนอ่านแถลงการณ์และปฏิบัติการด่วนบางส่วน เพื่อผลักดันสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

27 พ.ย. 2564 ผู้ใช้เว็บ change.org ชื่อ Nattharavut Muangsuk ได้สร้างแคมเปญรณรงค์ 'รัฐบาลประยุทธ์ต้องหยุดคุกคามองค์กรแอมเนสตี้ประเทศไทย' ระบุว่าหลังจากมีประชาชนผู้สนับสนุนรัฐบาลกลุ่มหนึ่งในชื่อกลุ่มพสกนิกรปกป้องสถาบัน และ กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลขับไล่องค์กรสิทธิมนุษยชนอย่าง Amnesty International หรือองค์กรนิรโทษกรรมสากล สำนักงานประเทศไทยออกไปจากการทำหน้าที่ป้องกันและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยใช้ทัศนคติที่ล้าหลังคลั่งชาติแสดงการต่อต้านอย่างน่าละอาย และหลังจากที่ยื่นหนังสือกับตัวแทนรัฐบาล คือนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือนายแรมโบ้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับพบว่าตัวแทนรัฐบาลผู้นี้ยังแสดงออกซึ่งการสนับสนุนให้คุกคามองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยประกาศใช้ตำแหน่งของตนเดิมพันในการขับไล่องค์กรนิรโทษกรรมสากลออกไปจากประเทศไทย หลังจากนั้นก็ยังพบคำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่บอกว่ากำลังสั่งให้ตรวจสอบเบื้องหลังขององค์กร Amnesty ด้วยเชื่อว่ากำลังมุ่งทำร้ายประเทศไทย ทำให้เชื่อได้ว่า การทำงานของเจ้าหน้าทAmnesty International ประจำสำนักงานประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดัน และความไม่ปลอดภัยจากรัฐบาลนี้มากขึ้น

ในนามประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นเพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วโลก และแสวงหาความยุติธรรมให้ผู้ถูกล่วงละเมิดสิทธิขององค์กร Amnesty International ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดแสดงออกซึ่งการคุกคามกลุ่มคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน หยุดอ้างความเป็นประเทศที่มีความแปลกแยกจากชาวโลก เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด หรือวัฒนธรรม ความเชื่อหรือศาสนาใด  และหันมาให้ความสำคัญในการป้องปรามการละเมิดสิทธิมนุษยชน แสดงออกซึ่งความมุ่งมั่นขจัดการเลือกปฏิบัติในการกระบวนการยุติธรรม หยุดใช้อำนาจกฏหมายคุกคามกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง หยุดส่งเสริมหรือให้ท้ายมวลชนของตนเองอ้างความเป็นคนไทยไปแสดงออกอย่างไร้อารยะต่อองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งหากข้อบกพร่องทั้งหมดนี้ของรัฐบาลถูกแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังจะลดปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจะไร้บทบาทสำคัญในประเทศที่มีการส่งเสริมด้านสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง หากแต่ปัจจุบันบทบาทของรัฐบาลไทยต่อเรื่องนี้กลับเป็นไปในทางลบในเวทีโลก เพราะการกระทำที่ยังละเมิดสิทธิพลเมืองของตนเองอย่างรุนแรง และแสดงออกในการคุกคามองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปัญหาและหยุดการกระทำในเรื่องนี้โดยเร่งด่วน

เครือข่ายคนรักสถาบันฯ และ ศปปส.ยื่นหนังสือไล่แอมเนสตี้ฯ-'แรมโบ้' ลั่นถ้าไล่ไม่ได้พร้อมลาออก
หลังรัฐประหาร แอมเนสตี้ฯ เคยรณรงค์ด่วนจี้ คสช.หยุดคุมตัว ปชช.โดยพลการ วันนั้น 'แรมโบ้' อาจอยู่ในค่าย

แอมเนสตี้ชวนย้อนอ่านแถลงการณ์และปฏิบัติการด่วนบางส่วน เพื่อผลักดันสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ด้านเพจ Amnesty International Thailand ได้โพสต์ชวนย้อนอ่านแถลงการณ์และปฏิบัติการด่วนบางส่วน เพื่อผลักดันสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

โดยระบุว่า "เราเป็นขบวนการของคนธรรมดามากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน"

"เรามีพันธกิจในการศึกษาและปฏิบัติการเพื่อป้องกันและยุติปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกระดับที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้มีเสรีภาพในการแสดงออกและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ โดยกิจกรรมรณรงค์ของเรามีรากฐานมาจากงานวิจัย"

"ไม่ว่าคุณจะมีความคิด ความเชื่อ หรืออุดมการณ์ทางการเมืองแบบใด หากคุณถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเราจะออกมาปกป้องสิทธิเสรีภาพของคุณ"

"และวันนี้ เราขอชวนคุณร่วมย้อนอ่านแถลงการณ์และปฏิบัติการด่วน (บางส่วน) จากเรา เพื่อผลักดันสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา"

"แอมเนสตี้ยืนหยัดเคียงข้างสิทธิมนุษยชนและผู้ถูกละเมิดสิทธิมากว่า 60 ปี"

6 ความจริงที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

นอกจากนี้ Amnesty International Thailand ยังได้ชี้แจงเรื่อง '6 ความจริงที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล'

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลกที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน เป็นอีกหนึ่งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือ เอ็นจีโอ ที่เข้ามาบทบาทในประเทศประเทศไทย จากการทำกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้แก่ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคงมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

วันนี้เราจึงถือโอกาสพาทุกคนมาทำความรู้จักกับองค์กรของเราผ่าน 6 ความจริงที่หลายคงยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

แอมเนสตี้เข้ามามีบทบาทในไทยจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519

นับแต่เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาและประชาชนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จนทำให้กลายเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไทย และยังเป็นความทรงจำอันมืดมนของใครหลายๆ คน และเหตุการณ์ในวันนั้นเองที่ทำให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวไทยในนามองค์กรนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพราะจดหมายนับแสนฉบับที่ถูกส่งมายังรัฐบาลไทยเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุมจากการประท้วง ซึ่งจดหมายเหล่านั้นล้วนแต่มาจากผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ทั่วโลก

และใน พ.ศ. 2536 เป็นครั้งแรกที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างจริงจัง มีการเลือกตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่สนใจสิทธิมนุษยชนแขนงต่างๆ ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และจดทะเบียนในฐานะสมาคมตามกฎหมายไทยภายใต้ชื่อ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เพื่อร่วมทำงานพัฒนาสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความร่วมมือจากผู้สนับสนุนทุกคนในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2546

สำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดที่ว่าตั้งอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในความเป็นจริงแอมเนสตี้มีจุดกำเนิดมาจาก ปีเตอร์ เบเนนสัน ทนายความชาวอังกฤษผู้เขียนบทความเรียกร้องปล่อยตัวนักศึกษาชาวโปรตุเกสสองคนที่โดนรัฐบาลเผด็จการจับติดคุกเพียงเพราะดื่มเหล้าและชนแก้วสดุดีเสรีภาพ ดังนั้นจึงทำให้สำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลตั้งอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เงินสนับสนุนของแอมเนสตี้

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้ที่ถูกละเมิดผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสงสัยว่าเรามีเงินจัดกิจกรรมเหล่านั้นได้อย่างไร และบางคนมีความเข้าใจผิดที่ว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นองค์กรที่รับเงินมาจากรัฐบาลต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงเงินทุนสำหรับการจัดกิจกรรมของเราล้วนแต่มาจากการรับบริจาคของบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจด้านสิทธิมนุษยชน และค่าสมัครสมาชิกในแต่ละปี เพราะแอมเนสตี้เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร และปฏิเสธที่จะรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล หรือแหล่งทุนอื่นๆ

เป็นองค์กรที่ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นองค์กรที่รณรงค์ในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนโดยไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมือง หรือลัทธิใดๆ เน้นทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น เนื่องจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีพันธกิจเพียงเพื่อให้สังคมเกิดการตระหนักถึงสิทธิมนุษยชน  

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบใด แอมเนสตี้ก็ยังต้องทำงานเพื่อเรียกร้องหรือกดดันให้ประเทศนั้นๆ ยกระดับและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน โดยไม่มองว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งหรือว่ารัฐประหาร เพราะทุกระบอบการปกครองล้วนมีการละเมิดสิทธิเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

มีสำนักงานกระจายตัวอยู่ทั่วโลก

เนื่องด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสังคมเราในปัจจุบันยังคงมีผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิอยู่มากมาย จึงทำให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่มีสมาชิกและผู้สนับสนุนกว่า 10 ล้านคน ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และมีสำนักงานกระจายตัวอยู่กว่า 70 ประเทศ ยังคงต้องยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเพื่อให้สังคมเกิดความเท่าเทียมกันทางด้านสิทธิมนุษยชน และการที่เรามีสำนักงานกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศก็สามารถทำให้เราทราบได้ว่าสถานการณ์ของโลก ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร

ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาแล้วกว่า 60 ปี

ตลอดระยะเวลาการทำงานเพื่อสังคมที่ผ่านมาแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมาแล้วกว่า 6 ทศวรรษ หากนับเป็นตัวเลขของอายุคนเราก็คงเป็นคนหนึ่งที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยสุดท้ายของชีวิต และเป็นวัยที่ทุกอย่างเริ่มเชื่องช้าลง แต่กับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรายังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อให้สิทธิมนุษยชนเกิดความเท่าเทียมมากกว่าที่เป็น จนทำให้เกิดความสำเร็จมากมาย อาทิการได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญในการปกป้องเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพในโลกในปี 2520 หรือล่าสุด ฆาลิด ดราเรนี นักข่าวชาวแอลจีเรียได้รับการปล่อยตัว หลังจากถูกคุมขังเพียงเพราะทำหน้าที่รายงานข่าวเมื่อปี 2563

นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังคงทำหน้าที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้กับบุคคลที่ถูกละเมิด เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีความเท่าเทียม ไม่ควรมีใคถูกกดให้ต่ำลง
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท