Skip to main content
sharethis

หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ หลังจับกุมคุมขังแกนนำราษฎร หลัง ส.ส. ส.ว.คว่ำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปิดหนทางเปลี่ยนแปลงทั้งในนอกสภา

กลุ่มอนุรักษนิยมได้ใจ แสดงพลัง 50 คน ล่าล้านชื่อไล่แอมเนสตี้ ส่งเสียง Echo กันไปมา กับแรมโบ้ ส.ว. และสถาบันขายหมูหย็อง ขณะที่ประยุทธ์ก็ “ไม่ถอดใจ” ไม่ยึดติดอำนาจ แต่จะอยู่เซ็นแฟ้มต่อไป

ขั้วอำนาจคงคิดว่า สามารถสยบคนรุ่นใหม่ ที่เคยมาม็อบล้นหลามในปี 63 คงถอดใจกลับไปเรียนไปสอบ ดูหนังฟังเพลง เป็นติ่งเกาหลี หรือหลงอยู่ในจักรวาลมาร์เวล ปล่อยให้แกนนำติดคุกพันปี

ที่ไหนได้ เป็นติ่งเกาหลีจริง #SITALA ทะลุ 2 ล้านไม่ทันข้ามวัน #แบนลูกหนัง ตามมาติดๆ แม้ถกเถียงกันว่า เป็นความเกลียดชังเหมารวมหรือไม่ (พ่อลูกไม่เกี่ยวกัน แต่ลูกก็มีส่วน และไม่เคยขอโทษ ฯลฯ) ไม่ว่าเถียงกันอย่างไร ก็สะท้อนว่าพลังความโกรธไม่ได้หายไป แม้ไม่มีม็อบบนถนน

พลังทางความคิดก็ไม่ได้หายไป ยิ่งหยั่งลึกยิ่งขยายวง วิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัย ชำแหละกระบวนการยุติธรรม ชำระประวัติศาสตร์ ฯลฯ กระทั่งโลกออนไลน์หัวเราะสนั่น ข้อสอบ ป.1 ชาติไทยเจริญรุ่งเรืองเพราะบรรพบุรุษเสียสละ

พลังทางศิลปะก็เบ่งบาน เช่นนิทรรศการ Keep In The Dark เช่น MV “อีกไม่นาน นานแค่ไหน” ของ Getsunova, Three Man Down ที่ feat โดย “ทิดไพรวัลย์” หรือเพลง The Law 112: Secrecy and Renegades ของวง Defying Decay ที่ไปเปิดในอเมริกา ล้วนเกิดขึ้นขณะที่ตำรวจภูธรกดดันนักเคลื่อนไหว ไม่ให้ออกมาม็อบไล่ประยุทธ์สัญจร

ดันแคน แมคคาร์โก ผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทย ชี้ว่า “แม้ม็อบราษฎรจะไม่บรรลุผลสำเร็จรูปธรรมอันใดเลย ในบรรดาข้อเรียกร้องของตน หากประเมินด้วยการเมืองตามธรรมเนียมแบบแผน แต่หากมองในแง่การเมืองวัฒนธรรมแล้ว พวกเขาได้ใช้อำนาจแบบที่สาม ทำการปั่นป่วนเรื่องเล่าหลักแห่งชาติจนเสียกระบวนไป” (คำแปลของเกษียร เตชะพีระ)

อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็กล่าวในบทความ “วัฒนธรรมเผด็จการไทย” https://www.matichonweekly.com/column/article_490726 ว่าการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ เป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งลึกซึ้งกว้างขวางกว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งที่แล้ว หลัง 14 ตุลา 2516 ถึง 6 ตุลา 2519 เป็นการเคลื่อนไหวที่ใช้ภาษาแบบเจตนาปฏิเสธ “ความเป็นไทย” ที่ถูกยัดเยียดมาหลายชั่วคน สั่นสะเทือนถึงรากถึงโคน ด้วยการเรียกคนสถานะสูงว่า “มึง, เหี้ย, ปรสิต ฯลฯ”

อำนาจอนุรักษ์ไม่มีปัญญาจัดการกับ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ได้แต่แจ้งจับ 112 พ.ร.บ.คอมพ์ แล้วปลุกความเชื่อ “เด็กคิดไม่เป็นถูกครอบงำโดยพวกชังชาติ” หลอกกันเองในกลุ่มไลน์

มองอีกมุมหนึ่ง เครือข่ายอนุรักษ์อาจไม่แยแส ตราบใดที่กุมอำนาจส่วนบนไว้ได้ คุมรัฐราชการทหารตำรวจ กระบวนการยุติธรรม ส่งประยุทธ์ลงเลือกตั้งอีกครั้ง เอาชนะด้วย 250 ส.ว. กลไกอำนาจ การเมืองอุปถัมภ์ อัดฉีดกระหน่ำ เพื่อไทยหวังแลนด์สไลด์เอาเข้าจริงอาจหงายหลัง

เครือข่ายอนุรักษ์หวังว่าภายใต้อำนาจปราบกด ใช้คดีเป็นชนัก จับๆ ปล่อยๆ คนรุ่นใหม่ที่ส่วนใหญ่คือลูกคนชั้นกลาง เด็กมหาลัย หรือ ร.ร.มัธยมอันดับต้นๆ จะกังวลอนาคต เข้ารับราชการไม่ได้ ทำงานบริษัทใหญ่ไม่ได้ เดี๋ยวก็ต้องไล่ลบโพสต์ ส่วนคนรุ่นที่จะเติบโตต่อไป ก็ให้ดูแอนิเมชั่น The Diary คุณปู่ทหารเก่าใส่เสื้อเหลืองเล่าประวัติศาสตร์ แล้วจะปิดสมองได้

มองมุมหนึ่งอาจใช่ การเมืองเป็นเรื่องปากท้อง “จะมีคนละครึ่งอีกไหมครับ” คนไปรับตู่ที่อุดรถาม พลังการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่อาจยังไม่สามารถเปลี่ยนคะแนนเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ พลังคนรุ่นใหม่อาจยังไม่สามารถเปลี่ยนอำนาจราชการ ซึ่งพยายาม Recruit นักเรียนผมเกรียนไปเป็นทหารตำรวจเป็นหลักประกันอนาคตอีก 20-30 ปี

แต่นั่นมองความเปลี่ยนแปลงระนาบเดียว ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเป็นอีกระนาบหนึ่ง ที่เปรียบเหมือนปฏิบัติการทำลายใต้น้ำ กัดเซาะฐานรากไม่หยุดยั้ง ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ หนึ่ง เทคโนโลยี สอง ความเสื่อมของชนชั้นนำ สาม โลก Disruption

พูดอย่างคนที่ผ่านการปฏิวัติทางวัฒนธรรม 2516-2519 ยุคนั้นจบลงด้วยขบวนเสรีนิยมเข้าร่วม พคท.แล้วพ่ายแพ้ ชนชั้นนำปรับตัวสู่ “ประชาธิปไตยใต้อำนาจนำ” สามารถครอบงำความคิดพร้อมกับเปิดประเทศรับตลาดเสรี

แต่ยุคนี้อำนาจถอยหลัง ทำลายประชาธิปไตย ทำลายความเชื่อถือศรัทธา ไม่สามารถควบคุมการเผยแพร่ความคิดในโลกใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ “คนเท่ากัน” ภูมิปัญญาอนุรักษนิยมก็ตกต่ำ ไม่มีทางครอบงำคนรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจว่าคนรุ่นนี้ใช้ชีวิตชิลๆ ดูหนังฟังเพลง ย้อมผมหลากสี แต่กล้าชูสามนิ้วไม่กลัวอำนาจ

ถามจริง ประเทศที่คนไม่ดูหนังโป๊ แต่พระมหาไพรวัลย์อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้ นี่มันเสื่อมแค่ไหน ชนชั้นนำในอดีตสามารถสร้างศรัทธาในคนชั้นกลางคนมีการศึกษา แต่วันนี้ เป็นการต่อสู้ทางวัฒนธรรมระหว่างคนชั้นกลางใหม่กับรัฐ

คนรุ่นใหม่เหมือนมีจุดอ่อน คือมีแต่พลังถอดรื้อ ยังไม่มีข้อเสนอแห่งความหวัง (เช่นภาพสังคมในอุดมคติควรเป็นอย่างไร) แต่นั่นก็ทำให้เป็นพลังไม่หยุดนิ่ง ถอดรื้อแล้วแสวงหาในโลก Disruption ที่ทุกอย่างจะพังพินาศเร็วกว่าคาดไว้

ตอนกำแพงเบอร์ลินพัง ก็ไม่มีใครคาดคิดหรอก โลกยุคนั้นไม่ Disrupt เท่ายุคนี้ด้วยซ้ำ

 

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6763636

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net