Skip to main content
sharethis

‘สุมิตรชัย’ ตีแผ่มรดกจัดการที่ดินจากยุคอาณานิคม คณะราษฎร สู่เผด็จการสฤษดิ์ ขณะที่ ‘ชัยพงศ์’ ชี้ สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยคือ ‘ขบวนการปลดแอก’ รุ่นแรก ด้าน ‘เก่งกิจ’ ตั้งคำถามถึงขบวนการภาคประชาชนสนับสนุนรัฐประหาร และข้อเสนอประชาธิปไตยแบบคอมมิวนิสต์

 

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และ เกษตรกร คนจน ปลดแอก ได้จัดให้มีเวทีเสวนา ‘ชำระประวัติศาสตร์ สู่จินตภาพใหม่ในที่ดิน’ ณ สวนอัญญา จ.เชียงใหม่ เนื่องในวันครบรอบ 47 ปี การก่อตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย โดยมี สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ชัยพงศ์ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และเก่งกิจ กิติเรียงลาภ รองศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยน

สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น

สุมิตรชัย: มรดกการจัดการที่ดินยุคอาณานิคม-คณะราษฎร-เผด็จการสฤษดิ์ เมื่อที่ดินเป็นหลักฐานการแสดงอำนาจของชนชั้นนำ

สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวว่า เรื่องที่ดินมีมรดกอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ ก็คือมรดกในยุคอาณานิคมผ่านกฎหมายป่าไม้และกฎหมายที่ดิน ยุคคณะราษฎรผ่านสมุดปกเหลือง และยุคทุนนิยมสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ในยุคอาณานิคม เรารับมรดกมาจากอังกฤษคือ จ้างคนอังกฤษมาเขียนกฎหมาย หลังจากนั้นก็แปลงรูปแปลงร่างเข้ามาเป็นของเราเอง เรื่องที่ดินมันเลยกลายเป็นมรดกต่อเนื่องมาที่เรียกว่ามรดกยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สิ่งที่บ่งบอกคือ มาตราแรกๆ ของกฎหมายทั้งสองฉบับบอกว่า ‘ที่ดิน’ ถ้าไม่มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ ที่ดินที่เหล่านั้นเป็นของกษัตริย์ทั้งหมด ต่อมาจนถึงยุคกฎหมายที่ดิน ที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิเป็นของรัฐทั้งหมด ส่วน ‘ป่า’ คือที่ดินที่ยังไม่มีบุคคลใดได้มาตามกฎหมายที่ดิน

“หมายความว่า ‘ระบบสิทธิในที่ดิน’ มันไม่ได้มีขึ้นตั้งแต่ต้น ราษฎรไทยไม่มีสิทธิในที่ดินตั้งแต่เกิด คือคุณไม่มีส่วนแบ่งในแผ่นดินเลยตั้งแต่คุณเกิดมา คุณจะได้สิทธิในที่ดินก็ต่อเมื่อรัฐอนุญาตให้คุณได้เท่านั้นเอง และเขาก็มีสิทธิไปยึดเอาที่ดินจากคุณได้ตลอดเวลาถ้าเขาอยากเอาไปทำอะไรผ่านกฎหมายเวนคืน” สุมิตรชัยกล่าว

จนมาถึงยุคคณะราษฎรได้มีคนสร้างจิตภาพใหม่ในการจะเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ดินในประเทศไทย ก็คืออาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผ่านสมุดปกเหลือง ซึ่งมีความเป็นคอมมูน ระบบรัฐสวัสดิการ เงินเดือนประชาชน ต้นกำเนิดของการซื้อที่ดินคืนมาจากเจ้าที่ดินสมัยนั้นเป็นความคิดของอาจารย์ปรีดี คือหาเงินซื้อที่ดินจากเจ้าที่ดินที่ไม่ทำประโยชน์เอาคืนมา แล้วก็มาจัดให้ราษฎร สร้างงานให้คน ปรีดีใช้คำหนึ่งที่รัชกาลที่ 7 ยอมรับไม่ได้ก็คือว่า ‘ไอ้คนที่ไม่ทำมาหากิน เป็นคนรกโลก’ อาจจะหมายถึงพวกเจ้าที่ดินที่ไม่ได้ทำมาหากินในสมัยนั้น ส่วนชาวนาชาวไร่ที่ลำบากตรากตรำทำมาหากินเป็นคนที่มีคุณค่า เป็นที่มาของสโลแกนของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยว่า ที่ดินต้องเป็นของผู้แบกคันไถ

นอกจากนั้นยังมีมรดกยุคจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม กฎหมายที่ดินในสมัยจอมพล ป. พ.ศ. 2497 ได้ใส่เครื่องมือหนึ่งไปในกฎหมายคือเรื่องการจำกัดการถือครองที่ดินตั้งแต่มาตรา 34 เป็นต้นไป สุดท้ายก็ถูกยกเลิกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ออกประกาศคณะปฏิวัติขึ้นมาฉบับหนึ่งในปี 2502 นำที่ดินเข้าสู่ระบบตลาด เป็นมรดกของเผด็จการในยุคจอมพลสฤษดิ์ หรือเป็นมรดกของทุนนิยมในระยะแรกภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 อันนี้คือมรดกของฝ่ายอนุรักษนิยม

เมื่อที่ดินเข้าสู่ระบบตลาด การออกโฉนดที่ดินในสมัยนั้นราษฎรที่ไปแจ้งการครอบครองไว้ โอกาสที่เข้าไปสู่การเปลี่ยนโฉนดที่ดินยากมาก เนื่องจากนายทุนไปขวางซื้อที่ดิน สค. 1 ขวางซื้อที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ประชาชนทำประโยชน์อยู่ เช่น ในลำพูนมีโครงการจัดที่ดินตั้งแต่ปี 2508 ออกใบจองให้ราษฎรถือไปแล้ว วันดีคือดียกเลิกใบจอง แต่พี่น้องก็ทำกินมาเรื่อยๆ แบบไม่มีเอกสารสิทธิ์ พอปรากฏว่า ปี 2528-2531 มีโครงการเดินสำรวจภายใต้ธนาคารโลกก็ออกเป็นโฉนดของนายทุนหมดเลย พี่น้องจึงกลับเข้าไปยึดที่ดินของนายทุนเหล่านี้ที่โกงเอาที่ดินพี่น้องไปตั้งแต่ต้น 

“สรุปได้ง่ายๆ ว่าศัตรูใหญ่ของเราคือระบบกฎหมายที่เป็นนิติรัฐอภิสิทธิ์ กฎหมายไม่ได้มีไว้เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน แต่มันมีกฎหมายที่เสริมอำนาจของฝ่ายอำนาจนิยมหรือปกป้องความมั่นคงของเขา ในการใช้กฎหมายจะใช้คำว่าเราอยู่ภายใต้การปกครองด้วยกฎหมายของผู้มีอำนาจ เราไม่ได้อยู่ภายกฎหมายตามหลักสากล” สุมิตรชัยกล่าว

จนถึงยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ดินมันกลายเป็นหลักฐานการแสดงอำนาจของทั้งทุนและฝ่ายอนุรักษนิยม ป่าก็เช่นกัน คสช. ออก พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ และ พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพิ่มโทษสูงสุดจำคุก 20 ปี ถ้าอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำบวกเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง รวมเป็น 30 ปี ถ้าไปดูประมวลกฎหมายอาญาเทียบเท่าความผิดความมั่นคงของรัฐ พอๆ กับมาตรา 112 นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินหรือดินแดนที่เป็นของประเทศไทยกลายเป็นหลักฐานของการแสดงการมีอำนาจของฝ่ายผู้มีอำนาจ

“ตอนนี้ศัตรูของเราและคนรุ่นใหม่คือฝ่ายอนุรักษ์สุดโต่ง เหมือนเขาต้องการย้อนเวลากลับไป คือเขาจะไม่ไปข้างหน้า เขาจะดึงสังคมไทยย้อนกลับไป คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญมันทำให้เห็นอย่างชัดเจนมาก อันนี้ผมถึงบอกว่ามรดกของการต่อสู้ของพี่น้องสหพันธ์ของชาวนาชาวไร่จนมาถึงปัจจุบัน ถ้าผมอยากไล่ผมจะถอยไปในยุคของคณะราษฎร 2475 ตั้งแต่สมุดปกเหลือง อุดมการณ์ใหม่เรื่องที่ดินเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยนั้นแล้วอาจารย์ปรีดีได้สร้างจินตภาพให้เราแล้วตั้งแต่ต้นว่าเราจะจัดการกับที่ดินในประเทศไทยอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม” ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นย้ำ 

ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ชัยพงศ์: สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยคือ ‘ขบวนการปลดแอก’ รุ่นแรก    

ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า ปัญหาการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกันสะท้อนความไม่เป็นธรรมในสังคม อาจย้อนไปได้ถึงตั้งแต่ปรีดี พนมยงค์ ออกสมุดปกเหลือง ซึ่งรัชกาลที่ 7 ไม่เห็นด้วย จนถึงความพยายามของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ที่ได้มีพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อความเป็นธรรม แต่ถูกยกเลิกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปัจจุบันภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของการรื้อสร้างขบวนการเคลื่อนไหวใหม่ ตนมองเห็น 2-3 ประการเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน

หนึ่ง การประสานระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวในอดีตกับขบวนการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน อยากจะชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันความทรงจำของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยถูกยกขึ้นมาพูดถึงว่าเป็น ‘ขบวนการปลดแอก’ รุ่นแรกๆ เป็นขบวนการภาคประชาชนที่ยืนยันสิทธิเสรีภาพในการจัดการทรัพยากร ทำไมการเข้าถึงฐานทรัพยากรจึงสำคัญ โดยเฉพาะที่ดิน เพราะมันเป็นปัจจัยการผลิต โฉนดที่ดินเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยบริษัทขุดคูคลองสยามสัมปทานขุดคลองรังสิต เป็นการที่ศักดินาหรือคนที่มีอำนาจใช้อำนาจเพื่อไปสงวนหวงห้ามและยึดสิทธิ์ในที่ดินเพื่อขูดรีดส่วนเกิน เช่น ค่าเช่า

“การอธิบายเรื่องนี้มันคือการรื้อถอนการเข้าถึงทรัพยากร และทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน โดยเฉพาะชาวนาชาวไร่ที่ถูกพูดว่า ‘โง่ จน เจ็บ’ สามารถที่จะเปลี่ยนความหมายของขบวนการเคลื่อนไหวแบบนี้ได้แล้วประสานคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ จะทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้มันเข้มแข็งขึ้นในเชิงอุดมการณ์” ชัยพงศ์กล่าว

สอง คนที่สู้มาก่อนไม่เคยหยุดฝัน เราอาจคิดว่าคนรุ่นใหม่ฝันได้อย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วคนรุ่นเก่าไม่เคยหยุดฝัน เขายังมีจินตนาการถึงโลกที่เท่าเทียม คนสองรุ่นควรมาประสานกัน เช่น ขบวนการของพี่น้องเสื้อแดง พี่น้องสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ไปเป็นเบื้องหลังกองกำลังในการสนับสนุนทุนทรัพย์ วิธีคิดให้คนรุ่นใหม่ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลไม่สามารถทำได้ในวันเดียว และไม่สามารถทำได้แบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

“ข้อเสนอสำหรับผมคือ คนรุ่นเก่าไม่มีทางเลือกที่จะไม่สนับสนุนหรือถอย ไม่มีทางเลือกที่จะไม่หนุนเสริมคนรุ่นใหม่ ในจุดยืนแบบนี้ต่อให้มันไปไกลกว่านี้พี่ๆ ก็ต้องเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้เด็กๆ แม้จะไม่เห็นด้วยกับบางประเด็นหรือขบวนการเคลื่อนไหวที่ไม่มีการจัดตั้ง แต่จะทำยังไงได้ มันมาถึงขั้นนี้แล้ว ดึงกลับไปไม่ได้แล้ว อันนี้คือสิ่งที่ผมเรียกร้องและต้องร่วมกันผลักดัน” อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ ม.นเรศวรกล่าว

ท้ายที่สุด เรื่องที่ดินและทรัพยากร เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมไทยนี้ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่ดิน เกษตรกรทั้งหลายแหล่ไม่ได้ถือครองสิทธิ์ในที่ดิน เราจึงเห็นขบวนการเคลื่อนไหวมากมายในภาคเหนือ เช่น ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อยึดที่ดิน ขบวนการเหล่านี้มันสัมพันธ์กับขบวนการเคลื่อนไหวสมัยใหม่เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่นิสิตนักศึกษา น้องๆ ในภาคเหนือทำมันไม่ได้หยุดที่วิธีคิดในเชิงทรัพยากรอย่างเดียว เวลาพูดในกรุงเทพฯ อาจมีประเด็นการจินตนาการถึงสังคมใหม่มากมาย อันนั้นคือการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างใหญ่ แต่ในภาคเหนือผมก็เห็นน้องๆ เรียกร้องในเชิงการกระจายอำนาจ การกระจายทรัพยากร อันนี้คือสิ่งที่เชื่อมต่อกัน และสิ่งที่เชื่อมต่อกันมากที่สุดสำหรับผมคือจินตนาการและความใฝ่ฝันถึงสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียม

“ในเชิงพื้นที่จะสำคัญมากๆ พี่น้องยังต่อสู้กับคดีความกันอยู่ ยังสู้เรื่องที่ดินอยู่ เราจะทำยังไงให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ถามว่าการเข้าใจเรื่องทรัพยากร เข้าใจการยืนอยู่บนผืนดินเดียวกัน และเป็นคนกลุ่มเดียวกัน และลดสถานะของรัฐได้ด้วยถ้าเราสามารถกระจายการถือครองที่ดินได้” ชัยพงศ์ย้ำ

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ รองศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เก่งกิจ: ประชาธิปไตยแบบคอมมิวนิสต์ และขบวนการภาคประชาชนที่ควรถูกตั้งคำถาม

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ รองศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ดินจำเป็นต้องเป็นส่วนรวม ไม่สามารถเป็นของใครคนใดคนหนึ่งได้ รูปแบบการจัดการที่ดินที่ผ่านมามีแค่ 2 ประเภท หนึ่งคือ ทำให้เป็นของปัจเจกบุคคล ทำให้มีคนจำนวนมากสะสมที่ดิน ในขณะที่คนจำนวนมากถูกขับออกจากที่ดินที่พวกเขาอยู่อาศัยมาเป็นร้อยๆ ปี อีกรูปแบบคือที่ดินกลายเป็นพื้นที่หรือกรรมสิทธิ์ของรัฐ แนวทางการต่อสู้สำหรับตนจึงไม่ใช่การต่อสู้ภายใต้ระบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลใต้ระบบทุนนิยม คำถามคือเราจะไปไกลกว่าทุนนิยมได้อย่างไรในยุคปัจจุบัน เพราะระบบทุนนิยมวางอยู่บนหลักการสำคัญ คือว่า กรรมสิทธิ์ต่างๆ ควรเป็นของปัจเจกบุคคล

“ตอนที่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปที่เขื่อนปากมูล ตอนนั้นสมัชชาคนจนกำลังประท้วงคัดค้านเขื่อนปากมูล ผมจำประโยคหนึ่งที่ได้ที่แม้จะผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว ผมถามแม่ใหญ่ว่าเขาเป็นห่วงอะไรเรื่องการสร้างเขื่อน ผมจำคำตอบได้ว่าเขาบอกว่า ห่วงว่าผีจะไม่มีที่อยู่ ตอนนั้นเป็นคำตอบที่ผมประทับใจมาก เพราะผมคิดว่าเขาจะตอบว่ากลัวตัวเองไม่มีที่อยู่ สิ่งที่ผมคิดจนถึงตอนนี้คือ ผีคืออะไร เพราะว่าผีเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เป็นจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่ร้อยผู้คนต่างๆ เข้าไปร่วมกันกับพื้นที่ แม่น้ำ อาหาร ความเป็นชุมชน และประวัติศาสตร์ของชุมชนเอาไว้ด้วย เพราะฉะนั้นการที่เราพูดถึงที่ดินหรือทรัพยากร มันจึงไม่ใช่แค่เป็นทรัพยากร แต่ว่ามันเป็นองค์รวมทั้งหมดของชีวิตที่เราทุกคนจะแชร์กัน” เก่งกิจกล่าว

นอกจากนั้น เก่งกิจยังได้พูดถึงขบวนการภาคประชาชนที่ควรถูกตั้งคำถามหลังสนับสนุนการรัฐประหาร สมัยสมัชชาคนจนไปชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล นักศึกษาไปสนับสนุนหลายรูปแบบ แต่ระยะเวลาจากปี 2541-2544 เราได้รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีการปราบปรามขบวนการภาคประชาชนหลากหลายรูปแบบ และกีดกันขบวนการต่อสู้ที่ขบวนการชาวบ้านได้ต่อสู้กันมา จนในปี 2548 เกิดขบวนการเสื้อเหลือง หลายคนที่ตนนับถือก็ไปขึ้นเวทีพันธมิตร และสนับสนุนการเรียกร้องนารัฐมนตรีพระราชทาน ทำให้ตนตระหนักได้ชัดเจนในช่วงต้นปี 2549 ว่าสิ่งที่เรียกว่าขบวนการภาคประชาชนมันควรจะถูกตั้งคำถามว่าอะไรคือแนวทางการต่อสู้

ความขัดแย้งชุลมุนวุ่นวายมาจนปี 2553 ที่อดีตแกนนำภาคประชาชนจำนวนหนึ่งสะใจที่คนเสื้อแดงโดนฆ่าตาย ในปี 2557 คนเหล่านี้ก็ไปสนับสนุนการรัฐประหาร หลายคนก็ไปนั่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอย่างหน้าไม่อาย กินเงินเดือนแสนกว่าบาท หลังจากที่มีการรัฐประหารก็เกิดพรรคการเมืองของภาคประชาชนหลายๆ พรรคการเมือง หรือพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคสามัญชน อนาคตใหม่ ก้าวไกลในปัจจุบัน หรืออาจจะเป็นบางส่วนของพรรคที่มีอยู่แล้วอย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญของการต่อสู้ เนื่องจากในช่วงประมาณปี 2540 มีข้อถกเถียงในขบวนการภาคประชาชนว่าเราจะมีพรรคการเมืองของตัวเองไหม หรือเราจะต่อสู้เป็นขบวนการแล้วเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ซึ่งเราก็เห็นว่าภาพของการต่อสู้แบบเครือข่ายมันไม่สามารถที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างที่ใหญ่โตได้

อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาย้ำว่า ขณะนี้เป็นโอกาสที่จะกลับมาทบทวนการจัดขบวน จากที่เมื่อก่อนยึดการเคลื่อนไหวนอกสภา สร้างกันเป็นเครือข่าย แต่ในปัจจุบันมีการเมืองในสภาที่ยังไม่ได้โยงกับการต่อสู้ที่ผ่านมาของขบวนการภาคประชาชน คำถามก็คือเราจะเชื่อมโยงการต่อสู้ในสภากับการต่อสู้ของภาคประชาชนได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้าการต่อสู้ในรัฐสภาของพรรคการเมืองไม่แตะต้องระบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล เราจะไม่มีทางที่จะแก้ปัญหา หรือไม่มีทางที่จะส่งต่อจินตนาการของคนที่ต่อสู้มาก่อน หรือความเดือดร้อนของผู้คนที่มีมาก่อนได้

“สำหรับผม ประชาธิปไตยในความหมายที่เราต้องการมันต้องไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบคอมมิวนิสต์ หรือแบบสังคมนิยม ที่เราต้องยึดทรัพย์สินส่วนบุคคลที่กระจุกตัวอยู่ในปัจจุบันให้มันเป็นของส่วนรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราทุกคนควรมีชีวิตที่มีทรัพย์สินแค่ให้เรายังชีพได้ นอกนั้นมันควรเป็นสิ่งที่เราแบ่งปันร่วมกัน จินตนาการในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องที่ดินหรือเรื่องต่างๆ จะเป็นไปได้ ต้องคิดถึงอนาคตที่เป็นประชาธิปไตยในทุกมิติที่ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งหรือสิทธิในร่างกาย แต่รวมถึงสิทธิในทุกๆ อณูในชีวิตของเราที่เราจะกำหนดชีวิตของตัวเองได้” อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยากล่าว

เก่งกิจปิดท้ายว่า อนาคตไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่อนาคตรวมถึงการจดจำความฝันของเราในอดีตหรือจินตนาการที่เราเคยร่วมกันฝันในอดีตด้วย แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรให้ความฝันและจินตนาการในอดีตจะเป็นจริงได้ในอนาคต การที่เราจะมีอนาคตร่วมกันจึงเป็นกระบวนการที่ทำให้สิ่งที่เราเคยฝันในอดีตสามารถปรากฏขึ้นในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้

ภาพผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินและทรัพยากร ที่จัดแสดงในงาน

ข้อเสนอการขับเคลื่อนสู่จินตภาพใหม่ในที่ดิน

ชัยพงษ์ ย้ำว่า ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม หรือนิสิตนักศึกษาก้าวหน้ากว่าพรรคการเมืองอยู่ตลอดเวลา พรรคการเมืองยังพูดเรื่องการกระจายอำนาจและการกระจายการถือครองที่ดิน ซึ่งข้อเสนอพวกนี้มันอยู่ในสังคมได้เพราะว่ามันก้าวหน้า จินตนาการเหล่านี้ที่ผุดขึ้นในตอนนี้อาจจะตอบปัญหาในเวลานี้ไม่ได้ แต่ว่าอย่างน้อยมันเป็นรากฐานสำหรับผู้คนในอนาคต สิ่งที่เรากำลังทำนี้คือการสร้างอนาคต เวลามันไม่ได้แยกขาดจากกัน มันเหลื่อมซ้อนกันอยู่ตลอดเวลา อนาคตคือสิ่งที่เรากำลังสร้างกันอยู่ หมายถึงว่าพี่น้องที่สู้มาก่อนก็คือคนของอนาคตเหมือนกัน

ด้าน เก่งกิจ ย้ำข้อเสนอเดิมคือ เราจะทำอย่างไรที่ต่อสู้หรือความใฝ่ฝันของเราในเรื่องต่างๆ ที่เราทุกคนสามารถเป็นกองหน้าร่วมกันได้จะตกผนึกเป็นการต่อสู้ทางการเมืองอันเดียวกัน และย้ำว่า เราควรจะต่อสู้ให้ความหมายประชาธิปไตยคือการที่ทุกคนเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลเท่านั้น ซึ่งความฝันนั้นคือความฝันของคณะราษฎร จนถึงตอนนี้ก็ยังถือว่าว่าเป็นผลึกที่เป็นรูปธรรมที่สุดที่เราจะพูดได้ในปัจจุบัน

สุมิตรชัย เห็นว่า สองสิ่งที่เราจะต่อสู้กับฝ่ายอำนาจนิยม ก็คือ การไม่ใช้ความรุนแรง และ การไม่ร่วมมือ คือยังไงฝ่ายอำนาจนิยมจะแสดงตัวออกมา เราก็สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแล้วเราอิกนอร์มัน คำถามก็คือว่าเราจะสร้างสิ่งใหม่ของการจัดการที่ดิน ก็ต้องทำให้เห็นว่าเราจัดการที่ดินได้จริงๆ เราจัดการป่าไม้ได้จริงๆ แต่ว่าเราจะทำยังไงให้คนในสังคมนี้เห็นว่ามันเวิร์ค สร้างความเป็นธรรมให้คนในสังคมได้ ทำให้คนเข้าถึงที่ดิน ทำให้เกิดความเป็นธรรม ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี เรื่องนี้เราทำกันมาหลายปี เพียงแต่ว่าไม่ได้ยกระดับเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง

“ฝ่ายอนุรักษนิยมเขาไม่ต้องการเปลี่ยน เขาต้องการดึงกลับไป แต่เราเป็นฝ่ายที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้า เราก็ต้องเดินหน้าและทำไปเรื่อยๆ มันเป็นการต่อสู้ระยะยาว พูดง่ายๆ ว่าเวลาอยู่ข้างพวกคุณ คนรุ่นผมเหมือนกับเป็นลมใต้ปีกได้ แต่ถ้าให้ผมไปวิ่งเท่าคุณผมก็วิ่งไม่ไหวแล้ว อย่างรุ่นใหม่ๆ หลายคนก็เป็นกำลังใจส่งแรงส่งความรู้สึกให้พวกเรา ต่อให้ทำอะไรไม่ได้ก็ให้กำลังใจให้ความรู้สึกที่ดี ผมคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องที่เราน่าจะไปด้วยกันได้ในแง่ของกระบวนการและการต่อสู้ไปด้วยกัน ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่” สุมิตรชัยย้ำ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net