Skip to main content
sharethis

We Fair แถลง 7 ความถดถอยชำรุดทรุดโทรมของนโยบายสวัสดิการสังคม เงินเยียวยาไม่ถ้วนหน้าและการจัดการวัคซีนล้มเหลว การคว่ำกฎหมายบำนาญประชาชน 5 ฉบับ เบี้ยวเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดถ้วนหน้า การศึกษาออนไลน์ หายนะภัยของอนาคต ยับยั้งการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข แรงงานเปราะบางในสถานการณ์โควิด-19 คนว่างงานเกือบ 9 แสนคน และงบฯ 65 สวัสดิการที่เหลื่อมล้ำ ขณะที่ 7 รมต.ที่เกี่ยวข้องสอบตกทั้งคณะ

 

30 ธ.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ธ.ค.) เวลา 11.00 น. เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) จัดแถลงข่าว "สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำและความถดถอย สวัสดิการสังคมไทย ปี 2564 และวิจารณ์การทำงาน 7 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง" ในประเด็น เงินเยียวยาและการจัดการวัคซีน, กฎหมายบำนาญผู้สูงอายุ, เงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้า, การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข, งบประมาณ 2565 สวัสดิการที่เหลื่อมล้ำ, แรงงานและการศึกษาออนไลน์ในสถานการณ์โควิด-19 และวิจารณ์การทำงานของ 7 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายกฯ รองนายกฯ รมว.คลัง รมว.ศึกษาธิการ รมว.แรงงาน รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ รมว.สาธารณสุข

โดยมี กรรมการ We Fair ประกอบด้วย นุชนารถ แท่นทอง, ธนพร วิจันทร์ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ชุลีพร ด้วงฉิม เครือข่ายสุขภาพ เกรียงไกร ชีช่วง เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง และ นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงาน We Fair เป็นผู้แถลงย้ำว่า ชำรุดทรุดโทรม สอบตกทั้งคณะ

รายละเอียดของแถลงมีดังนี้

เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม สถานการณ์ความถดถอยของนโยบายสวัสดิการสังคม 7 ประการ ประจำปี 2564 วิจารณ์ผลงานนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้านสวัสดิการสังคม 7 คน ชำรุดทรุดโทรม-สอบตกทั้งคณะ

สถานการณ์สังคมไทย 2564 ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ สถานการณ์ความยากจน และสถานการณ์ความเปราะบางของประชาชนเลวร้ายลง ในปี 2563 มีคนจน 4.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5 แสนคน ข้อมูลจากเส้นความยากจน 2,762 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นคนยากจนมาก 1.61 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 26% คนยากจนน้อย 3.14 ล้านคน และคนเกือบจน 5.14 ล้านคน สถานการณ์คนว่างงาน 8.7 แสนคน นับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีสถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์หนี้สิ้นครัวเรือนขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่า 14.24 ล้านล้านบาท เกือบ 90% ของ GDP สูงติดอันดับ 17 ของโลก จากข้อมูลปี 2564 ครัวเรือนต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ยกว่า 10 ปีถึงจะชำระหนี้หมด [1]

สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำปรับตัวสูงขึ้น โดยค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคจีนี (Gini coefficient) ด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคในปี 2563 อยู่ที่ 0.350 เพิ่มขึ้นจาก 0.348 ส่วนในปีนี้แม้ว่าจะมีคนจนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (32,800 ล้านบาท) จำนวน 52 คน เป็นอันดับ 10 ของโลก โดยที่มหาเศรษฐี 50 ลำดับแรกมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นรวมกันมากกว่า 20% คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (9.15 แสนล้านบาท)

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2564 ถือว่ายังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากมาตรการการช่วยเหลือของรัฐหมดลงในช่วงที่เศรษฐกิจและการจ้างงานยังไม่ฟื้นตัว สถานการณ์จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น จากข้อมูลที่พบ หากไม่มีมาตรการการช่วยเหลือเยียวยา คนยากจนในปี 2563 จะมีจำนวน 11.02 ล้านคน หรือมีคนยากจนเพิ่มขึ้นกว่า 6 ล้านคน ขณะที่สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำจะถดถอยเทียบเท่ากับปี 2557 ดังนั้นแล้ว สวัสดิการสังคมและการเยียวยาจึงเป็นตาข่ายรองรับวิกฤติการณ์ได้อย่างมาก

แน่นอนว่าวิกฤติสังคมไทยที่เกิดขึ้น มีสาเหตหลักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ไม่อาจละเลยที่จะกล่าวถึงการบริหารประเทศอันไร้ประสิทธิภาพในการรองรับสถานการณ์ ในขณะที่การเข้าถึงสวัสดิการสังคมและการเยียวยา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำและความยากจน ไม่เป็นสิทธิเสมอกัน เน้นระบบสงเคราะห์ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ การผลักดันนโยบายสวัสดิการสังคมและการรวมตัวของเครือข่ายประชาชนเป็นไปอย่างจำกัด จากการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการจับกุมผู้เห็นต่าง ละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงออก นอกจากนี้ สิงที่แสดงถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลคือ การที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ไม่ดำเนินนโยบายสวัสดิการตามที่หาเสียงในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ทั้งที่ผ่านมา 2 ปีเศษแล้ว

เครือข่าย We Fair เห็นว่า สถานการณ์สวัสดิการสังคมปี 2564 มีลักษณะถดถอยลง 7 ประการ ดังนี้

1. เงินเยียวยาไม่ถ้วนหน้าและการจัดการวัคซีนล้มเหลว

การจัดสวัสดิการสังคมในสถานการณ์โควิด-19 ขาดการพัฒนาระบบสวัสดิการถ้วนหน้าเพื่อการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) การบริหารงานเกิดความล้มเหลวในมาตรการเยียวยา ไม่เป็นสิทธิถ้วนหน้า เน้นพิสูจน์ความยากจน ไม่ทันสถานการณ์ การเข้าถึงสวัสดิการด้วยการชิงโชคเป็นโปรโมชั่นบนความทุกข์ยากและความตายของประชาชน มาตรการเชิงสงเคราะห์ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ การจัดสรรเงินไม่เพียงพอต่อผลกระทบ ข้อมูลการช่วยเหลือเยียวยาระบุว่าครอบคลุมมากกว่า 40 ล้านคน แสดงให้เห็นว่ามีคนยังเข้าไม่ถึงจำนวนมาก ทั้งนี้ โครงการช่วยเหลือเยียวยาต่างๆ ที่เข้าถึงโดยการลงทะเบียนผ่านแอพสมาร์ทโฟน ในขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยเข้าถึงสมาร์ทโฟนเพียง 75.25% เข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพียง 54.22% นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบางส่วนผูกโยงการเยียวยา ไม่สามารถนำเงินไปใช้ตามความจำเป็น ส่วนมาตรการเยียวยาผู้ประกันตนประกันสังคมบางมาตรการ มีการนำเงินสมทบของผู้ประกันตนมาใช้ ถือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินผู้ประกันตน ทั้งยังนำมาโฆษณาว่าเป็นผลงานของรัฐบาล

ส่วนการบริหารจัดการวัคซีน ในระยะเริ่มภาครัฐขาดมุมมองว่าการเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและการตรวจคัดกรองเป็นสิทธิสวัสดิการของประชาชน ในขณะที่การบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพ ความล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาด ความสับสนในการบริหารสถานการณ์ไม่สามารถประสานการทำงานร่วมของหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน ไร้วิสัยทัศน์พึ่งพาวัคซีนบางยี่ห้อในสัดส่วนที่สูง และวัคซีนมีประสิทธิผลต่ำในการสร้างภูมิคุ้มกันการติดเชื้อสายพันธ์เดลต้า การกระจายวัคซีน ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรการแพทย์ เกิดขึ้นล่าช้าจากระบบอภิสิทธิ์ชน

เมื่อพิจารณาผลงานนายกรัฐมนตรีจึงแสดงถึงการขาดวิสัยทัศน์ ขาดประสิทธิภาพ ล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 21,598 คน ในขณะที่ รัฐมนตรีสาธารณสุข มักใช้คำพูดที่ทำให้เกิดความสับสน ขาดความยั้งคิด เช่น กระจอก วัคซีนเต็มแขน ทำให้ประชาชนต้องขวนขวายหาวัคซีนกันเอง แม้ว่าการจัดหาวัคซีนจะเริ่มมีมากขึ้นแต่ถือว่าล่าช้า และไม่มีการเปิดเผยงบประมาณการจัดซื้อวัคซีน

2. คว่ำกฎหมายบำนาญประชาชน 5 ฉบับ

นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รับรองกฎหมายระบบบำนาญประชาชน 5 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ เสนอโดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ พ.ร.บ.เงินบำนาญประชาชน พรรคเสรีรวมไทย พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ พรรคประชาชาติ พ.ร.บ.บำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า พรรคก้าวไกล และ พ.ร.บ.บำนาญผู้สูงอายุขั้นพื้นฐาน พรรคไทยรักธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงถึงการขาด Mindset ในการสร้างระบบสวัสดิการบำนาญประชาชนถ้วนหน้าเพื่อเป็นหลักประกันรายได้รายเดือนของผู้สูงอายุ นอกจากนี้มีการดำเนินการที่มีแนวโน้มนำไปสู่การยกเลิกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้าให้เป็นแบบสงเคราะห์ และเน้นการออมด้วยตนเอง จากการที่คณะอนุกรรมการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (ใหม่) มีการพิจารณาแนวทางเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่แบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เฉพาะผู้มีรายได้น้อยหรือเฉพาะผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. ...  ที่เน้นให้ประชาชนออมเงินเพื่อมีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิสวัสดิการที่ควรได้รับเสมอกัน

การที่หน่วยราชการอ้างว่า ระบบบำนาญประชาชนโดยใช้เกณฑ์เส้นความยากจนเป็นภาระงบประมาณ ถือเป็นการตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำของสวัสดิการอภิสิทธิ์ชน ดังปรากฎในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 บำนาญข้าราชการประมาณ 8.7 แสนคน ใช้งบประมาณ 310,000 ล้านบาท เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 10.3 ล้านคน ใช้งบประมาณ 75,321.8 ล้านบาท ทั้งนี้ หากผู้สูงอายุได้เงินบำนาญตามเกณฑ์เส้นความยากจน จะใช้งบประมาณ 341,383.2 ล้านบาท ใกล้เคียงกับบำนาญข้าราชการ

การที่นายกรัฐมนตรีไม่รับรองกฎหมายบำนาญประชาชน ถือเป็นความไม่รับผิดชอบต่อหลักประกันรายได้ของผู้สูงอายุ ในขณะที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีก็ไม่ส่งเสริมสวัสดิการถ้วนหน้า ปฏิบัติตนราวกับเป็นอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ และมีแนวโน้มจะทำให้เบี้ยผู้สูงอายุกลับไปใช้สวัสดิการแบบสงเคราะห์ เสมือนเป็นการลบผลงานของนายกรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเท้า จากที่ดำเนินการเป็นแบบถ้วนหน้าไว้

3. เบี้ยวเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดถ้วนหน้า

การเรียกร้องสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดถ้วนหน้า ได้ดำเนินการมานับตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งคณะกรรมการส่งเสริมเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) มีมติเห็นชอบในหลักการและแนวทางการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี แบบถ้วนหน้า เดือนละ 600 บาท โดยเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 และวันที่ 29 กันยายน 2563 แต่ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ไม่พบการตั้งงบประมาณจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวง พม. ในขณะที่รัฐมนตรี พม. ก็ไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่คณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ จากรายงาน TDRI พบว่าเด็กยากจนในกลุ่มเป้าหมายกว่า 30% ตกหล่นจากสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็ก จากการคัดกรองตามกลุ่มเป้าหมายครอบครั้วรายได้ไม่เกินแสนบาท ทำให้เด็กอายุ 0-6 ปี จำนวน 4.2 ล้านคน เข้าถึงเงินอุดหนุนจำนวนนี้เพียง 1.4 ล้านคน ตกหล่นจากเกณฑ์ผู้มีรายได้น้อย 30% กว่า 6 แสนคน รวมเด็กที่เข้าไม่ถึงสิทธิ์ทั้งหมดกว่า 2.8 ล้านคน

การดำเนินงานของรองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ และรัฐมนตรี พม. เป็นความล้มเหลว ไร้ความสามารถในการผลักดันสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้าเข้าสู่คณะรัฐมนตรี แม้จะมีมติคณะกรรมการ กดยช. รองรับ ทั้งนี้ เมื่อกลับไปพิจารณาถึงนโยบายหาเสียงด้านเด็กของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ เกิดปั๊บรับแสน แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เงินอุดหนุนเด็กถือเป็นสวัสดิการสังคมที่สำคัญ และจะทำให้เด็กได้รับการเสริมสร้างพัฒนาการได้

4. การศึกษาออนไลน์ หายนะภัยของอนาคต

การศึกษาภายใต้สถานการณ์โควิด นักเรียนนักศึกษาต้องปรับเข้าสู่การเรียนการสอนในระบบออนไลน์ ทำให้ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในด้านการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น ครัวเรือนรายได้น้อยจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เพื่อให้เด็กเรียนออนไลน์ มีภาระค่าใช้จ่ายค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารที่จำเป็น เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าบริการอินเทอร์เน็ต กลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำสุดยังขาดอุปกรณ์การเรียน มีเด็กตกหล่นในการเรียนรู้นอกห้องเรียนประมาณ 8 หมื่นคน นโยบายลดหรือผ่อนผันค่าเทอมระดับอุดมศึกษาไม่เพียงพอกับรายรับที่ลดลงอย่างกะทันหัน นักเรียนนักศึกษาต้องออกจากระบบการศึกษา เพราะไม่ได้รับหรือเข้าไม่ถึงการสิทธิเยียวยาอย่างทั่วถึง ต้องออกมาทำหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

การเรียนออนไลน์ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวันและต่อเนื่องหลายวันต่อสัปดาห์ รวมทั้งการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้มาเป็นที่บ้านที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เช่น ผู้ปกครองตกงาน ครอบครัวรายได้ลดลง ทำให้เด็กได้รับผลกระทบด้วย ทั้งนี้ การที่นักเรียนนักศึกษาไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ส่งผลให้ความรู้ที่ขาดหายไป ซึ่งจากรายงานผลกระทบของ COVID-19 ด้านสังคมของประเทศไทย โดย Oxford Policy Management และ United Nation ระบุถึงผลกระทบว่า การที่เด็กไม่ได้เรียนเป็นระยะเวลา 3-4 เดือน จะเกิดการสูญเสียทักษะทางการศึกษาเป็นเวลาถึง 1-1.5 ปี ขณะเดียวกันอาจทำให้เด็กมีทักษะลดลงด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคะแนนเฉลี่ยการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (ONET) เปรียบเทียบในปี 2562 และ 2563 ของนักเรียนในระดับชั้น ม.3 มีคะแนนเฉลี่ยลดลงเกือบทุกสาขาวิชา

เมื่อพิจารณาผลงานของรัฐมนตรีศึกษาธิการ สะท้อนถึงการขาดวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการการศึกษาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีเด็กตกหล่นในการเรียนรู้นอกห้องเรียนจำนวนมาก (1) การอำนวยการในการเข้าถึงวัคซีนสำหรับเด็กล่าช้า ส่งผลถึงคุณภาพการเรียนของนักเรียน (2) ผู้ปกครองและครอบครัวรับภาระการเรียนออนไลน์ มีรายจ่ายและรายได้ในการครองชีพลดลง (3) รูปแบบการเรียนการสอนขาดการเตรียมการที่มีคุณภาพ ทำให้เด็กนักเรียนเข้าไม่ถึงระบบการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ ขาดการติดตามเสริมหนุนไม่ครอบคลุมเด็กนักเรียนแต่ละช่วงวัย

5. ยับยั้งการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข

จากประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 มีคำสั่งถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จากระบบราชการที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นับเป็นก้าวสำคัญในการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขและการบริการสุขภาพไปยังท้องถิ่น แต่ทว่าคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้ออกมายับยั้งการโอนย้าย รพ.สต. โดยให้เหตุผลว่า การรวบรัดดำเนินการถ่ายโอน รพ.สต. อาจสร้างปัญหาต่อระบบสาธารณสุข จากปัญหาความพร้อมของผู้รับการถ่ายโอนของท้องถิ่น และความสมัครใจของผู้ที่จะถ่ายโอน

ปรากฎการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ซึ่งมาจากการแต่งตั้งได้ใช้บทบาทของวุฒิสภาในการเป็นกลไกสืบทอดอำนาจของคสช. เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ขัดขวางการกระจายอำนาจของท้องถิ่น เพื่อยกระดับระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงได้มากขึ้น และเป็นการพัฒนาบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในสวัสดิการด้านสาธารณสุข ซึ่งปัจจุบันระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขที่มีความพร้อมที่ดีจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ การเข้าถึงของประชาชนยังมีความเหลื่อมล้ำไม่ทั่วถึงแท้จริง

6. แรงงานเปราะบางในสถานการณ์โควิด-19 คนว่างงานเกือบ 9 แสนคน

สถานการณ์แรงงานได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการโควิด-19 จากข้อมูลในไตรมาส 3 ปี 2564 ผู้มีงานทำ 37.7 ล้านคน ผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ร้อยละ 2.25 เป็นการว่างงานเพิ่มขึ้น "สูงสุด" ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 โดยเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 5.8 แสนคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 จากปีก่อน และเด็กจบใหม่มีจำนวน 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นร้อยละ10 ผลกระทบแรงงานภาคอุตสาหกรรมถูกเลิกจ้าง ตกงาน ลดชั่วโมงการทำงาน แรงงานนอกระบบสูญเสียอาชีพ รายได้ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้น การคมนาคม ค่าเลี้ยงเด็กจากศูนย์เลี้ยงเด็กถูกสั่งปิด คนว่างงานเพิ่มและว่างงานยาวนานขึ้น ส่งผลทั้งการขาดรายได้ และความสามารถในการหางานในอนาคต

การดำเนินงานของรัฐมนตรีแรงงาน ขาดมาตรการรองรับสถานการณ์การว่างงาน การจัดการปัญหาการสูญเสียทักษะจากการว่างงาน และการพัฒนาทักษะความสามารถการทำงานในอนาคตที่ต้องปรับเปลี่ยนหลังสถานการณ์โควิด-19 ในขณะที่การเยียวยาไร้มาตรการเชิงรุก เน้นการช่วยเหลือแรงงานเฉพาะกลุ่ม มีการนำเงินกองทุนประกันสังคมกรณีว่างงานซึ่งเป็นสิทธิของผู้ประกันตนมาอ้างเป็นผลงานรัฐมนตรี เช่นเดียวกับโครงการเรารักกันสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นสิทธิที่แรงงานต้องได้รับ การกำหนดเกณฑ์การคัดกรองด้วยเงินฝากในบัญชีธนาคารแต่ไม่มีการพิจารณาหนี้สินและสินทรัพย์ ส่วนการให้แรงงานอิสระลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพื่อเข้ารับการช่วยเหลือเยียวยา แสดงถึงการขาดความเข้าใจเรื่องฐานการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection Floors) ทั้งนี้ การมีแรงงานอิสระสมัครมาตรา 40 กว่า 7 ล้านคน ยังไม่เห็นแนวทางในการรักษาสถานะผู้ประกันตนไว้ รวมทั้งไม่มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่มาตรา 40 ด้วย นอกจากนี้ การบริหารงานของรัฐมนตรียังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการสร้างอาณาจักร มีการตั้งกลุ่มก๊วนแรงงาน และใช้อำนาจจัดการใส่ร้ายป้ายสีแรงงานที่เห็นต่าง

7. งบประมาณ 2565 สวัสดิการที่เหลื่อมล้ำ

การจัดสรรงบประมาณ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 ขาดเป้าหมายในการรองรับสถานการณ์โควิด-19 ไม่ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความยากจนเรื้อรัง ตลอดจนครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง (1) งบประมาณสวัสดิการประชาชน 361,521.16 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.66 ของรายจ่ายงบประมาณ ถูกปรับลดลง 24,728.16 ล้านบาท อาทิ ประกันสังคม 44,091.0760 ล้านบาท ปรับลด 19,519.824 ล้านบาท กองทุนการออมแห่งชาติ 300 ล้านบาท ปรับลด 305.7869 การเคหะแห่งชาติ 731.4436 ล้านบาท ปรับลด 829.8282 ล้านบาท กองทุน สปสช. 140,550 ล้านบาท ปรับลด 1,814.61 ล้านบาท (2) งบประมาณสวัสดิการข้าราชการ 473,447.32 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.27 ของรายจ่ายงบประมาณ เพิ่มขึ้น 8,156.71 ล้านบาท หากรวมเงินเดือนข้าราชการ 770,160 ล้านบาท จะเท่ากับร้อยละ 40.11 การจัดงบสวัสดิการสะท้อนความเหลื่อมล้ำ อาทิ เงินบำนาญข้าราชการ 870,000 คน ได้รับ 310,600 ล้านบาท ขณะที่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 10,330,213 คน ได้รับ 75,321.8 ล้านบาท ในส่วนสวัสดิการการรักษาพยาบาล ข้าราชการได้รับการจัดสรรงบประมาณรายหัวสูงกว่าประชาชนและประกันสังคมเกือบ 4 เท่า (3) งบประมาณกระทรวงกลาโหม 203,282 ล้านบาท เป็นงบบุคลากร 105,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,741 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับงบบุคลากรสาธารณสุข ลดลง 1,549.4 ล้านบาท งบบุคลากรศึกษาธิการ ลดลง 13,557 ล้านบาท แสดงถึงการให้ความสำคัญของกำลังพลกองทัพ มากกว่ากำลังคนในภาคสาธารณสุขและการศึกษา

เมื่อพิจารณาจาก พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 สะท้อนได้ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญในการสร้างรัฐสวัสดิการ เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ในทางกลับกันระบบสวัสดิการสังคมมีลักษณะถดถอย ขาดมิติในการแก้ไขวิกฤติการณ์ปัญหาโควิด-19 การลดความเหลื่อมล้ำและความเปราะบางทางสังคม ไม่ปรากฎนโยบายสวัสดิการสังคมที่พรรคการเมืองได้หาเสียงไว้ อาทิ มารดาประชารัฐ เกิดปั๊บรับแสน การปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการ ในทางกลับกันยังเป็นสร้างความเหลื่อมล้ำจากระบบสวัสดิการแบบอภิสิทธิชนข้าราชการ อันเป็นการตอกย้ำสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ และทำให้การเลื่อนลำดับชั้นทางสังคมไม่เกิดขึ้น เป็นการส่งต่อมรดกความยากจนจากรุ่นสู่รุ่น

วาทะความถดถอยสวัสดิการสังคมประจำปี

"ความเท่าเทียม" คนรวยใช้ถนนเสียตังค์ คนรายได้น้อยใช้ถนนข้างล่าง

“ความเท่าเทียม ทั้งด้านโอกาส คนไทยทุกคนจะต้องมีโอกาส จะใช้รถใช้ถนน ใช้สะพาน ใช้ประโยชน์อะไรก็แล้วแต่จากสาธารณูปโภคพื้นฐาน คนรวยก็ไปเสียเงินเอา คนมีรายได้น้อยก็ใช้เส้นทางข้างล่างเอา จะได้ไม่แออัด เป็นความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสการเดินทาง”


[1] ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของภาคครัวเรือนไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ ครึ่งปี 2564

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net