Skip to main content
sharethis

หลังเกิดเหตุการณ์ที่รัฐบาลคาซัคสถานเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุมประท้วง องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งให้ จนท.ยิงผู้ชุมนุมได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวนี้ขัดต่อหลักการเคารพและการคุ้มครองสิทธิในการมีชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่คาซัคสถานมีพันธะผูกมัดทางกฎหมายนานาชาติ

ผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลคาซัคสถานที่เมือง Aktobe เมื่อ 4 ม.ค. 64
ที่มา: Wikipedia/Esetok

ประชาชนคาซัคสถานชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันเพราะความเดือดร้อนด้านสภาพชีวิตความเป็นอยู่ส่วนหนึ่งจากการขึ้นราคาก๊าซเกือบสองเท่า รัฐบาลคาซัคสถานก็สั่งให้มีการ "ยิงใส่ผู้ชุมนุมได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า" หลังจากที่มีการวางกองกำลังของประเทศคาซัคสถานร่วมกับกองกำลังขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) ซึ่งนำโดยรัสเซีย พวกเขาวางกำลังโดยอ้างว่าเพื่อโต้ตอบความรุนแรงปะทุขึ้นที่เมืองอัลมาเตอ

ฮิวแมนไรท์วอทช์แถลงต่อต้านคำสั่งของรัฐบาลคาซัคสถานในเรื่องนี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าตำรวจและกองกำลังทหารควรจะยึดหน้าที่ปกป้องชีวิตของผู้คนมาก่อนสิ่งอื่นและควรจะใช้กำลังโดยเฉพาะกำลังรุนแรงแบบถึงแก่ชีวิตเป็นทางเลือกสุดท้าย และควรจะมีการสืบสวนกรณีการสังหารอย่างไม่เป็นไปตามกฎหมายด้วยกระบวนการที่เป็นอิสระ, อย่างถี่ถ้วนและโดยทันที

Letta Tayler ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านวิกฤตและความขัดแย้งของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า คาซัคสถานอยู่ในสถานการณ์ที่มีวิกฤตความรุนแรงหนักที่สุดนับตั้งแต่ที่พวกเขาเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต และโลกกำลังจับตาดูในเรื่องนี้ว่ารัฐบาลคาซัคสถานจะเคารพต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนหรือไม่ Tayler เรียกร้องให้กองกำลังที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลคาซัคสถานให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองชีวิตมนุษย์เริ่มต้นด้วยการสั่งยกเลิกคำสั่ง "ยิงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า" โดยทันที

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคาซัคสถานในตอนนี้ทำให้มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,000 รายและผู้เสียชีวิตมากกว่า 160 ราย ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า จากภาพวิดีโอเหตุการณ์แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงคาซัคสถานยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุม นอกจากนี้ยังมีภาพของคนที่อยู่ในชุดของประชาชนทั่วไปถูกยิงที่ศีรษะและดูเหมือนจะเสียชีวิตแล้ว

การประท้วงในคาซัคสถานเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือน 2 ม.ค. ที่เมือง Zhanaozen ซึ่งเป็นเมืองแหล่งน้ำมันทางตะวันตกของคาซัคสถาน ผู้คนประท้วงในเรื่องการขึ้นราคาก๊าซสูงมาก ในวันที่ 4 ม.ค. ก็มีผู้ประท้วงอย่างสันติจากที่อื่นๆ ของประเทศเดินทางไปเข้าร่วมเพื่อต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและทางเศรษฐกิจสังคม ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าทางการคาซัคสถานมีประวัติการกีดกันผู้คนไม่ให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานมานานแล้ว และปฏิเสธไม่ยอมให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่น ไม่ยอมให้มีการยกเลิกข้อห้ามการชุมนุมอย่างสันติและข้อห้ามไม่ให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น รวมถึงมีการแบนพรรคฝ่ายค้าน นอกจากนี้รัฐบาลคาซัคสถานยังดำเนินคดีแบบมีแรงจูงใจทางการเมืองต่อคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

ถึงแม้ว่าประธานาธิบดี Kasym-Jomart Tokaev จะประกาศลาออกเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมาและสั่งให้มีเพดานราคาก๊าซเพื่อตอบสนองต่อผู้ชุมนุม แต่เขาก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการชุมนุมและสั่งปิดกั้นอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตและการปิดกั้นช่องทางสื่อสารอื่นๆ นับเป็นสิ่งที่คณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเคยประณามไว้ตั้งแต่ปี 2559 และควรจะให้มีการยกเลิกการปิดกั้นโดยทันที ฮิวแมนไรท์วอทช์ยังระบุด้วยการปิดกั้นเช่นนี้นอกจากจะเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมแล้ว ยังจำกัดทำให้คนเข้าถึงบริการสาธารณสุข, การศึกษา และสวัสดิการสังคมได้ยากขึ้น

ทั้งนี้ในวันที่ 5 ม.ค. ยังเกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจพยายามใช้กำลังสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา, ระเบิดแสง และในบางพื้นที่ก็มีการใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ทำให้ผู้ชุมนุมขว้างปาก้อนหินโต้ตอบกลับความรุนแรงจากฝ่ายรัฐบาลทำให้หลายหน่วยยอมแพ้หรือล่าถอย จนกระทั่งในเวลาถัดมาวันเดียวกันก็มีคนสวมชุดแบบพลเรือนโจมตีตำรวจและยึดอาคารราชการหลายแห่งรวมถึงศาลากลางและสนามบินนานาชาติ รวมถึงมีการเผาสถานที่และรถหลายคัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ระบุตัวตนไล่ปล้นและทำลายข้าวของในหลายส่วนของประเทศมีการตั้งข้อสังเกตว่าคนกลุ่มนี้มีการใช้อาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติยิงขึ้นฟ้า

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6 ม.ค. Tokaev ก็เริ่มเรียกผู้ชุมนุมและผู้ก่อจลาจลว่าได้ "กระทำรุกราน" และเรียกว่าเป็น "แก็งผู้ก่อการร้าย...ที่ได้รับการฝึกฝนในต่างชาติ" หลังจากนั้นก็มีการขอกำลังเสริมจาก CSTO แต่ทว่า Tokaev ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมและไม่ได้เสนอหลักฐานใดๆ ต่อสิ่งที่เขาอ้าง แต่กลุ่มประเทศสมาชิก CSTO ก็เสนอส่งกองทัพพวกเขาเข้าไปช่วยแล้ว

หลังจากนั้นในวันที่ 6 ม.ค. ก็มีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่กองทัพคาซัคสถานยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุมในอัลมาเตอ มีสื่อในประเทศแห่งหนึ่งคือ Orda.kz รายงานว่ามีรถจากกองทัพที่คอยประกาศเตือนว่า "ให้ออกจากพื้นที่ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะยิง" สื่ออื่นๆ อีกหลายแห่งก็รายงานว่าเจ้าหน้าที่ของคาซัคสถานยิงใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ

ต่อมาในวันที่ 7 ม.ค. ทางการคาซัคสถานก็ประกาศว่ามีการจับกุมตัวประชาชนอย่างน้อย 3,811 ราย และให้มีการสอบสวนเบื้องต้นต่อบุคคลเหล่านี้ในข้อหา "ก่อการร้าย" และ "ก่อเหตุหรือเข้าร่วมการจลาจล" ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขาต้องโทษจำคุก 8 ปีไปจนถึงตลอดชีวิตและถูกถอนสถานะพลเมือง อีกทั้งฮิวแมนไรท์วอทช์ยังตั้งข้อสังเกตว่าทางการไม่มีการเปิดเผยว่านำตัวผู้คนเหล่านี้ไปคุมขังที่ไหน มีสภาพเป็นอย่างไร และสามารถเข้าถึงทนายความได้หรือไม่ ผู้คนที่ถูกจับกุมเหล่านี้ควรจะสามารถเลือกเข้าถึงทนายความสำหรับพวกเขาเองได้

ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุอีกว่าหลายปีที่ผ่านมาทางการคาซัคสถานมักจะใช้กฎหมายแบบอ้างว่าต่อต้าน "การก่อการร้าย" และ "แนวคิดหัวรุนแรง" เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ ในปี 2562 หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการก่อการร้ายของสหประชาชาติเคยระบุว่า "น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง" สำหรับการที่คาซัคสถานอ้างใช้มาตรการเหล่านี้ในการเล่นงานผู้วิจารณ์รัฐบาลและชนกลุ่มน้อยทางศาสนา รวมถึงใช้เล่นงานภาคประชาสังคม

ในวันที่ 6 ม.ค. ทีคำแถลงจาก Stanislav Zas เลขาธิการของ CSTO ที่อ้างว่ากองกำลังต่างชาติที่เข้าไปช่วยรัฐบาลคาซัคสถาน "มีสิทธิในการใช้อาวุธในสถานการณ์ที่ถูกโจมตีจากแก็งติดอาวุธ" โดยที่กฎหมายนานาชาติระบุอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงควรจะใช้กำลังตามสัดส่วนอย่างเหมาะสมในการป้องกันตัวเองหรือป้องกันคนอื่นจากอันตรายและให้ใช้กำลังในระดับถึงแก่ชีวิตได้เฉพาะเมื่อไม่สามารถใช้วิธีอื่นได้เท่านั้น

จากรายงานเรื่องการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของผู้คนจำนวนมากในคาซัคสถานและการที่รัฐบาลอ้างว่าผู้ชุมนุมเป็น "ผู้ก่อการร้าย" ทำให้ฮิวแมนไรท์วอทช์กังวลว่ากองกำลังรัฐบาลอาจจะใช้กำลังเกินกว่าเหตุและมีการใช้กำลังต่อประชาชนที่ไม่มีอาวุธ

นอกจากนี้การที่รัสเซียประกาศว่ากองกำลังของพวกเขาในคาซัคสถานจะนำโดย พลเอกอาวุโส Andrey Serdyukov ก็ทำให้ฮิวแมนไรท์วอทช์กังวลเพราะ Serdyukov เคยเป็นผู้บัญชาการในสงครามซีเรียช่วงปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กองกำลังซีเรียร่วมกับกองกำลังรัฐบาลรัสเซียบุกโจมตีสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเขตปกครองอิดลิบและพื้นที่โดยรอบทำให้ผู้คนเกือบ 5 แสนคนต้องพลัดถิ่น

ฮิวแมนไรท์วอทช์เรียกร้องให้รัฐบาลคาซัคสถานและ CSTO ปฏิบัติการโดยทำตามบรรทัดฐานทางกฎหมายนานาชาติอย่างเคร่งครัดและให้คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ทำให้กองทัพเหล่านี้รับผิดชอบถ้าหากมีการกระทำผิด รวมถึงให้มีการยกเลิกคำสั่ง "ยิงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า" และทำให้ชัดเจนในเรื่องกฎการปะทะกับอำนาจการคุมขังของกองกำลังในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้คาซัคสถานยังควรปล่อยผู้ประท้วงและคนอื่นๆ ที่ถูกจับกุมโดยพลการเป็นอิสระ เว้นแต่ผู้ที่ถูกจับกุมจากการใช้กำลังปะทะโดยตรงเท่านั้น รวมถึงให้มีการยกเลิกข้อหา "ก่อการร้าย" ที่ถูกกล่าวอ้างใช้เอาผิดต่อพวกเขาโดยพลการ

นอกจากนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนยังเสนอให้ใช้วิธีการลดระดับสถานการณ์อย่างเป็นไปตามความเหมาะสม ถ้าหากจำเป็นต้องใช้กำลังให้ใช้กำลังอาวุธแบบไม่ถึงแก่ชีวิตเช่นระเบิดแสง หลีกเลี่ยงการใช้อาวุธเหล่านี้ในที่ที่มีคนชุกชุม ไม่ควรใช้แก๊สน้ำตาในที่ปิดอับ และไม่ควรใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงในช่วงที่เป็นฤดูหนาว

อีกทั้งฮิวแมนไรท์วอทช์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลควรอนุญาตให้การชุมนุมที่ไม่ใช้ความรุนแรงจัดชุมนุมได้ต่อไป เพราะสิทธิในการชุมนุมไม่ควรถูกลิดรอนเพียงเพราะมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ก่อเหตุแยกออกไปอย่างหากหรือก่อเหตุในเชิงยุยง ในเชิงต่อต้านกลุ่มผู้ประท้วง การชุมนุมเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนหลากหลายรูปแบบ ประชาชนไม่ควรจะถูกลิดรอนสิทธิในฐานะปัจเจกบุคคลเพียงเพราะมีบางคนใช้ความรุนแรง อีกทั้งเนื่องจากความเสี่ยงเรื่อง COVID-19 จึงไม่ควรคุมขังผู้คนเว้นแต่ในข้อหาประทุษร้ายในระดับอุกฉกรรจ์หรือมีความเสี่ยงที่จะก่อเหตุประทุษร้ายเท่านั้น

เรียบเรียงจาก

Kazakhstan: Cancel ‘Shoot Without Warning’ Order, Human Rights Watch, 07-01-2022

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net