Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

คนที่ควรออกมาเป็นแนวหน้าคัดค้าน 'ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ....' มากที่สุด ก็คือ เอ็นจีโอ ประชาสังคม นักกฎหมายและนักวิชาการที่สนับสนุนรัฐประหารนั่นแหละ

ใครบ้างที่ตะโกนไชโยลั่นในวันที่ทหารยึดอำนาจทักษิณเมื่อ 19 กันยายน 2549 และยึดอำนาจยิ่งลักษณ์เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557, ใครบ้างที่สะใจกระหายเลือดที่พี่น้องเสื้อแดงถูกล้อมปราบฆาตกรรมกลางถนนในกรุงเทพเมื่อปี 2553, ใครบ้างที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศและคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ (รวมทั้งพวกที่อยู่เบื้องหลัง วิ่งเต้นประสานงานและเชียร์ด้วย) เพื่อค้ำจุนให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯต่อไปหลังการล้อมปราบฆาตกรรมเสื้อแดงกลางถนนในกรุงเทพเมื่อปี 2553, ฯลฯ คนเหล่านั้นนั่นแหละที่ควรออกมาเป็นแนวหน้าคัดค้าน

ส่วนใคร (รวมทั้งตัวเองด้วย) ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว หรือไม่ใช่ตามที่กล่าวหา ก็ขออภัย

เพราะคนเหล่านี้เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ทั้งหน้าเดิมที่อยู่มาตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 2549 และหน้าใหม่ ๆ ที่เข้ามาในแวดวงหลังรัฐประหาร 2549 มีทั้งวัยอาวุโส วัยกลางคนและวัยหนุ่มสาว ที่มีกระแสธารความคิดเป็น 'ปฏิปักษ์ประชาธิปไตย' อย่างต่อเนื่องมาจนถึงการผลักดัน 'ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายกว่าหมื่นรายชื่อ (เป็นการเสนอร่างกฎหมายเพื่อพัฒนาประชาสังคมให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการเสนอให้รัฐตั้งกองทุนการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาสังคม ภายใต้บรรยากาศการกดปราบสิทธิและเสรีภาพการชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาสังคมที่ออกมาเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง แต่กลุ่มคนผู้เสนอร่างกฎหมายกลับละเลยไม่สนใจใยดีต่อสภาวการณ์ความรุนแรงที่ประชาสังคมกำลังถูกกระทำเลย) จนกลายมาเป็น 'ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ....' ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งกลับมาให้ ครม. เผด็จการทหารประยุทธ์เห็นชอบเมื่อ 4 มกราคมที่ผ่านมา

ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่เอ็นจีโอ ประชาสังคม นักกฎหมายและนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่ชอบยืนเหยียบอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนมีส่วนทำให้เกิดขึ้น เป็นร่างกฎหมายที่เกิดจากพัฒนาการทางความคิดมายาวนาน อย่างน้อยก็นับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ว่าอยากทำให้ประชาสังคมซึ่งมีความอิสระปลอดจากการครอบงำของรัฐเข้ามาสังกัดรัฐ เป็นลูกที่แสนดีของรัฐ

ผลเสียหายที่เกิดขึ้น คือ ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายควบคุมเอ็นจีโอ แต่มันได้ขยายอาณาเขตเป็นกฎหมายควบคุมประชาชนทั้งหมดที่ประสงค์รวมกันเป็นกลุ่ม องค์กร ชมรม สมาคม สโมสร เครือข่าย สภา สมัชชา สมาพันธ์ ฯลฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมเพื่อสงเคราะห์ ช่วยเหลือ บำเพ็ญประโยชน์ ประโยชน์สาธารณะ สร้างพลเมืองตื่นรู้และพักผ่อนหย่อนใจทั้งหลายแหล่ ไม่เว้นแม้กระทั่งปอเต็กตึ๊ง ร่วมกตัญญู ชมรมไพ่นกกระจอก เปตอง สนุกเกอร์ ฯลฯ

ที่ออกมาเรียกร้องเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักกฎหมายและนักวิชาการส่วนอื่นที่ไม่สนับสนุนรัฐประหารไม่ต้องออกมา ก็ขอชักชวนกันตรงนี้ให้ร่วมกันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่ที่ต้องเรียกร้องเป็นพิเศษกับกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักกฎหมายและนักวิชาการที่สนับสนุนรัฐประหารก็เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ยังสำนึกและละอายไม่มากพอต่อการกระทำผิดพลาดที่มีส่วนร่วมก่อขึ้น และยังกระทำความผิดพลาดต่อเนื่อง ยังเห็นผิดเป็นชอบ เมินเฉยต่อความเห็นอกเห็นใจและคำขอโทษ

ขอเรียกร้องเอาไว้ตรงนี้ว่า สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกในการต่อต้านกฎหมายฉบับนี้คือการชักชวนกันลงถนน ไม่ใช่เตรียมล็อบบี้ปะแป้งแต่งตัวเพื่อเข้าไปเป็น (1) กรรมการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ตามที่ ครม. มอบหมายกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รับไปดำเนินการ และ (2) กรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ในสภาผู้แทนราษฎร

และหากมีข้อ (3) จะถือเป็นความเลวทรามที่เกินเยียวยา คือ การเข้าไปเป็น 'กรรมการผู้แทนองค์กรไม่แสวงหากำไร' และ 'กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ' ใน 'คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรไม่แสวงหากำไร' ตามมาตรา 6 (3) และ (4) ของร่างกฎหมายฉบับนี้

ข้อ (1) และ (2) พอยอมได้ แต่ต้องเป็นกระบวนการหลังการประท้วงบนท้องถนนอย่างจริงจัง ให้เห็นผลแตกหักชัดเจนไปทางใดทางหนึ่งเสียก่อน ไม่ใช่การชุมนุมแบบปาหี่ และต้องได้รับฉันทามติจากขบวนประชาชนที่ชักชวนกันมาร่วมต่อสู้ ไม่ใช่ดำเนินการลับ ๆ ล่อ ๆ กันเองกับพวกไม่กี่คน 

ส่วนข้อ (3) ยอมไม่ได้ นั่นเท่ากับหลอกลวงผู้คนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ หรือเป็นบันไดเหยียบหัวขึ้นไป โดยโน้มน้าวผู้คนว่าร่างกฎหมายนี้ไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ต้องล้มมัน แต่กลับไปอยู่ในโครงสร้างความไม่ชอบธรรมนั้นอย่างหน้าด้าน

ในเมื่อสังคมเป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ต้องทำให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่ดีขึ้น สิ่งที่ควรทำอยู่เสมอในแวดวงของพวกเราภาคประชาชน คือ การวิพากษ์วิจารณ์ และสังคายนา ไม่ใช่สยบยอมอยู่กับระบบอาวุโส เพื่อนพี่น้อง พรรคพวก เสียจนทำให้แวดวงของพวกเราภาคประชาชนขาดความคิดสร้างสรรค์ ไร้กระบวนทัศน์ใหม่ ๆ กินบุญเก่า กลายเป็นพวกล้าหลังคลั่งชาติไปโดยปริยาย

การเคลื่อนไหวคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้จะเผยให้เห็นว่าเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักกฎหมายและนักวิชาการใดที่ยังสนับสนุนรัฐประหาร สยบยอมต่อเผด็จการอำนาจนิยม ผลักให้ประชาชนลุกขึ้นสู้อยู่ข้างหน้าแต่ตัวเองอยู่ข้างหลังในพื้นที่ปลอดภัย และเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักกฎหมายและนักวิชาการใด, ไม่

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net