เหตุใด 'กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์' ถึงค้านมาตรการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

  • ให้เหตุผล ย้ำเด็กไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เด็กมีภูมิต้านทานธรรมชาติดีอยู่แล้ว
  • สะท้อนปัญหาต่อผู้ทำงานด้านการศึกษาและสิทธิเด็ก ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ให้ทบทวนมาตราการ  
  • เปิดกิจกรรม “ปั่นเพื่อเด็กไทย ให้ปลอดภัยจากวัคซีนทดลอง” จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ ยื่นหนังสือ ศธ.ให้ยกเลิกฉีดวัคซีนเด็ก 11-15 ปี 
  • เสนอ สมุนไพร แพทย์ทางเลือก คือทางออกของปัญหาโควิด

หลังจากที่มีข่าวว่ารัฐบาล ศบค.และกระทรวงศึกษาธิการจะมีมาตรการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี ทำให้มี "กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์" ออกมารณรงค์คัดค้านไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้ เพราะยังไม่มีความเชื่อมั่นประสิทธิภาพวัคซีน และยังไม่มีงานวิจัยยืนยันผลวิจัยความปลอดภัยของวัคซีนระยะยาว ย้ำเด็กไทยไม่ใช่หนูทดลอง ทั้งอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล นอกจากนี้ยังเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ยกเลิกบังคับต่างๆละเมิดสิทธิ์ของประชาชนเงื่อนไขรับวัคซีน และเร่งให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาตินอกเหนือจากการรับวัคซีนด้วย

13 ธันวาคม 2564 กลุ่มเชียงใหม่พิทักษ์สิทธิ์ นัดรวมตัวกันที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 100 คน ก่อนจะเคลื่อนตัวไปที่หน้าศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อยื่นหนังสือคำร้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวนั้น ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม 2565 ได้มีการรวมตัวกันอีกครั้ง บริเวณลานครูบาศรีวิชัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อจัดกิจกรรมที่รณรงค์ให้ความรู้ และคัดค้าน เกี่ยวกับมาตรการที่บังคับฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และกำลังจะมีมาตรการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี

16 ม.ค.2565 ที่บริเวณประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเชียงใหม่พิทักษ์สิทธิ์ ได้ขยายแนวร่วมไปทั่วประเทศ โดยมีประชาชนทั่วประเทศได้ขยับรวมตัวเรียกร้องสิทธิกันมากขึ้น จึงได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น "กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์" สาขาภาคเหนือ จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้กับสังคมในเรื่องการรักษาสิทธิส่วนบุคคล เกี่ยวกับมาตรการบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งทางตรง และทางอ้อมให้กับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กนักเรียนที่บางโรงเรียนมีมาตรการห้ามเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไปเรียนหนังสือ

กิจกรรมดังกล่าว ณฐพบธรรม พบธรรมเจริญใจ เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ ได้มีการอ่านแถลงการณ์ระบุว่า ทางกลุ่มต้องการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ต้องยืนอยู่บนหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ และเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยมีข้อเท็จจริงที่สนับสนุน คือ มนุษย์มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติชนิดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดที่ป้องกันการติดเชื้อได้ จะเห็นว่าผู้ที่สัมผัสผู้ติดเชื้อไม่ได้ติดเชื้อ  ทุกคนภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายหลังจากการติดเชื้อเป็นภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันการติดเชื้อข้ามสายพันธุ์ได้ และยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ส่วนการฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ หรือหยุดการแพร่เชื้อ เพราะการฉีดวัคซีนป้องกันเฉพาะผู้ที่ฉีดเท่านั้น และที่สำคัญตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอว่า วัคซีนมีผลเสียในระยะยาวหรือไม่

ดังนั้น การปฏิเสธการฉีดวัคซีนของบุคคลเป็นเหตุผลทางสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญการรณรงค์ให้รับวัคซีนโดยระบุว่า ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเป็นผู้แพร่เชื้อ ก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพราะมีผู้ที่ได้รับวัคซีนจำนวนมากที่ติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการสร้างความเกลียดชัง และสร้างความแตกแยกในสังคม จึงขอเรียกร้องให้ยกเลิกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน และขอให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวด้วย

ณฐพบธรรม พบธรรมเจริญใจ เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ

นอกจากนี้ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบว่ากลุ่มเด็กอายุตั้งแต่ 5-11 ขวบ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 เพียง 0.001 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น จึงไม่สมควรที่จะไปบังคับให้เด็กกลุ่มนี้ฉีดวัคซีน เนื่องจากยังไม่มีผลวิจัยว่าปลอดภัยหรือไม่ ส่วนบุคคลทั่วไปอาจมีโรคประจำตัว ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ มีการห้ามคนกลุ่มนี้ไปสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิอย่างชัดเจน ขณะที่ ผู้ปกครองบางคนยังไม่มีความเชื่อมั่นที่จะพาลูกไปฉีดวัคซีน เพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนก็มีผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง บางรายถึงขั้นเสียชีวิต ขณะที่โรงเรียนหลายแห่งมีการบังคับให้เด็กฉีดวัคซีน และยังไม่มีอะไรยืนยันว่า เด็กกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจะติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่

ย้ำเด็กไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เด็กมีภูมิต้านทานธรรมชาติดีอยู่แล้ว

ทพ.วัลลภ ธีรเวชกุล หนึ่งในผู้เข้าร่วมกลุ่ม "กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์" สาขาภาคเหนือ บอกว่า เราต้องการที่จะให้ประชาชนทั่วไปได้ตื่นตัวกันว่า ตอนนี้รัฐบาลกำลังจะมีนโยบายให้ฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ทั้งๆที่ เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด ถึงขั้นเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยหนักจากโควิดเลย เพราะถ้าเราเปิดใจกว้างและรับรู้ข้อมูลความจริง เราก็จะรู้เลยว่า ไม่มีเด็กในกลุ่มนี้ หรือนับตั้งแต่เด็กตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัยลงมา ที่จะเสียชีวิตหรือป่วยหนักจากโควิดเลย 

“ยกตัวอย่าง เด็กนักศึกษา มช.ที่มีข่าวคลัสเตอร์การแพร่ระบาดมีการติดเชื้อโควิดที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เห็นมีข่าวข้อมูลว่ามีนักศึกษา มช.ป่วยหนัก หรือเสียชีวิตด้วยโรคโควิดกันซักคนเดียว เพราะว่าเชื้อไวรัสโควิด มันทำอันตรายต่อปอดในเด็กไม่ได้ เพราะว่าเชื้อโควิด มันก็คือเชื้อไข้หวัดชนิดหนึ่งมันเกิดจากสไปรท์​โปรตีนที่ไปจับเกาะเนื้อเยื่อปอด ซึ่งจะต้องมีตัวรับ คือ เซลล์ตัวหนึ่งของเนื้อเยื่อปอดซึ่งมันยังเติบโตไม่ได้เต็มที่ในร่างกายของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 24-25 ปี เพราะฉะนั้น มันจึงไม่เกิดกับเด็กกลุ่มนี้เลย เราไม่ว่าถ้ารัฐจะมีนโยบายให้มีการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้ใหญ่อะไร คุณก็ทำไป แต่รัฐไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปมีนโยบายฉีดให้กลุ่มเด็กเหล่านี้ เพราะเด็กไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงใดๆ เลย ซึ่งตรงนี้ เราไม่เข้าใจว่าพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่หรือ แล้วตัววัคซีนที่ว่านี้มันปลอดภัยจริงหรือ มันจะไม่ไปทำอันตรายต่อเด็กๆ หรือ  ซึ่งถ้าเราไม่ปิดหูปิดตา แล้วเปิดใจกว้างๆ เราก็จะรู้ว่า มีคนเสียชีวิต เจ็บป่วย ทุพพลภาพจากวัคซีนกันมากมาย ในรอบที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ของไทย ที่ไปเลียนแบบอเมริกาหรือยุโรปที่ให้มีการฉีดไฟเซอร์ให้กับเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี จนทำให้เด็กๆ น้องๆ เยาวชนคนไทยเราเสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนจำนวนหนึ่งเลย แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวออกมากัน รวมไปถึงเด็กที่เจ็บป่วยอีกจำนวนมาก เหล่านี้พวกคุณยังไม่พอใจอีกหรือ แล้วจะมีนโยบายให้มีการฉีดในเด็ก 5-11 ปี อีก นั่นทำให้พวกเราต้องออกมาเรียกร้องกันในครั้งนี้”

ทพ.วัลลภ ธีรเวชกุล

 

ทพ.วัลลภ ยังกล่าวอีกว่า จริงๆ แล้ว เราต้องการปกป้องสิทธิของพวกเราทุกคน แต่ตอนนี้ เราต้องเน้นไปปกป้องเด็กๆ ที่กำลังถูกกระทำกันก่อน โดยอยากเน้นไปยังพี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่ได้ออกมาเรียกร้องรวมตัวกันเป็นจุดเริ่มแล้วกระจายไปทั่วประเทศ ทั่วโลก ว่าการทำแบบนี้ เรากำลังถูกหลอก เรากำลังถูกให้ทำอะไรบางอย่างหรือไม่ ในเมื่อวัคซีนมีพิษ วัคซีนกันโควิดไม่ได้ และเด็กไม่ได้ป่วยด้วยโควิดจนถึงขึ้นป่วยหนักหรือล้มตาย แล้วจะไปฉีดเด็กทำไม ฉีดเพื่อผลประโยชน์อะไร ซึ่งถ้าเราไม่ออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวแบบนี้ ตนเชื่อว่าในปี 2565 นี้จะมีเด็กๆ ล้มป่วย ล้มตายจากการฉีดวัคซีนนี้จำนวนหนึ่งอย่างแน่นอน และจะสูญเสียสุขภาพจิตในโรงเรียนในกลุ่มเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เพราะว่าจะโดนครู เพื่อนๆ และผู้ปกครองคนอื่นที่ไม่เข้าใจ จะทำการบูลลี่หรือใช้คำพูดเหยียดหยามว่าคนไม่ฉีดนั้นเป็นไอ้ตัวเชื้อโรค ไอ้โควิด ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป็น แต่อย่าลืมว่าเด็กในชั้นประถม เขาจะอ่อนไหวต่อคำพูดของครูหรือคำล้อของเพื่อนมาก สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาสืบเนื่องไปในโรงเรียน และเด็กจะไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งตนคิดว่ามันไม่แฟร์นะ ที่จะมาทำเรื่องแบบนี้ มันละเมิดสิทธิด้วย

“มันละเมิดสิทธิทุกคน ที่ผ่านมาเราโดนสื่อหลอก รวมไปถึงกลุ่มแพทย์ ผู้มีชื่อเสียงในสังคม ที่มีอิทธิพลทางสื่อออนไลน์ พยายามช่วยกันนำเสนอให้มีการสนับสนุนวัคซีน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ข้อมูลอะไรลึกซึ้ง รวมทั้งที่ผ่านมา เราถูกปิดกั้นจากสื่อกระแสหลักทั่วประเทศและทั่วโลก ที่พยายามลบข้อมูลความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง ที่หลายคนพยายามนำเสนอให้สังคมรับรู้ ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว ซึ่งถือว่าเราถูกละเมิดสิทธิกันทุกคน และคนส่วนใหญ่ก็ยินยอมให้พวกเขาละเมิดสิทธิโดยสมัครใจกันด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่เราน่าเป็นห่วง ซึ่งหลายคนยังไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้ว เรามีสิทธิที่จะปฏิเสธ และที่ตนรู้สึกไม่ชอบมากๆ ก็คือ บางโรงพยาบาลที่ปฏิเสธที่จะรับรักษาผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ทั้งๆ ที่ในรัฐธรรมนูญก็มีประกาศออกมาชัดเจนว่า ทางโรงพยาบาลนั้นไม่มีสิทธิที่จะละเมิดไม่ยอมรักษาพยาบาลผู้คนได้ แม้แต่การตรวจ ATK โดยที่คนไข้ต้องจ่ายค่าตรวจ 300 บาทเองนั้น ยกตัวอย่าง กรณีของโรงพยาบาลขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านเป็นชนเผ่า เขาจะเอาเงิน 300 บาทจากที่ไหน ซึ่งตนเห็นว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิ บีบคั้นประชาชน แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร”

ทั้งนี้ ทพ.วัลลภ ได้กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณหลายๆ ท่านที่ช่วยกันออกมาเรียกร้องให้คนได้รับรู้ข้อมูลความจริงให้ปรากฎให้ประชาชนได้ตื่นรู้กัน  และอยากให้ทุกคนเปิดใจ และพิจารณากันให้ถ้วนถี่ว่าวัคซีนมันป้องกันโควิดได้จริงหรือ  วัคซีนมันปลอดภัยจริงหรือ วัคซีนมันช่วยลดการป่วยหนักการเสียชีวิตได้จริงหรือ อยากให้ทุกคนได้รับฟังข้อมูลให้ครบด้าน อย่าเชื่อหรือฟังข้อมูลเพียงด้านเดียว ที่พวกเราออกมานี้ก็เพื่อต้องการปกป้องชีวิตให้กับลูกหลานชาวไทยของเราทุกคนได้อยู่รอดปลอดภัย เพราะที่ผ่านมา เรามองเห็นพี่น้องคนไทยล้มป่วยล้มตายกันมาเยอะแล้ว เราทนเห็นเด็กๆ มัธยมที่ตายไปเพราะวัคซีนไฟเซอร์กันมาเยอะแล้ว ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับทุกคนอีกต่อไป

เช่นเดียวกับ ณีราภรณ์ คำใจ ชาวบ้านจากตำบลม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางไกลร้อยกว่ากิโลเมตร มาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ บอกเล่าให้ฟังว่า ตนเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเป็น อสม.มาได้ 20 ปีแล้ว  เลือกตัดสินใจมาร่วมด้วยตนเอง เพราะชีวิตเป็นของเรา  และครอบครัวก็เข้าใจดีว่า วัคซีนนี้คือวัคซีนทดลอง

ณีราภรณ์ คำใจ

“ขนาดคุณพ่อคุณแม่ ถึงแม้จะไม่รู้หนังสือ แต่ว่าท่านดูข่าวข้อมูลจากหลายๆ สื่อ แล้วก็มาบอกเราว่า พ่อว่าวัคซีนนี้มันเหมือนยาสั่งในสมัยโบราณเลยนะ เหมือนเมื่อก่อนจะมีไสยศาสตร์ ที่สามารถทำให้คนป่วยเป็นโน่นนั่นนี่ พอเป็นปุ๊บ ก็ต้องมาพึ่งหมอให้มาเยียวยารักษา ซึ่งมันเหมือนกับคนที่ไปฉีดวัคซีนตอนนี้เลย หลังจากเป็นโควิดแล้ว ก็ต้องรับวัคซีนนะ พอรับวัคซีนแล้วก็เริ่มป่วยมีอาการต่างๆ นานา เกิดผลกระทบ อย่างเช่น เส้นเลือดอุดตัน หัวใจ โรคแทรกซ้อนอื่นๆ  หลังจากนั้น จะมีหมอ มีบริษัทยาหายามาให้เราอีกทีหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อ ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก แต่ว่าท่านยังคิดได้ขนาดนี้ ในส่วนตัวเรารู้ข้อมูลต่างๆ จากสื่อที่พยายามบอกข้อมูลความจริงอีกด้านหนึ่งว่า กรณีคนที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว เลือดจะหนืด และอาจนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดอุดตันได้ ก็จะรู้เลยว่าต้องทานแอสไพริน เพื่อช่วยให้สลายลิ่มเลือดหนืดนั้นได้ พอเรารู้อย่างนี้ แล้วเราจะไปฉีดทำไม เพราะว่าฉีดไปแล้วก็ป้องกันไม่ได้ ก็ยังติดได้อยู่ดี”

ณีราภรณ์ บอกอีกว่า เพราะฉะนั้น เราต้องรู้เท่าทัน และจะต้องอยู่กับมันให้ได้ เมื่อก่อนนั้น เรารู้สึกกลัวโควิดมาก แต่เดี๋ยวนี้เลิกกลัวแล้ว เพราะว่าไปเจอ ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดโควิดในชุมชนอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเรารู้จักวิธีป้องกัน คือใส่แมสก์ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างกัน มันก็ปลอดภัยแล้ว อีกอย่างหนึ่ง เราอยู่ชนบท เรากินปลาเป็นหลัก กินผักให้เป็นยา เรากินผัก ซึ่งล้วนเป็นยาสมุนไพรทั้งนั้น ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราแข็งแรง

“ตอนนี้ อสม.ส่วนใหญ่จะฉีดวัคซีนกันเกือบหมด เหลือแค่ตน กับอีกคนหนึ่ง ที่เลือกที่จะไม่ฉีดเนื่องจากมีโรคประจำตัว ซึ่งก็มีบ้างที่จะถูกโจมตี ที่เราไม่ฉีดวัคซีน บางคนมีการพูดประชดไปต่างๆ นานา ซึ่งเราก็ไม่ได้ว่าอะไร เราอยากมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้  ก็เพราะอยากพิสูจน์ว่าคนไม่ฉีดก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ เราจะต้องทำให้สังคมได้ตื่นรู้ ก็จะพยายาม บอกเล่าผ่านสื่อโซเซียลของตัวเอง และในกลุ่มต่างๆ ว่า ไม่ต้องไปบีบบังคับให้คนไปฉีดวัคซีน เพราะตอนนี้ในสังคมมีทั้งคนที่ฉีดและคนไม่ฉีด ซึ่งสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม และที่สำคัญ เลิกมีอคติ อย่าไปมองคนที่ไม่ฉีดว่าเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจแบบนั้น เพราะว่า คนฉีดและคนไม่ฉีดก็มีสิทธิติดเชื้อไวรัสโควิดเหมือนๆ กัน

เธอได้ย้ำและยืนยันว่า ไม่ได้ต่อต้านวัคซีน แต่อยากจะบอกให้รู้ว่า เหตุผลที่เรายังไม่รับวัคซีน ก็เพราะเรายังไม่มั่นใจวัคซีนในขณะนี้ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นวัคซีนที่อยู่ในขั้นทดลองอยู่ และมันโอกาสส่งผลกระทบต่อร่างกายเรา แล้วเรารู้ เราจะไปฉีดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปร่างกายเราทำไม

“ซึ่งที่ผ่านมา เพื่อนๆ ที่สนิทกัน เขาก็เข้าใจ ไม่ได้รังเกียจอะไรเรา แต่ก็จะมีคนอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจ ที่ยังปิดตา ปิดหู ไม่ได้เรียนรู้ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน หรืออาจโดนโน้มน้าวจากคนอื่นๆ ที่เขาสนับสนุนให้ฉีดวัคซีนฝ่ายเดียว บางคนถึงขั้นบอกว่า เราต้องเชื่อหมอสิ วัคซีนมันดีอย่างนี้ ฉีดแล้วเชื้อไม่ลงปอด ไม่หนัก กันตาย ซึ่งตนมองว่า เขารู้ข้อมูลตื้นๆ เกินไป ไม่รู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งเลย ว่าฉีดแล้วไม่ได้กันติด เชื้อยังลงปอด และตายได้เหมือนกัน ดังนั้น ที่เรามาร่วมกิจกรรมนี้ และนำไปโพสบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ก็อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราจะช่วยสื่อสารให้พี่น้องในชุมชนได้ตื่นรู้ ว่าวัคซีนไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นแล้วว่า คนที่ฉีดวัคซีนเริ่มส่งผลกระทบข้างเคียงมากขึ้นเรื่อยๆ”

สะท้อนปัญหาต่อผู้ทำงานด้านการศึกษาและสิทธิเด็ก ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ให้ทบทวนมาตราการ

เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ เปิดเผยว่า หลังจากที่เราได้มีการรวมกลุ่มกันมาอย่างต่อเนื่อง เรายังพยายามหาช่องทางที่สื่อสารให้ผู้ที่ทำงานด้านการศึกษา ด้านสิทธิเด็ก จนได้มีโอกาสไปนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องเด็กที่โดนจำกัดสิทธิ์ในหลายๆ เรื่อง กับนายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณกอบกาญจน์ ตระกูลวารี จากสหทัยมูลนิธิ ที่ทำงานด้านสิทธิเด็ก และ ส.ส.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสะท้อนปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนในขณะนี้ เพื่อจะนำไปสู่การยื่นหนังสือให้กระทรวงศึกษาธิการหรือสภา ได้พิจารณาและทบทวนคำสั่งดังกล่าวนั้นไว้ก่อน

“ซึ่งการไปนั่งพูดคุยครั้งนี้ ผมได้ถามนายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ในสิ่งที่อยากรู้ ฉีดวัคซีนเด็กไม่ดีอย่างไร อาจารย์หมอบอกว่า เพราะว่ากระบวนการการผลิต สารเคมีนี้เป็นการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้ไขมันหุ้มเชื้อที่จะฉีดเข้าไปในร่างกาย เจ้าไขมันนี้มีชื่อว่า ไรปิดนาโนพาติเคิล งานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น ได้รายงานว่า เมื่อเจ้า ไรปิดนาโนพาติเคิลนี้ชอบไขมัน เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้ว มันจะเดินทางไปสามจุดสำคัญของมนุษย์ นั่นคือสมอง รังไข่ และไขสันหลัง เพราะสามจุดนี้อุดมไปด้วยไขมัน  สมมุติฐานที่ตามมาคือเมื่อไปที่สมอง มันจะทำลายสมอง ซึ่งทางรายงานของญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อทำลายสมองมนุษย์อาจจะมีอาการคล้ายวัวบ้า เมื่อไปที่รังไข่ จะทำให้ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ หรือเมื่อไปที่ไขสันหลัง ก็จะทำให้ภูมิของมนุษย์ตก ซึ่งจะทำให้มีโรคต่างๆ ตามมา นี่เป็นข้อสังเกตของทีมวิจัยประเทศญี่ปุ่นที่บอกว่าผลกระทบเหล่านี้ยังไม่มีใครได้ทำการวิจัยอย่างจริงจัง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่รับ สารเคมีนี้คือ เมื่อเจ้า ไรปิดนาโนพาติเคิล ไปที่ไขสันหลัง จะทำให้โรคเก่าที่รักษาหายไปแล้วกำเริบกลับมาอีก ซึ่งหลายคนคงได้ยินคนรู้จักพูดถึงสิ่งนี้กันมาบ้างแล้ว”

เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ กล่าวอีกว่า เมื่อข้อมูลทางสถิติการติดเชื้อและสร้างอันตรายต่อเยาวชน มีเพียงแค่ 0.01% ทำไมเราจึงต้องให้ลูกหลานเราไปเสี่ยงกับสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์จนถึงที่สุดเล่า เยาวชนคือทรัพยากรมนุษย์ที่หาค่ามิได้ แล้วจะผลักลูกออกจากอก ให้ไปเป็นสัตว์ทดลองกันทำไม

ต่อมา กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์  ยังได้ยื่นหนังสือด่วนถึง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้คณะกรรมการสิทธิฯ ได้พิจารณาทบทวน มาตรการต่างๆ.ที่ทางรัฐออกมาเกี่ยวกับการควบคุมโรคระบาดนี้ ว่ามีมาตรการไหนที่ไปเบียดบังสิทธิ์ประชาชนชาวไทยที่ไม่ฉีดวัคซีนบ้าง รวมถึงมาตรการให้เด็กอายุ 5-11 ปีรับวัคซีน ซึ่งมีรายงานว่า ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้นำหนังสือที่ทางกลุ่มยื่น เข้าพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน และมติที่ประชุมรับเรื่องเพื่อจะทบทวนว่ามาตรการไหน กระทบสิทธิคนไม่รับวัคซีนอย่างไรบ้าง โดยจะแถลงข่าวในเร็วๆ นี้

จัดกิจกรรม“ปั่นเพื่อเด็กไทย ให้ปลอดภัยจากวัคซีนทดลอง” จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ ยื่นหนังสือ ศธ.ให้ยกเลิกฉีดวัคซีนเด็ก 11-15 ปี

24 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่พระราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ นำโดย ณฐพบธรรม พบธรรมเจริญใจ เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ พร้อมด้วยนักวิชาการอิสระ และชมรมจักรยานต่างๆ รวมกว่า 30 คน จัดกิจกรรม “ปั่นรณรงค์เพื่อเด็กไทยปลอดภัยจากวัคซีนทดลอง” โดยออกขี่จักรยานจากจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดลำพูน, ลำปาง, ตาก, สุโขทัย, พิษณุโลก, พิจิตร, นครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, อยุธยา, ปทุมธานี, นนทบุรี โดยจะไปสิ้นสุดที่กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพฯ ระยะทางรวมประมาณ 900 กิโลเมตร เพื่อยื่นหนังสือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ทบทวนมาตรการการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กนักเรียนอายุ 5-11 ขวบ

เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้เพื่อรณรงค์แสดงจุดยืนปกป้องเด็กไม่ให้เป็นหนูทดลองวัคซีน โดยให้ภาครัฐคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลเกี่ยวกับมาตรการบังคับฉีดวัคซีนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้ภาครัฐทบทวนยกเลิกมาตรการบังคับฉีดวัคซีนทดลองในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-11 ขวบ รวมทั้งยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ออกมาในลักษณะกีดกันหรือละเมิดสิทธิของเด็ก ซึ่งเห็นได้จากมาตรการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 12-18 ปี ที่แม้จะเป็นการฉีดโดยสมัครใจของผู้ปกครอง แต่พบว่าสถานศึกษาหลายแห่งกลับมีมาตรการ เช่น ไม่ให้คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเข้าเรียนในชั้นเรียน หรือต้องตรวจ ATK ทุกครั้งโดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับทางอ้อม

“ทำไมผมต้องปั่นจักรยานคัดค้านการฉีดวัคซีนในเด็ก...ก็เพราะว่าดูจากสถิติ เรามีคนตายจากโรคร้ายในการระบาดในช่วงแรกจนถึงทุกวันนี้ประมาณหมื่นคนเศษ คิดเป็นร้อยละ 1 ถึง 2 ของการตายของคนในประเทศ แต่ตอนนี้ หลังจากมีการระดมวัคซีนใส่ในร่างกายคนไทยนับร้อยล้านเข็ม ปรากฎว่า มียอดการตายของคนไทยเพิ่มขึ้นมาเป็น ร้อยละ 12 ตัวเลขนี้มาได้อย่างไร ลองหาคำตอบดูเอาเองครับ ข้อมูลที่นำมาอ้างมาจากสถิติแห่งชาติ เมื่อมีคนในประเทศตายเพิ่มขึ้น จากปีก่อนถึงร้อยละ 12 กับในช่วงเวลาเดียวกันที่มีการฉีดวัคซีนให้คนไทยไปร้อยล้านเข็ม  ผมพิจารณาว่า ในร้อยละ 12 นั้นมันต้องมาจากจากผลกระทบของวัคซีนบ้างละ ดังนั้นเราจะรีบฉีดวัคซีน นำสารเคมีไปใส่ร่างกายเด็กทำไม ดังนั้น กิจกรรมครั้งนี้ ผมมีเวลาเพียงแค่ 7-8 วันที่จะปั่นจักยานสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ตระหนักว่า การรับวัคซีนนั้นมีข้อเสียอย่างไร และถ้าทำให้พ่อแม่ที่สมัครใจให้ลูกรับวัคซีน เปลี่ยนใจได้สักร้อยละ1 จาก 70 ผมก็ปลื้มแล้ว แต่ช่วงเวลา 7-8 วัน ที่ผมปั่นจักรยานและสร้างกระแสได้ มีผู้คนตามจังหวัดที่ผมปั่นผ่าน ออกมาช่วยกันแสดงความไม่ยอมรับกับมาตรการนี้ และผมมั่นใจมากว่า วันจันทร์ที่ 31 มกราคมนี้ จะมีคนไปร่วมยื่นหนังสือกับผมที่กระทรวงศึกษาธิการอย่างมืดฟ้ามัวดินอย่างแน่นอน” เลขาธิการกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ สาขาภาคเหนือ กล่าว

กำหนดการ และเส้นทางกิจกรรมปั่นรณรงค์เพื่อเด็กไทยฯ มีรายละเอียดดังนี้ วันจันทร์ที่ 24 ม.ค. 65 เริ่มต้นปั่นจักรยานจาก จ.เชียงใหม่-จ.ลำพูน-จ.ลำปาง, วันอังคารที่ 25 ม.ค. 65 ปั่นจักรยานจาก จ.ลำปาง-จ.ตาก, วันพุธที่ 26 ม.ค. 65 ปั่นจักรยานจาก จ.ตาก-จ.สุโขทัย-จ.พิษณุโลก, วันพฤหัสบดีที่ 27 ม.ค. 65 ปั่นจักรยานจาก จ.พิษณุโลก-จ.พิจิตร-จ.นครสวรรค์, วันศุกร์ที่ 28 ม.ค. 65 ปั่นจักรยานจาก จ.นครสวรรค์-จ.อุทัย-จ.ชัยนาท, วันเสาร์ที่ 29 ม.ค. 65 ปั่นจักรยานจาก จ.ชัยนาท-จ.สิงห์บุรี-จ.อ่างทอง, วันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 65 ปั่นจักรยานจาก จ.อ่างทอง-จ.พระนครศรีอยุธยา-จ.นนทบุรี และกรุงเทพฯ โดยวันจันทร์ที่ 31 ม.ค. 65 กลุ่มจะยื่นหนังสือขอให้ทบทวนมาตรการฉีดวัคซีนเด็ก อายุ 5-11 ขวบ ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

เสนอ สมุนไพร แพทย์ทางเลือก คือทางออกของปัญหาโควิด

ทพ.วัลลภ ธีรเวชกุล หนึ่งในผู้เข้าร่วมกลุ่ม "กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์" สาขาภาคเหนือ และเป็นสมาชิกของสมาคมโฮมีโอพาธีย์ ประเทศไทย บอกว่า เราป้องกันและรักษาไวรัสโควิดนี้ได้ โดยเสริมภูมิคุ้มกันได้โดยธรรมชาติ โดยใช้ธรรมชาติบำบัด ถ้าเรามีช่องทางที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ก็จะพบว่า หลายๆ ประเทศ เขาจะมีสมุนไพรหลายๆ อย่างที่ช่วยป้องกันรักษาโควิดให้หายได้ ยกตัวอย่าง จีน อินเดีย ญี่ปุ่น มาดากัสการ์ โบลิเวีย แอฟริกา ซึ่งก่อนนั้นโควิดระบาดหนัก แต่ตอนนี้จะเห็นได้ว่าลดลงและเงียบกันไปหมดแล้ว ในขณะที่อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิสราเอล ซึ่งประเทศเหลานี้ล้วนฉีดวัคซีนเข็ม 3-4 กันทั้งนั้น ที่ยังคงมีการระบาดหนักในประเทศกลุ่มนี้อยู่ 

“ยกตัวอย่าง ผมเอง มีลูกสองคน และมีหลานอีกคนหนึ่ง ในครอบครัวของเรา พ่อแม่ลูกหลาน เราไม่รับวัคซีนทั้งหมดเลย และเราก็อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ สมมุตว่า มีคนบอกเราว่า ในป่านั้นมีสัตว์ประหลาดมีพิษน่ากลัว แต่ผมจำเป็นต้องเข้าไปใช้ชีวิตในป่าใหญ่ แต่ผมก็ไม่ได้โง่ ถึงขั้นที่จะเดินในป่าเข้าไปเจอกันสัตว์ประหลาดนั้น แต่ผมนั้นมีภูมิคุ้มกัน มีทางเลือกที่จะดูแลป้องกันตัวเราให้รอดพ้นจากสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ ซึ่งที่ผ่านมา เราก็ยอมรับว่า โควิดนั้นเป็นของจริง คือเป็นเชื้อโรคที่สามารถทำลายปอดคนได้จริง  แต่ว่าจริงๆ แล้วโควิดมันก็คือไข้หวัดธรรมดาเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าถ้าไม่ดูแลรักษา มันก็จะเข้าไปทำลายปอด หรือติดเชื้อในปอดได้ แต่คุณก็สามารถหาวิธีดูแลป้องกันเองได้ โดยหาวิธีที่จะทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เชื้อเข้าไปที่ปอด ซึ่งก็มีหลายวิธี ซึ่งเราสามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้โดยธรรมชาติ โดยใช้ธรรมชาติบำบัด”

ทพ.วัลลภ ได้ยกตัวอย่างการดูแลป้องกันโรคไวรัสโควิด ในครอบครัวของตนเองว่า สำหรับผู้ใหญ่จะทานวิตามินซี ประมาณ 1,000 มิลลิกรัมทุกวัน และสังกะสี รวมไปถึงวิตามินดี ซึ่งเราสามารถรับวิตามินดีได้จากการตากแดดตามธรรมชาติ  แต่สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ได้ออกนอกบ้าน เราก็จะให้ทานวิตามินดีเสริมให้แทน ประมาณ 5,000 Ru ในส่วนของเด็กๆ ก็จะทานบ้างไม่ทานบ้าง เพราะในตัวเด็กนั้นมีภูมิคุ้มกันดีอยู่แล้ว นอกจากนั้น เราสามารถเสริมภูมิคุ้มกันด้วยพืชผักสมุนไพรซึ่งเป็นผักพื้นบ้านทั่วไป อย่าง อาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น พริก ขิง ข่า กะเพรา ตะไคร้ ใบมะกรูด จะเอามาทำอาหาร หรือนำไปต้มสูดดมเอาก็ได้  นอกจากนั้น ยังมีแพทย์ทางเลือก ซึ่งถือว่าเป็นแพทย์ทางเลือกที่ดีมากและเป็นที่ยอมรับกันในทั่วโลก นั่นคือ โฮมีโอพาธีย์ หรือ ปัจจุบัน ทางสมาคมโฮมีโอพาธีย์ ประเทศไทย ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ให้คำแนะนำและแจกตัวยาสมุนไพรชื่อว่า ไบรโอเนีย อัลบา Bryonia alba เพื่อช่วยเพิ่มภูมิให้กับร่างกายโดยใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย และใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน และแผนไทยได้

“ซึ่งไบรโอเนีย อัลบา มีความเข้มข้น มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและรักษาโควิดได้ นอกจากนั้น ก็ยังมีฟ้าทะลายโจร โกฏลำพา ยาห้าราก ตรีผลา และสมุนไพรตัวอื่นอีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นสมุนไพรของไทย แต่ว่าเราถูกแพทย์แผนปัจจุบัน จากส่วนกลางล้างสมองกันไปหมด ว่าสมุนไพรนั้นช่วยไม่ได้ วัคซีนเท่านั้นคือทางรอด ซึ่งถ้าสมุนไพรมันช่วยไม่ได้ แล้วมันจะประชาชนคนไทยสืบเชื้อสายรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรือ ไม่งั้นเราคงตายไปหมดแล้ว ตั้งแต่โรคห่า ซึ่งมันระบาดมาหลายร้อยหลายพันปี มาแล้วหรือ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ มันบ่งบอกว่า ที่ผ่านมา เราละเลยภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย เราละเลยการแพทย์ทางเลือก เราเชื่อในสิ่งที่เขาบอกกันมากเกินไป เพราะฉะนั้น ประชาชนคนไทยท่านใดสนใจสามารถขอไบรโอเนีย นี้ได้ที่สมาคมโฮมีโอพาธีย์ ประเทศไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ที่ลิงค์นี้ https://bit.ly/32zbLrG เขาแจกให้ทุกคนฟรี เพียงแค่คุณนำไปทานวันละฝาสองฝา โควิดก็ไม่สามารถไปทำอะไรร่างกายคุณได้แล้ว แล้วก็ทานสมุนไพรตัวอื่นเสริม เช่น วิตามินซี สังกะสี ทาน ขิง ข่า ตะไคร้ แล้วก็หมั่นออกไปตากแดดรับวิตามินดี แค่นี้ก็สามารถปลอดจากไวรัสได้” ทพ.วัลลภ กล่าวในตอนท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท