เพื่อไทยชี้รัฐบาลไร้เสถียรภาพเข้าขั้นวิกฤตบริหารด้วยเสียงข้างน้อย แนะยุบสภา-ลาออก

'จิราพร' กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ชี้รัฐบาลไร้เสถียรภาพเข้าขั้นวิกฤตบริหารด้วยเสียงข้างน้อยไม่ควรดันทุรังต่อแนะยุบสภา-ลาออกเปิดทางคนพร้อม - 'วิสาร' เชื่อ 'ประยุทธ์' ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อยื้ออำนาจต่อไปเลย อัดรัฐบาลอคติไม่รับฟังคำแนะนำ ไม่คิดแก้ปัญหาให้ประชาชน


นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยและคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน

เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย รายงานเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2565 ว่านางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรล่มซ้ำซากในอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์เสถียรภาพของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้ถือว่าเข้าขั้นวิกฤตและไม่มีสภาพในการบริหารประเทศต่อไปอีกแล้ว

นางสาวจิราพร กล่าวต่อว่า การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอนับองค์ประชุม และไม่แสดงตน ถือเป็นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามกลไกรัฐสภา และยังยืนยันถึงเจตนารมณ์ที่จะไม่ช่วยต่อลมหายใจให้กับรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจที่หมดสภาพในการบริหารประเทศ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ อย่าลืมว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่อำนาจด้วยการทำรัฐประหาร และใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นบันไดเพื่อให้ตนเองสามารถสืบทอดอำนาจต่อ ใช้ ส.ว. 250 คน มาค้ำบัลลังก์ เกิด ส.ส. ปัดเศษมากมายจนสุดท้ายได้ตั้งรัฐบาลแบบเสียงปริ่มน้ำ มีการใช้พลังดึง ส.ส. จากฝ่ายค้านไปร่วมรัฐบาลจนเสียงรัฐบาลและฝ่ายค้านแตกต่างกันมากไม่ปริ่มน้ำเหมือนตอนเริ่มต้น แต่ต่อมาเกิดปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ ส.ส.บางส่วนย้ายออก ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาของพลเอกประยุทธ์และพรรคร่วมรัฐบาลที่สร้างผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยตรง

“ถ้ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ใส่ใจปัญหาและผลประโยชน์ของประชาชนจริง จะไม่มีวันที่สภาล่มซ้ำซาก เพราะรัฐบาลคือเสียงข้างมากในสภาฯ ตอนอยากเป็นรัฐบาลทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถเป็นรัฐบาลลากตั้ง แต่พอบริหารล้มเหลวไม่สามารถทำให้ ส.ส.ฝั่งรัฐบาลมาทำงานได้จนสภาฯ ล่ม กลับมาโทษฝ่ายค้านว่าไม่เป็นองค์ประชุมให้ ถ้าหวังจะบริหารประเทศด้วยเสียงข้างน้อยก็ไม่ควรดันทุรังเป็นรัฐบาลต่อ พลเอกประยุทธ์ต้องรับผิดชอบด้วยการยุบสภาหรือลาออก เพื่อเปิดทางให้คนที่พร้อมบริหารประเทศมาทำหน้าที่แทน” นางสาวจิราพร กล่าว

'วิสาร' เชื่อ 'ประยุทธ์' ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อยื้ออำนาจต่อไปเลย อัดรัฐบาลอคติไม่รับฟังคำแนะนำ ไม่คิดแก้ปัญหาให้ประชาชน

นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การอภิปรายมาตรา 152 ที่จะถึงนี้ พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งข้อมูล ข้อเท็จจริงในหลายเรื่องซึ่งเป็นประโยชน์มากหากรัฐบาลรับฟังและนำไปปรับใช้ ให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อประโยชน์ประชาชน แต่น่าเสียดายที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ให้ความสำคัญและไม่ไส่ใจที่จะรับฟังคำแนะนำของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ครั้งนี้พรรค ร่วมฝ่ายค้านจะอภิปรายไปที่ต้นตอของปัญหาและมุ่งอภิปราย พลเอกประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่จะต้องรับรู้ทุกเรื่อง แม้จะมีรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ แต่คนเป็นหัวหน้ารัฐบาลจะปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เมื่อประเทศมีปัญหายิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้น

นายวิสาร กล่าวด้วยว่า วิกฤตประเทศที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพของพลเอกประยุทธ์ ทุกปัญหาส่งผลกระทบกับ ประชาชนโดยตรง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง น้ำมันแพง หมู แพง แม้แต่ไข่ไก่ยุคนี้ยังราคาสูงถึงฟองล่ะ 4 บาท ประชาชนจะอยู่อย่างไร พลเอกประยุทธ์มีความสุขกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บนความทุกข์ของประชาชนทั้งประเทศ

“ถึงเวลานี้คือการดิ้นเฮือกสุดท้ายของพลเอกประยุทธ์ ที่ผ่านมารัฐบาลบริหารประเทศบนความมีอคติ ไม่ยอมรับฟัง ความคิดเห็นคนอื่น ปัญหาที่ตามมาคือแก้ปัญหาไม่ตรงจุด นอกจากนี้ช่วงสุดท้ายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ คิดที่จะยื้ออำนาจให้นานที่สุด แต่จากวิกฤตที่เกิดขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลใกล้ล่มแล้ว เพราะปัญหารุมเร้าทั้งปัญหาความแตกแยกของพรรคร่วมรัฐบาล ทุกพรรคกำลังคิดถึงการเอาชนะในสนามเลือกตั้งมากกว่าการแก้ปัญหาให้ประชาชน พลเอกประยุทธ์ ยังคงมุ่งเน้นในการบริหารการเมือง ยึดติดอำนาจบนความเดือดของประชาชน หมดเวลาของรัฐบาลแล้ว จะรั้งอำนาจเพื่อสร้างปัญหาต่อไปทำไม ปัญหาของประเทศเวลานี้ ยุบสภา หรือ พลเอกประยุทธ์ลาออก คือ ทางออกจากวิกฤตประเทศ” นายวิสาร กล่าว

ชี้ 'ประยุทธ์' ยิ่งบริหาร คนจนยิ่งเพิ่ม ทั้ง 'แพงทั้งแผ่นดิน' และ 'จนทั้งแผ่นดิน' แนะคิดสร้างงานแทนคิดแจกเงิน

นายคุณากร ปรีชาชนะชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดสุรินทร์ รองเลขาธิการ และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลได้ประกาศจะลงทะเบียนบัตรคนจนเพิ่มเป็น 20 ล้านใบ ทำเหมือนกับภูมิใจที่จะแจกบัตรคนจน 20 ล้านคน ทั้งที่ความจริงการที่มีคนจนเพิ่มเป็น 20 ล้านคนจนต้องแจกบัตรคนจนเพิ่มน่าจะหมายถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ ที่ทำให้คนจนเพิ่มขึ้น ไม่ได้ทำให้คนจนหมดไป เหมือนที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รองนายกฯ ได้เคยประกาศไว้ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

ทั้งนี้ ตลอด 7 ปีที่พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศคนจนได้เพิ่มขึ้นมาตลอด สวนกระแสกับโลกที่คนจนลดลงเรื่อยๆ โดยธนาคารโลกบอกเองว่า 30 ปีก่อนหน้านี้ ประเทศไทยคนจนลดลงตลอด แต่หลังจากพลเอกประยุทธ์ปฏิวัติปรากฏว่าตั้งแต่ ในช่วงระหว่างปี 2558-2561 คนจนในไทยกลับเพิ่มมากขึ้น เพิ่มขึ้น 1.85 ล้านคนและต่อมา ปี 62 คนจนก็เพิ่มขึ้นอีกตามที่สภาพัฒน์รายงานเพราะเศรษฐกิจขยายได้เพียง 2.4% ซึ่งคนจนของไทยเพิ่มตั้งแต่ก่อนมีวิกฤตไวรัสโควิดแล้ว และพอปี 2563 และ 2564 ต้องมาเจอกับวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดซ้ำเติมอีก คนจนจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกมาก และยังไม่มีแนวทางที่พลเอกประยุทธ์จะทำให้คนจนหมดไปตามที่พูดไว้ได้เลย

ทั้งนี้ หากมองรายได้ของคนแต่ละกลุ่มจะพบว่าเกษตรกรไทยรายได้ลดต่ำมาตลอด 7 ปี ราคาข้าวตกต่ำมาตลอดและมาตกต่ำสุดในปี 2564 ที่ราคาข้าวยังถูกกว่าราคามาม่าด้วยซ้ำ และค่าแรงขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงานก็แทบจะไม่ขึ้นเลย แม้พรรคพลังประชารัฐจะหาเสียงไว้ที่วันละ 400-425 บาท ยังไม่สามารถทำได้จริง แถมเมื่อถูกถามพลเอกประยุทธ์กลับตอบว่าจะเอาเงินที่ไหน ทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำนายจ้างเป็นคนจ่ายไม่ใช่รัฐจ่าย อีกทั้งล่าสุดยังได้มีการประกาศรับสมัครครูที่เงินเดือนเพียงเดือนละ 5,000 บาทเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะอยู่ได้ นอกจากนี้ธุรกิจย่ำแย่และปิดตัวกันมาก โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้คนตกงานจำนวนมาก ตอนนี้คนตกงานน่าจะมีถึง 4-5 ล้านคนแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังต้องมาเจอภาวะเงินเฟ้อ ของแพง ที่รัฐบาลคุมไม่ได้ จึงทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งกระฉูดกว่า 14.27 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าพลเอกประยุทธ์ยิ่งบริหาร คนไทยยิ่งจนลง คนจนยิ่งเพิ่มขึ้นจนต้องแจกบัตรคนจนถึง 20 ล้านใบแล้ว ซึ่งนอกจากการบริหารของพลเอกประยุทธ์จะทำให้ข้าวของ “แพงทั้งแผ่นดิน” แล้วยังทำให้ประชาชน “จนทั้งแผ่นดิน” ด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์คิดได้เพียงการแจกเงิน และจะพยายามโปรโมทด้วยความดีใจว่าจะมีโครงการ “คนละครึ่ง” วันโน้นวันนี้ “เที่ยวด้วยกัน” กี่สิทธิ์ “ช้อปดีมีคืน” “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ซึ่งเป็นแค่การหลอกล่อให้คนดีใจชั่วคราวกันเท่านั้น แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาของความยากจนแบบยั่งยืน รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศ เนื่องจากไม่เกิดการจ้างงาน หรือ ไม่ได้สร้างงานเพิ่มขึ้นเลย คนถึงได้ตกงานกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ดังนั้นต้องเลิกแจกเงินและหันมาสร้างงานได้แล้ว ก่อนคนตกงานจะพุ่งมากขึ้นมากกว่านี้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและอาชญากรรมตามมาอีกมาก

ที่มาเรียบเรียงจากเว็บไซต์พรรคเพื่อไทย [1] [2] [3]

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท