Skip to main content
sharethis

ศบค. รายงานสถานการณ์ COVID-19 ในไทยผู้ป่วยใหม่ ยืนยัน RT-PCR 23,834 ราย ติดเชื้อเข้าข่าย/ ATK 31,571 ราย รักษาหาย 19,351 ราย เสียชีวิต 54 ราย เสียชีวิตสูงสุดตั้งแต่ระลอก ม.ค. 2565

4 มี.ค. 2565 ศบค. รายงานสถานการณ์ COVID-19 ในไทยผู้ป่วยใหม่ ยืนยัน RT-PCR 23,834 ราย ติดเชื้อเข้าข่าย/ ATK 31,571 ราย รักษาหาย 19,351 ราย เสียชีวิต 54 ราย เสียชีวิตสูงสุดตั้งแต่ระลอก ม.ค. 2565

ผู้ป่วยโควิด เครียดหนี้สิน กระโดดตึกรพ.สนามดับ ทิ้งลูก 2 รายติดเชื้อไว้ในโรงพยาบาล

มติชนออนไลน์ รายงานเมื่อเวลา 06.03 น. วันที่ 4 มี.ค. 2565 พ.ต.อ.สมเกษม จารักษ์ ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ ได้รับแจ้งจาก ร.ต.ท.ไฉน ขำสกุล สายตรวจหน่วยบริการคุ้งตะเภา ต.คุ้งตะเภา อ.เมืองอุตรดิตถ์ว่า มีผู้ป่วยโควิด-19 กระโดดจากชั้นที่ 3 ของอาคารที่พักผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลสนาม แห่งที่ 2 ซึ่งอยู่ในอาคารคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์ (บึงกะโล่) ต.ป่าเซ่า อ.เมืองอุตรดิตถ์เสียชีวิต จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อม ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ ดวงตาน้อย พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุตรดิตถ์ พบศพ นายศิริศักดิ์ อ่อนละมุล อายุ 50 ปี ชาว อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์

จากการชันสูตรเบื้องต้นพบว่า คอหัก ซี่โครงซ้าย และ ขาด้านซ้ายหัก หลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยทำ CPR ราว 30 นาที แต่ก็ไม่เป็นผล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์เบื้องต้นทราบว่า ก่อนผู้เสียชีวิตจะกระโดดตึกผู้ป่วยโควิด-19 ได้ยินผู้เสียชีวิตบ่นอยากตายมาหลายครั้งแล้ว โดยทางผู้ป่วยโควิด-19 ที่อยู่ในห้องเดียวกันราว 10 คน ก็พยายามเตือนว่า จะทำอะไรให้นึกถึงลูกๆ ขณะที่ทุกคนเผลอ ผู้เสียชีวิตก็เปิดหน้าต่างแล้วกระโดดลงมาทันที โดยที่ทุกคนก็ไม่สามารถห้ามหรือช่วยเหลืออะไรได้

ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ กล่าวว่า นางรุ่งรัตน์ อินชายเขา อายุ 29 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิตให้การว่า สามีได้ติดโควิด-19 และได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมลูกชายและลูกสาวที่ติดโควิด-19 ด้วย ไม่คิดว่าจะกระโดดตึกดังกล่าว สาเหตุหน้าจะเครียดมาจากเรื่องหนี้สิน และติดโควิด-19 ส่วนศพได้ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัย นำร่างของผู้เสียชีวิตไปผ่าพิสูจน์ ที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ แผนกนิติเวช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ต้องดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กำลังเดือดร้อนหนัก เนื่องจากงบประมาณที่จะนำมาใช้เพื่อการดูแลผู้ที่กักตัวอยู่บ้าน ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงซึ่งยังไม่มีการติดเชื้อโควิด-19 ที่มีจำนวนมาก ไม่มีงบประมาณที่จะเข้ามาดูแล อีกทั้งงบประมาณของ อปท.เองก็ไม่สามารถเบิกจ่ายใช้ได้ ผู้บริหารบางรายต้องนำงบประมาณของตัวเองออกมาใช้ ส่วนผู้บริหารที่ไม่มีเงินทุนมากพอ ก็พยายามร้องขอการสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชน ส่งผลทำให้อาหาร น้ำดื่ม ที่จะแจกจ่ายดูแลกลุ่มเสี่ยงที่กักตัวอยู่กับบ้านขาดแคลนอย่างมาก สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาจจะไม่กักตัวอยู่บ้าน และอาจจะออกไปทำมาหากิน ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่มีมากขึ้นได้

สปสช.ปรับระบบ 1330 เพิ่มทางเลือกผู้ติดเชื้อโควิด รอ 6 ชม. รพ.ยังไม่ติดต่อกลับ รักษา เจอ แจก จบ ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ-ใกล้บ้าน 

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณสายที่โทร.เข้ามาที่สายด่วน สปสช. 1330 ยังมีปริมาณมาก ทั้งในระบบสายด่วน และระบบ Non Voice (ไลน์และเฟสบุ๊ก สปสช.) แต่ละวันยังคงอยู่ที่ระดับ 60,000-70,000 สาย ที่ผ่านมา สปสช.ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ และจิตอาสา รวมถึงระดมกำลังบุคลากร สปสช.จากส่วนงานอื่นมาช่วยรับสาย และล่าสุด วานนี้ (3 มี.ค.65) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ได้มอบหมายให้สายด่วนของแต่ละกรมในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาสนับสนุนการทำงานของ สายด่วน 1330 รับเรื่องผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อประสานเข้าสู่ระบบการรักษา ทั้งแบบผู้ป่วยนอก เจอ แจก จบ หรือระบบการรักษาที่บ้าน (Home Isolation) ต่อไป ซึ่งก็ช่วยทำให้ลดจำนวนสายที่ไม่ได้รับการตอบกลับลงได้  

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขปรับแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 รูปแบบใหม่ คือ ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ในส่วนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการรักษาที่บ้านกับสายด่วน 1330 รวมถึงช่องทางไลน์และเว็บไซต์ สปสช. หากยังไม่ได้รับการติดต่อกลับจากหน่วยบริการภายใน 6 ชั่วโมง ขอให้ดูแลตัวเองเบื้องต้นไปตามอาการ หากมีไข้หรือไอ กินยาลดไข้ ยาแก้ไอ และผู้ติดเชื้อโควิด-19 สามารถไปโรงพยาบาลตามสิทธิรักษาหรือใกล้บ้าน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัด 14 จังหวัดรอบ กทม. ได้แก่ นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, นครนายก, สิงห์บุรี, อ่างทอง, นครปฐม, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, สุพรรณบุรี, สมุทรปราการ, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, โรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิตและสังกัดกรมควบคุมโรค เพิ่มศักยภาพให้การดูแลแบบผู้ป่วยนอก “เจอ แจก จบ” ให้เพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป รองรับบริการได้ประมาณ 18,650 รายต่อวัน 

ทั้งนี้แนะนำให้ โทร.นัดหมายก่อน เพื่อเข้าระบบการรักษาแบบผู้ป่วยนอก เจอ แจก จบ ได้ และกลับมากักตัวที่บ้านอีก 7-10 วัน ตามที่แพทย์แนะนำ โดยแต่ละกองทุนสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น สปสช. สำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง จะตามจ่ายให้กับผู้ป่วยตามสิทธิการรักษาที่มี 

สิทธิบัตรทอง 30 บาท (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ไปได้ที่หน่วยปฐมภูมิทุกที่ ไม่ใช้ใบส่งตัว หน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น สถานีอนามัย, รพ.สต., หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล, ศูนย์สุขภาพชุมชน ศูนย์บริการสาธารณสุข รวมถึง คลินิกชุมชนอบอุ่น เป็นต้น สิทธิประกันสังคม เข้ารับบริการ รพ.ตามสิทธิที่ลงทะเบียนหรือสถานพยาบาลใกล้บ้านได้ เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม., รพ.สต. ฯลฯ  

สิทธิข้าราชการ ไป รพ.หรือสถานพยาบาลภาครัฐ  

นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ในส่วนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ หรือประชาชนที่ตรวจ ATK 2 ครั้งแล้วขึ้น 2 ขีด นั้น หากท่านเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ได้แก่ 1. กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 2. กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน และ 3. กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป กลุ่มนี้ให้โทร.มาที่ สายด่วน 1330 กด 14 เพื่อประเมินอาการเบื้องต้นและเข้ารักษาตามระบบต่อไป เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยง 

แต่หากไม่ใช่กลุ่ม 608 และไม่มีอาการ-อาการเล็กน้อย รักษาตามอาการและกักตัวอยู่ที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องแจ้งภาครัฐหรือ โทร.1330 ทุกราย เนื่องจากรักษาตามอาการได้ตามแนวทางใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เช่นกัน แต่หากต้องการรักษาตามแนวทางเจอ แจก จบ ของกระทรวงสาธารณสุข สามารถไปสถานพยาบาลตามสิทธิ-ใกล้บ้านได้เช่นกัน แนะนำโทร.นัดหมายก่อน หรือยืนยันต้องการลงทะเบียนรักษาที่บ้าน (Home Isolation) ลงทะเบียนที่ https://crmsup.nhso.go.th/#TicketHI หรือไลน์ สปสช. โดยเพิ่มเพื่อน พิมพ์ @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 ได้เช่นกัน  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net