30 ปีไม่เคยมีปัญหา จนลูกมาทำงานการเมือง 'สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ' เปิดใจหลังโดนยึดที่ดิน ยันซื้อถูกต้องตามกฎหมาย

30 ปีไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่งลูกชายมาทำงานการเมือง 'สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ' เปิดใจหลังโดนยึดที่ราชบุรี ยืนยันซื้อถูกต้องตามกฎหมาย 

1 เม.ย.2565 จากกรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานผ่านสื่อมวลชนว่า อธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งเรื่อง การเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ของสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รวมถึง ธนาธร และ ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ครอบครองที่ดินในเขตป่าไม้ถาวร อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 59 ฉบับ ลงนามโดย สมเกียรติ ถนอมกิตติ รองอธิบดีกรมที่ดิน นั้น

ล่าสุดวันนี้ (1 เม.ย.) ทีมสื่อคณะก้าวหน้ารายงานต่อสื่อมวลชนว่า จากกรณีดังกล่าว สมพรเปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจอย่างมากที่สังคมและสื่อต่างๆ ไปพาดหัวว่าตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจรุกที่ป่า กินป่า เพราะนี่เป็นข้อหาที่ร้ายแรงสำหรับตนเองและครอบครัว ที่ทำมาหากินสุจริตและตั้งใจช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มกำลังมาโดยตลอด และขอโอกาสชี้แจง เพื่อให้สังคมให้ความเป็นธรรม

สมพรระบุว่า ตนไม่ใช่ผู้ซื้อมือแรก โดยเอกสารสิทธิ์ที่ดินออกตั้งแต่ปี 2521 โดยกรมที่ดิน มีเจ้าหน้าที่เซ็นรับรองถูกต้องทุกอย่าง ต่อมาในปี 2533 ตนได้รับการแนะนำจากนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งในสมัยนั้นเป็นนักการเมืองสำคัญในบ้านเมือง ให้มาซื้อที่ดินจากบริษัทมิตรผล ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งนายกมล ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัทมิตรผล ก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ รู้จักกันดี เมื่อทั้งเจ้าของและผู้แนะนำให้ซื้อเป็นคนที่น่าเชื่อถือ จึงไม่คิดเลยว่าที่ดังกล่าวจะผิดกฎหมาย 

“ฉันยืนยันว่าครอบครัวเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก ตอนที่ฉันซื้อที่ดินก็มีเอกสารสิทธิ์รับรองถูกต้องตามกฎหมาย ซื้อขายมาหลายทอดแล้ว และฉันก็ไม่มีอำนาจบารมีไปบังคับ ข่มขู่ ให้เจ้าหน้าที่ออกเอกสารสิทธิ์ให้ ที่ดินก็เป็นที่ของบริษัทใหญ่ มีเครดิตดี คนแนะนำเป็นนักการเมืองใหญ่ เอกสารสิทธิ์ก็มีเรียบร้อย เราจึงไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหาอะไรทางกฎหมาย” 

ส่วนกรณีที่มีสื่อบางสำนักเสนอข่าวว่าสมพรเคยมีบันทึกกับกรมที่ดินว่ารับทราบอยู่แล้วว่า ที่ผืนนี้เป็นที่ป่า สมพรยืนยันว่า เอกสารฉบับนี้เนื้อหาระบุแค่ว่าตนรับทราบว่าที่ดินแปลงนี้อาจเป็น หรือไม่เป็น ที่ป่าไม้ถาวรก็ได้ บันทึกถ้อยคำดังกล่าว สำนักงานที่ดินทำไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนฟ้อง ถ้ามีการเพิกถอนสิทธิในภายหลัง ซึ่งในกรณีนี้ กรมที่ดินเองก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ป่าหรือไม่ แล้วตนเองเป็นราษฎรธรรมดาจะทราบได้อย่างไร

“ฉันมีที่ดินผืนนี้มา 30 ปีไม่เคยมีปัญหาอะไร จนกระทั่งลูกชายมาทำงานการเมือง ลูกก็โดนยัดคดีร้ายแรงให้สารพัด ส่วนตัวฉันเองก็โดนร้องเรียนว่ารุกป่า กินป่า เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีใหญ่โต ฉันยืนยันตรงนี้ว่าที่ผืนนี้ ถึงจะซื้อมาถูกกฎหมายทุกประการ มีเอกสารสิทธิ์เรียบร้อย แต่อยู่มาวันหนึ่งรัฐบอกว่าผิด จะเพิกถอน ฉันไม่มีปัญหา แต่ต้องไปพิสูจน์ถูกผิดกันตามกฎหมาย ถ้าออกมาว่าเป็นป่าจริง ฉันยินดีคืนที่ให้ แต่อย่ามากล่าวหาว่าครอบครัวฉันโกงบ้านโกงเมืองเด็ดขาด” สมพรกล่าวทิ้งท้าย

อนึ่ง เมื่อมี.ค. 2564 สำนักข่าวอิศรา นำเอกสาร 2 ฉบับ ที่เป็นบันทึกถ้อยคำที่ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ซื้อที่ดินกับผู้ขายที่ดิน รับทราบต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่มาเผยแพร่

โดยบันทึกถ้อยคำ ของ สมพร ตอนหนึ่งระบุว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบข้อความข้างต้นแล้ว และที่ดินแปลงดังกล่าวนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรืออาจจะไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงอาจจะถูกแก้ไขหรือเพิกถอนได้ ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย หากมีการแก้ไขหรือเพิกถอนหรือเกิดการเสียหายไม่ว่ากรณีใดๆ เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและทางราชการที่จะต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด” 

ส่วนบันทึกถ้อยคำ ของ ชนาพรรณ วันที่ 19 มิ.ย.2540 ระบุตอนหนึ่งว่า “ตามที่ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายได้ยื่นขอจดทะเบียนขายที่ดินแปลงเครื่องหมายข้างบนนี้ ข้าพเจ้าได้ตรวจบริเวณที่ดินแปลงนี้จากระวางรูปถ่ายทางอากาศ หมายเลข 4836 // แผ่นที่ 104 ซึ่งในระวางฯ ระบุว่า ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหมายเลข 85 และเจ้าหน้าที่แจ้งให้ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบแล้วว่า หลักฐาน น.ส.3ก. ฉบับดังกล่าว อาจออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งต่อไปทางราชการอาจดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอน น.ส.3 ก. ได้ ซึ่งทำให้การซื้อขายที่ดินครั้งนี้เป็นโมฆะ ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบและเข้าใจดีแล้วแต่ข้าพเจ้าขอยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนขายที่ดินให้ข้าพเจ้าครั้งนี้ได้ หากเกิดการเสียหายใดๆ ขึ้นเกี่ยวกับการนี้ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท