Skip to main content
sharethis

ฮิวแมนไรท์วอทช์เปิดรายงานการก่ออาชญากรรมสงครามของกองทัพรัสเซียในยูเครน หลังจากที่รัสเซียรุกรานและยึดครองพื้นที่บางส่วนของยูเครนตั้งแต่เดือน ก.พ. มาจนถึงตอนนี้โดยมีทั้งกรณีการข่มขืน การกวาดต้อนสังหารผู้คน การข่มขู่คุกคาม และการปล้นชิงข้าวของพลเรือน

ฮิวแมนไรท์วอทช์เปิดเผยในรายเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2565 ระบุว่า ในพื้นที่ของประเทศยูเครนที่กองทัพรัสเซียยึดครองอยู่อย่าง เชอร์นิฮิฟ, คาร์คีฟ และเคียฟ มีการก่ออาชญากรรมสงครามต่อพลเรือนในพื้นที่เหล่านั้น มีหนึ่งกรณีที่เป็นการข่มขืนซ้ำ มีสองกรณีเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรม มีกรณีอื่นๆ เกี่ยวกับความรุนแรงและการคุกคามพลเรือน โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.-14 มี.ค. 2565 ทั้งนี้ทหารรัสเซียยังก่อเหตุปล้นสะดมทรัพย์สินของพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, เครื่องนุ่งห่ม หรือไม้ฟืน ด้วย ซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าผู้ที่ก่อเหตุเหล่านี้ถือว่าได้ก่ออาชญากรรมสงคราม

ฮิวจ์ วิลเลียมสัน ผู้อำนวยการฝ่ายยุโรปและเอเชียกลางของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า กรณีต่างๆ ที่ทางฮิวแมนไรท์วอทช์ที่บันทึกไว้นั้นนับเป็น "การจงใจกระทำโหดร้ายทารุณและก่อความรุนแรงต่อพลเรือนยูเครนในระดับที่เลวร้ายเหลือจะพรรณนา" วิลเลียมสันบอกว่ากรณีการข่มขืน การสังหาร และความรุนแรงอื่นๆ ต่อผู้ที่เป็นเชลยศึกของกองทัพรัสเซียควรจะได้รับการไต่สวนในฐานะอาชญากรรมสงคราม

ฮิวแมนไรท์วอทช์ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเรื่องเหล่านี้โดยการสัมภาษณ์คน 10 คน มีทั้งพยานผู้เห็นเหตุการณ์, เหยื่อ และผู้อาศัยในพื้นที่ๆ ถูกยึดครองโดยรัสเซีย ด้วยวิธีการทั้งการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวและการสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์

รายงานระบุถึงเหตุการณ์วันที่ 4 มี.ค. 2565 ในเมืองบูชาห่างออกไป 30 กม. ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟ มีกองทัพรัสเซียก่อเหตุกวาดต้อนชาย 5 คนแล้วลงมือวิสามัญฆาตกรรม 1 ในนั้น มีผู้เห็นเหตุการณ์บอกกับฮิวแมนไรท์วอทช์ว่าทหารบังคับให้ทั้ง 5 คนคุกเข่าลงที่ข้างถนน ดึงเสื้อยืดของพวกเขาขึ้นมาคลุมศีรษะ แล้วยิงที่ด้านหลังศีรษะของชายคนหนึ่ง พยานเล่าว่าชายคนนั้นล้มลงหลังถูกยิงแล้วก็มีผู้หญิงที่เห็นเหตุการณ์อยู่แถวนั้นพากันกรีดร้อง

ครูที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเธอได้ยินเสียงปืนเมื่อประมาณ 7 โมงเช้าและเห็นรถหุ้มเกราะของรัสเซีย 3 คันกับรถบรรทุกยี่ห้อคามาซ 4 คัน แล่นมาบนถนนที่เธออยู่ เธออาศัยอยู่ในห้องเก็บไวน์กับสุนัขอีก 2 ตัว จากนั้นทหารก็ทุบกระจกเข้ามาแล้วตะโกนสั่งให้เธอออกจากที่พักแล้วขู่ว่าจะขว้างระเบิดใส่ถ้าไม่ออกมา ทำให้เธอต้องออกจากที่พักและถูกกวาดต้อน

ในช่วงนั้นเองครูคนนั้นก็ได้เห็นทหารรัสเซียกวาดต้อนผู้คนอื่นๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอกับหญิงท้องอีกรายหนึ่งขอไปเข้าห้องน้ำด้วยกันทำให้เธอสังเกตเห็นว่ามีกองเลือดขนาดใหญ่อยู่อีกฟากของอาคารที่ใช้ควบคุมตัวพวกเธออยู่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอเห็นภาพกลุ่มทหารสั่งให้กลุ่มผู้ชายที่ถูกกวาดต้อนมาถอดเสื้อนอกกับรองเท้าออกแล้วคุกเข่าลงไป ทหารดึงเสื้อยืดของพวกเขาคลุมหน้าแล้วก็ยิงที่ศีรษะของชายหนึ่งคนในนั้นจนร่างของเขาล้มลง ผู้หญิงที่เห็นเหตุการณ์หลายคนกรีดร้อง ชายคนอื่นๆ ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้โดนยิง ทหารที่เป็นผู้บัญชาการพูดว่า "ไม่ต้องเป็นห่วง พวกคุณปกติดีทุกคน แล้วนี่ก็คือพวกกเฬวราก พวกเรามาชำระล้างพวกคุณจากพวกกเฬวราก"

จากนั้นหลายชั่วโมงถัดมาทหารก็นำตัวผู้คนกลับบ้าน ขณะที่ 4 คนที่ถูกกวาดต้อนในฝั่งตรงข้ามยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ครูที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าตอนที่เธออพยพออกจากเมืองได้ในวันที่ 9 มี.ค. เธอยังเห็นร่างของชายที่ถูกยิงในวันนั้นนอนกองอยู่ที่เดิม

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดในหมู่บ้าน สตาอี บิคีฟ ในภูมิภาคเชอร์นิฮิฟ เมื่อวันที่ 27 ก.พ. มีการกวาดต้อนคนอย่างน้อย 6 คน ต่อมาพวกเขาก็ถูกสังหาร แม่ของชายคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อบอกว่าเธออยู่ใกล้ๆ ในตอนที่ทหารรัสเซียกวาดต้อนลูกชายของเธอและชายอีกคนหนึ่งไป ภายหลังเธอก็ได้เห็นร่างที่เสียชีวิตแล้วของทั้ง 6 คน

นอกจากนี้แล้วหญิงที่พูดถึงเหตุการณ์ยังเล่าว่าทหารรัสเซียทั้งระเบิดสะพานที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้าน สตาอี บิคีฟ และ นอฟอี บิคีฟ และยิงอาวุธหนักถล่มทั้งสองหมู่บ้าน ก่อนเคลื่อนขบวนรถหุ้มเกราะเข้ามาในหมู่บ้านสตาอี บิคีฟ ผู้คนส่วนใหญ่ต้องหลบระเบิดอยู่ชั้นใต้ดินในขณะที่ทหารรัสเซียเปิดประตูไปตามบ้านต่างๆ และพรากตัวผู้ชาย 6 คนจากครอบครัว 3 ครอบครัวไปยิง ทำให้มีแม่คนหนึ่งต้องสูญเสียลูกชายยังหนุ่มถึง 2 คนจากเหตุนี้

ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าทหารอ้างว่าจะนำตัวพวกเขาไปสอบถามอะไรบางอย่าง มีแม่อีกรายหนึ่งชื่อวิกเตอร์เรียที่ลูกชายและลูกเขยของเธอถูกทหารพรากตัวไป เธอเดินไปถามทหารรัสเซียที่จุดตรวจว่านำตัวพวกเขาไปทำไม ทหารอ้างว่าไม่ต้องเป็นห่วงแค่จะทำให้พวกเขากลัวแล้วปล่อยตัวไป พอเธอเดินออกมาได้ 50 เมตรก็ได้ยินเสียงปืน

แล้วในวันต่อมาเธอก็เห็นร่างของทั้งสองคนถูกยิงที่ศีรษะล้มอยู่ข้างอาคารแถวนั้น ทหารไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้เธอเข้าไปเก็บศพของพวกเขา จนกระทั่งถึงวันที่ 7 มี.ค. ทหารถึงยอมนำร่างของพวกเขาไปที่ป่าช้าเพื่อให้พวกเขาทำการฝังศพทั้ง 6 ศพ นอกจากนี้ทหารรัสเซียยังนำอาหารและฟืนของหมู่บ้านไปจนหมดจนทำให้พวกเขาไม่มีอะไรจะกินและไม่มีฟืนใช้ในยามอากาศหนาวด้วย

มีชายอายุ 60 ปีรายหนึ่งจากซาบุชชยา หมู่บ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟ เล่าว่าเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมามีทหารรัสเซียข่มขู่คุกคามว่าจะวิสามัญฆาตกรรมเขาและลูกชายของเขาหลังจากที่ทหารเหล่านี้บุกค้นบ้านและพบว่าพวกเขามีปืนล่าสัตว์กับน้ำมันเชื้อเพลิงที่หลังบ้าน มีทหารอีกคนหนึ่งที่เข้ามาห้ามไม่ให้ทหารนายดังกล่าวสังหารพวกเขา ซึ่งลูกสาวของชายอายุ 60 คนนี้ก็ให้การยืนยันในเรื่องนี้ด้วย

ชายอายุ 60 ปีเล่าว่ามีทหารรัสเซีย 13 รายมาพูดคุยกับลูกชายอายุ 34 ปีของเขา พอค้นเจอปืนยาวล่าสัตว์กับน้ำมันเชื้อเพลิงพวกทหารก็เริ่มแสดงอาการโมโหคลั่ง ผู้บัญชาการสั่งให้นำตัวเขาและลูกชายไปที่ต้นไม้ข้างนอกแล้วยิงทิ้ง มีทหารนายหนึ่งโต้แย้งคำสั่งนี้ ทหารพาพวกเขากลับเข้าในบ้านสั่งให้ลูกชายแก้ผ้าออกให้หมดอ้างว่าจะดูว่ามีรอยสักกลุ่มชาตินิยมยูเครนอยู่หรือไม่ จากนั้นก็พังกระจกเข้าไปในบ้านหลังอื่นที่มีผู้พิพากษาเคยอาศัยอยู่แต่ตอนนี้หนีไปแล้ว ทหารพากันปล้นชิงสิ่งของต่างๆ ออกมาจากบ้านหลังนั้น หลังจากที่ทหารออกไปจากพื้นที่แล้ว ชายอายุ 60 กับครอบครัวพากันหนีออกจากซาบุชชยา

วันที่ 6 มี.ค. ในหมู่บ้านวอร์เซล ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟ 50 กม. ทหารรัสเซียได้ขว้างระเบิดควันเข้าไปที่ชั้นใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง จากนั้นจึงยิงผู้หญิงและเด็กอายุ 14 ปีในขณะที่พวกเขากำลังหนีออกมาจากชั้นใต้ดินที่ใช้หลบภัยมาตลอด เด็กเสียชีวิตโดยทันทีหลังถูกยิงขณะที่ผู้หญิงรายนี้เสียชีวิตจากแผลกระสุนในอีก 2 วันหลังจากนั้น เรื่องนี้มาจากคำบอกเล่าของชายคนที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ดินเดียวกับเธอและคำบอกเล่าของคนอื่นๆ

เรื่องนี้มาจากปากคำของชายที่ชื่อดิมิโทร เขาหนีจากเมืองบูชาที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักไปยังหมู่บ้านวอร์เซล ในตอนนั้นเป็นวันที่ 7 มี.ค. หนึ่งวันหลังเหตุการณ์ยิงผู้หญิงกับเด็กหญิง ดิมิโทรไปอาศัยในที่พักพิงเป็นชั้นใต้ดินของอาคารสองชั้นสถานที่ๆ เกิดเหตุ เขาเห็นว่ามีหญิงรายหนึ่งมีแผลถูกยิงที่หน้าอกและขาอยู่กับผู้หลบภัยคนอื่นๆ ผู้หลบภัยที่นั่นเล่าว่าเธอตื่นตระหนกจนวิ่งออกไปหลังจากที่ทหารรัสเซียขว้างระเบิดควันเข้ามา เด็กหญิงอายุ 14 ปีอีกคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตทันทีขณะที่หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บ แต่ในวันรุ่งขึ้นหญิงรายนี้ก็เสียชีวิต ดิมิโทรกับผู้คนที่นั่นช่วยกันฝังร่างเธอที่ด้านนอกแหล่งหลบภัย

มีหญิงรายหนึ่งนามสมมุติว่าโอลฮาบอกว่ามีทหารรัสเซียนายหนึ่งที่ข่มขืนกระทำชำเราเธอซ้ำๆ ที่โรงเรียนในคาร์คีฟ ที่ซึ่งเธอและครอบครัวใช้เป็นที่หลบภัย เหตุเกิดวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา เธอบอกว่าทหารทุบตีเธอและใช้มีดเฉือนใบหน้าของเธอ ลำคอของเธอ และตัดผมของเธอ วันถัดจากกนั้นเธอก็หนีจากคาร์คีฟทำให้เธอเข้ารับการรักษาพยาบาลและบริการอื่นๆ ได้ เธอนำรูปถ่ายใบหน้าที่ถูกทำร้าย 2 ใบให้ฮิวแมนไรท์วอทช์ดู

โอลฮาเล่าว่ากลุ่มทหารรัสเซียได้เข้ามาในหมู่บ้านเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นสิ่งที่รัสเซียอ้างว่าเป็น "ปฏิบัติการทางทหาร" ในยูเครน ในวันนั้นมีชาวบ้านประมาณ 40 รายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กหญิงหลบภัยอยู่ที่ชั้นใต้ดินของโรงเรียนแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน เธอหลบภัยอยู่ที่นั่นพร้อมกับลูกสาวอายุ 5 ขวบ, แม่ของเธอ, น้องสาวอายุ 13 ปี และน้องชายอายุ 24 ปี

ช่วงเที่ยงคืนวันที่ 13 มี.ค. ทหารรัสเซียใช้กำลังบุกเข้ามาในโรงเรียน ลงไปที่ชั้นใต้ดินแล้วสั่งให้ทุกคนเรียงแถวกัน ในตอนนั้นเธอยังคงอุ้มลูก 5 ขวบที่หลับอยู่ ทหารสั่งให้เธอเอาลูกให้เขาไปแต่เธอก็ปฏิเสธ ทหารสั่งให้น้องชายของเธอออกมาแล้วสั่งให้คนอื่นๆ คุกเข่าไม่เช่นนั้นจะยิงทุกคน บอกว่าจะให้น้องชายของเธอช่วยหาอาหารให้ ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาในอีก 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น

เมื่อเวลาผ่านไปทหารรัสเซียนายหนึ่งเข้ามาใกล้ครอบครัวของโอลฮาแล้วสั่งให้เธอตามเขาไปคนเดียว พวกเขาไปที่ชั้นสอง ทหารใช้ปืนสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้าแล้วก็บังคับขืนใจเธอโดยมีปืนจ่อที่ศีรษะเธออยู่ และบางครั้งทหารก็ยิงใส่เพดานเพื่อขู่ให้เธอทำตามที่เขาต้องการ จากนั้นทหารก็สั่งให้เธอไปเอาของที่ชั้นใต้ดินเพื่อที่จะกลับมาอยู่กับเขาในคืนนั้น แต่เธอปฏิเสธจะไปเอาของบอกว่ากลัวลูกสาวจะร้องไห้เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ ทำให้ทหารนายดังกล่าวใช้มีดขู่ให้เธอทำไม่เช่นนั้นจะฆ่าลูกสาวอายุ 5 ขวบของเธอ ทหารรายนี้ยังใช้มีดขู่เพื่อข่มขืนเธอต่อแล้วก็เฉือนเนื้อส่วนใบหน้า ลำคอ และกล้อนผมของเธอออกมาส่วนหนึ่ง แล้วตบตีเธอซ้ำๆ

ต่อมาในวันที่ 14 มี.ค. ทหารนายนี้ใช้ให้โอลฮาไปขอบุหรี่จากกลุ่มทหารนายอื่นๆ ก่อนที่จะออกไปจากโรงเรียน หลังเหตุการณ์โอลฮาและครอบครัวก็เดินเท้าไปยังคาร์คีฟเพื่อรับการรักษาพยาบาลและได้รับการย้ายเข้าไปอยู่ในที่หลบภัยระเบิด

ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่านอกจากกรณีนี้แล้ว พวกเขายังได้รับแจ้งเรื่องข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศที่ทหารรัสเซียเป็นผู้ก่ออีก 3 กรณีในหมู่บ้านอื่นๆ ของภูมิภาคเชอร์นิฮีฟและมารีอูปอลในตอนใต้ แต่ทางฮิวแมนไรท์วอทช์ก็ยังไม่พบแหล่งข้อมูลที่จะสามารถยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นได้

นอกจากกรณีเหล่านี้แล้วมีพลเรือนชาวยูเครนอีกจำนวนมากที่ให้สัมภาษณ์บอกว่ากองทัพรัสเซียปล้นชิงเอาของๆ พวกเขาไปไม่ว่าจะเป็น อาหาร, ฟืน, เครื่องนุ่งห่ม และของใช้อื่นๆ อย่างเลื่อยยนต์, ขวาน และน้ำมันเชื้อเพลิง

ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่าทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสู้รบในยูเครนมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมนานาชาติหรือกฎหมายสงคราม รวมถึงอนุสัญญาเจนีวาปี 2482, พิธีสารเพิ่มเติมฉบับแรกของอนุสัญญาเจนีวา, และหลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ กลุ่มติดอาวุธฝ่ายปฏิปักษ์ที่ควบคุมพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามอยู่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนานาชาติว่าด้วยการยึดครองดินแดน และควรปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนนานาชาติอยู่ตลอดเวลา

กฎหมายสงครามห้ามไม่ให้มีการสังหารโดยเจตนา, ห้ามไม่ให้มีการข่มขืนหรือความรุนแรงทางเพศอื่นๆ, ห้ามไม่ให้มีการทารุณกรรมและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมต่อเชลยศึกทั้งที่เป็นกำลังรบและเป็นพลเรือน นอกจากนี้ยังสั่งห้ามไม่ให้มีการปล้นสะดมหรือการปล้นชิงด้วย ใครก็ตามที่เป็นคนสั่งหรือกระทำสิ่งเหล่านี้โดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมถึงให้ความช่วยเหลือหรือเอื้ออำนวยให้เกิดการกระทำเหล่านี้จะต้องโทษอาชญากรรมสงคราม

นอกจากนี้ผู้บัญชาการกองกำลังที่รู้เห็นหรือมีเหตุให้ต้องรับรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมเหล่านี้แต่ไม่ทำอะไรที่จะพยายามยับยั้งผู้ก่อเหตุหรือลงโทษผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อเรื่องเหล่านี้ก็มีโอกาสต้องโทษทางอาญาในฐานะอาชญากรสงครามผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในฐานะผู้บัญชาการด้วยเช่นกัน

 

เรียบเรียงจาก

Ukraine: Apparent War Crimes in Russia-Controlled Areas, Human Rights Watch, 03-04-202

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net