Skip to main content
sharethis

ครบรอบ 8 ปี การหายตัวไปของ บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน คดียังติดอยู่ในชั้นอัยการสูงสุด โดยดีเอสไอส่งสำนวนส่งอัยการเพื่อขอให้สั่งฟ้อง ซึ่งอัยการยังไม่ฟังธงว่าเป็นการฆาตกรรม ขณะนี้คดีของบิลลี่จึงอยู่ระหว่างรออัยการสั่งฟ้อง

18 เม.ย. 2565 เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 8 ปี การหายตัวไปของ บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี หลังวันที่ 17 เม.ย. 2557 บิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานจับกุมตัวที่ด่านมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากครอบครองน้ำผึ้งป่า และหลังจากนั้นบิลลี่ได้หายตัวไป

ก่อนหน้านี้เมื่อพ.ศ. 2554 บิลลี่ได้เป็นแกนนำชาวโป่งลึก-บางกลอย ในการเรียกร้องสิทธิชุมชน โดยบิลลี่เป็นหนึ่งแกนนำที่เตรียมยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากกรณีที่เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้ารื้อเผาทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกระจานกว่า 20 ครอบครัวที่ใจแผ่นดิน ในเดือนกรกฎาคม 2554 ปู่คออี้และชาวกะเหรี่ยง 6 คน ได้ร่วมกันยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชต่อศาลปกครองในคดีเผาบ้านเรือนและทำลายทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งในเดือนพฤษภาคม 2557 ศาลปกครองกำหนดเรียกพยานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูล ปรากฏว่าบิลลี่ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดีนี้ได้หายตัวไปในวันที่ 17 เม.ย. 2557

ถังน้ำมันที่ใช้ในการอำพรางคดีอุ้มฆ่าบิลลี่ แถลงโดยดีเอสไอ (ที่มาภาพเพจ Banrasdr Photo)

พ.ศ. 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงความคืบหน้าคดีการหายตัวไปของบิลลี่ พบหลักฐานสำคัญเป็นถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน พร้อมทั้งชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ซึ่งระบุในการแถลงว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย.62 และเมื่อวันที่ 22-24 พ.ค.62 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนักประดาน้ำ จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน และสิ่งที่พบดังกล่าว ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการตรวจพิสูจน์พบว่าเป็นวัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับ โพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของ พอละจี เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ “นายพอละจี รักจงเจริญ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี” และ สภาพกระดูกผ่านการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200 – 300 องศาเซลเซียส

 

ครบรอบ 8 ปี 'บิลลี่' คดียังไม่ถึงไหน

 

ในวาระครบ 8 ปี สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า ขณะนี้ดีเอสไอส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุด รอสั่งฟ้อง สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่าเป็นความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรม โดย 5 ปีแรกการทำงานอยู่ในตำรวจและดีเอสไอ เมื่อต้องดำเนินคดีคนหาย การหาหลักฐานยากลำบากเพราะสถานที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่หน่วยงานรัฐควบคุมอยู่ และหน่วยงานรัฐนั้นยังพัวพันกับการถูกดำเนินคดีในฐานะเป็นเจ้าของพื้นที่ซึ่งช่วงแรกยังไม่เจอชิ้นส่วนใดๆ ของบิลลี่ทำให้ตำรวจไม่กล้าสรุปว่าเป็นการฆาตกรรม ประกอบกับประเทศไทยไม่มีกฎหมายออกมาแก้ไขเรื่องนี้ชัดเจน โดยเฉพาะการถูกฆาตกรรมโดยไม่พบศพ ทำให้ตำรวจไม่กล้าสรุปสำนวนเพื่อฟ้องศาล สุดท้ายดีเอสไอใช้นิติวิทยาศาสตร์ หาชิ้นส่วนบิลลี่จนพบและนำไปสู่สรุปสำนวนส่งอัยการเพื่อให้สั่งฟ้องแต่เรื่องมาติดที่อัยการเพราะยังไม่ฟันธงว่าเป็นการฆาตกรรม เนื่องจากไม่เชื่อข้อมูลของดีเอสไอว่าเป็นการฆาตรกรรมและส่งเรื่องกลับไปที่ดีเอสไอ แต่สุดท้ายดีเอสไอได้ยืนยันกลับอีก ดังนั้นตอนนี้คดีจึงอยู่ในชั้นอัยการสูงสุด

 

“เราหวังว่าอัยการสูงสุดจะรีบเร่งสั่งฟ้องโดยเร็ว เพราะกระบวนการตอนนี้อยู่ที่อัยการสูงสุด โดยเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มึนอได้เดินทางไปทวงถาม แต่จนบัดนี้เรื่องก็ยังอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่” สุรพงษ์กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net