กรุงเทพโพลสำรวจ 1,038 คน พบ 77.2% กังวลค่อนข้างมากถึงมากที่สุดว่ารายรับจะไม่เพียงพอกับรายจ่ายหากราคาสินค้าและค่าครองชีพขยับตัวสูงขึ้น หลังรัฐบาลจะเลิกตรึงราคาน้ำมันดีเซล
30 เม.ย.2565 กรุงเทพโพลโดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “รับมืออย่างไร หากค่าครองชีพพุ่ง หลังรัฐเลิกตรึงราคาน้ำมันดีเซล” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,038 คน เมื่อวันที่ 25-28 เม.ย. 2565 ที่ผ่านมาพบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 58.7 ทราบว่ารัฐบาลจะเลิกตรึงราคาน้ำมันดีเซลในเดือน พ.ค. นี้ และอาจจะส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ขณะที่ร้อยละ 41.3 ระบุว่าไม่ทราบ
โดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 77.2 ระบุว่ามีความกังวลค่อนข้างมากถึงมากที่สุดว่ารายรับจะไม่เพียงพอกับรายจ่ายหากราคาสินค้าและค่าครองชีพขยับตัวสูงขึ้น ขณะที่ร้อยละ 22.8 ระบุว่ามีความกังวลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
เมื่อถามว่า “มีวิธีรับมืออย่างไรกับค่าครองชีพที่มีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นหากรัฐจะเลิกตรึงราคาน้ำมันดีเซลในเดือน พ.ค. นี้” ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 72.5 ระบุว่าใช้จ่ายอย่างประหยัด ใช้จ่ายแต่สิ่งจำเป็น รองลงมาร้อยละ 11.6 ระบุว่าหารายได้เสริมจากงานประจำ และร้อยละ 10.5 ระบุว่าใช้วิธีวางแผนค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน
ทั้งนี้เรื่องที่อยากให้รัฐบาลมีนโยบายหรือโครงการใดเพื่อช่วยเหลือประชาชน ลดภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น นั้นพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 43.4 อยากให้รัฐควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็น รองลงมาร้อยละ 17.4 อยากให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำให้สูงขึ้นเพื่อสอดรับกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น และร้อยละ 12.7 อยากนำโครงการต่างๆ กลับมาใช้ใหม่เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน เช่น คนละครึ่ง และอยากสนับสนุนภาคเอกชนให้มีการจ้างงานเพิ่มเพื่อลดปัญหาการว่างงาน
สำหรับแนวทางที่ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 54.8 คิดว่ารัฐบาลควรหาทางออกเรื่องการบริหารจัดการน้ำมันภายในประเทศ คือ ใช้งบประมาณมาอุดหนุนหรือลดภาษีสรรพสามิต เพื่อตรึงราคาน้ำมันต่อไป รองลงมาร้อยละ 17.2 คือ ค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นราคาน้ำมันเพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัว และร้อยละ 9.4 คือ ปล่อยราคาน้ำมันไปตามกลไกของตลาดโลก ประชาชนจะได้รู้ราคาที่แท้จริง