Skip to main content
sharethis

'แพทองธาร' ชวนพี่น้องเสื้อแดงกลับบ้าน ร่วมดันภารกิจ 'เพื่อไทยแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน' ประกาศประเทศจะกลับมาเจริญอีกครั้ง เพื่อไทยต้องชนะเลือกตั้งเท่านั้น 

14 พ.ค. 2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยแจ้งต่อสื่อมวลชนว่าที่ห้างสรรพสินค้า อิมพีเรียล สำโรง สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการจัดงาน ‘ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ’ นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรค พท. ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชศรีมา เลขาธิการพรรค น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ.ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่ากว่า 10 ปีที่ผ่านมา การเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ของประเทศไทย ได้ทำลายครอบครัวไปมากมาย พี่น้องประชาชนหลายสิบล้านคนต้องสูญเสียชีวิต  สูญเสียกำลังใจ  เจ็บปวด แต่ตนเชื่อมั่นว่า ทุกคนยังมีความหวัง  เพราะพรรคเพื่อไทยยังมีพี่น้องคนเสื้อแดง พี่น้องคนเสื้อแดงมีพรรคเพื่อไทย  เป็นครอบครัวคนเสื้อแดง ครอบครัวเพื่อไทย  ซึ่งพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า อุดมการณ์ของพรรคไม่เคยเปลี่ยนแปลง จากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน สู่เพื่อไทย คือต้องการให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องกลับไปมีศักดิ์ศรีอีกครั้ง

ในวันนี้แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนไม่มีทางออก แต่เชื่อมั่นว่าทางออกเดียว คือพรรคเพื่อไทยกลับมาชนะการเลือกตั้ง  ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ประเทศชาติจะกลับมาเจริญอีกครั้ง 
ขอเชิญชวนให้พี่น้องเสื้อแดง “กลับบ้าน”  มาร่วมกันกับพรรคเพื่อไทยในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ด้วยการทวงคืนอำนาจรัฐ  เพื่อให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย  
“เราไม่เคยทิ้งกันไปไหน ขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงที่เป็นความเข้มแข็ง เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย และพรรคเพื่อไทยคงไม่มาถึงทุกวันนี้ หากไม่ได้รับพลังจากพี่น้องเสื้อแดงทุกคน ขอบคุณนะคะที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน กลับบ้านเรากันค่ะ” นางสาวแพทองธาร กล่าว

‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ เปิดใจ ไม่มีวันลืม ‘คนเสื้อแดง’ ถูกฆ่าโดยรัฐ 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวที ‘ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม’ ที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่บ้านหลังแรกของพวกเรา แต่เป็นบ้านหลังที่ 3 หลังจากบ้านของเราถูกทุบทำลายไป 2 ครั้ง แต่พวกเขาก็ทุบรื้อได้แค่หลังคา หน้าต่างเพราะโครงสร้างที่ลงเสาเข็มใหญ่ไปแล้วยากที่จะทำลายลงได้ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่บ้านหลังแรก ‘ไทยรักไทย’ ก่อตั้งขึ้นในปี 2541 โดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจคลื่นลูกที่ 3 ที่ฝันอยากทำการเมืองในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และการเมืองยังอยู่ในยุค ‘การเมืองรองเท้า-ปลาทู’ นักการเมืองหิ้วกระเป๋าเงินไปลงพื้นที่ก็อาจได้เป็น ส.ส. และพรรคการเมืองหาเสียงด้วยเงิน แต่ ‘ไทยรักไทย’ ได้ชักชวนคนหนุ่มสาวให้ทำการเมืองแบบใหม่ โดยอดีตนายกฯทักษิณ ขายไทยรักไทยไว้เพียงสั้นๆ ว่า ‘นโยบายที่ไทยรักไทยจะทำ มีแค่ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส’ ผ่าน 3 นโยบาย คือ พักหนี้เกษตรกร 3 ปี , 30 บาทรักษาทุกโรคและกองทุนหมู่บ้านละล้าน ที่พาไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งครั้งแรก ได้ ส.ส. 248 ที่นั่งและจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

“ชาวบ้านรู้โดยไม่ต้องมีใครบอก พรรคการเมืองมีหัวใจเป็นประชาชน ทำนโยบายที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตดีขึ้นได้ยังไง ประชาชนจะกำหนดความเป็นไปของประเทศ ผ่านการแข่งขันของพรรคการเมืองได้ยังไง และเรื่องนี้ไม่ต้องสอนชาวบ้าน เพราะอีก 4 ปีต่อมา ประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์ว่า ขอใช้ไทยรักไทยทำงานให้ประเทศต่อ ด้วยแลนด์สไลด์อีกครั้ง 377 เก้าอี้ จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการยุบพรรคไทยรักไทย ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ทำลายสมาชิกบ้านไทยรักไทย 14 ล้านเสียง ไปจนถึงดรีมทีมของพรรคที่เป็นคนรุ่นใหม่ 111 คน ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ถูกให้ออกจากงานในขณะที่บ้านเมืองกำลังเจริญเติบโต 

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า สมาชิกครอบครัวไทยรักไทยที่เหลืออยู่ได้รวมตัวกันทำกิจกรรมรณรงค์ ‘ไม่รับ - โหวตโน’ รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งทำให้เห็นว่ายังมีพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนเราและร่วมต่อต้านอำนาจเผด็จการ จึงได้เดินทางกันใหม่ในบ้านหลังใหม่ที่ชื่อ ‘พลังประชาชน’ ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช’เป็นหัวหน้าพรรค และนายแพทย์สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี หนึ่งในทีมไทยรักไทยกลับมารวบรวมสมาชิกที่แตกกระสานซ่านเซ็นให้กลับบ้าน และตั้งใจทำการเมืองกันต่อในเลือดเดิม DNA เดิม สโลแกนบนป้ายหาเสียงคือ ‘นโยบายดีๆ ใครก็พูดได้ แต่คนที่ทำได้อยู่ที่พรรคพลังประชาชน’ ทำให้ชนะการเลือกตั้ง 233 ที่นั่งและได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังรักและมั่นใจในเรา สนับสนุนตลอด 3 ยุค 3 สมัยรัฐบาล จากไทยรักไทย1 - ไทยรักไทย 2 และพลังประชาชน 

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชาชนมีเวลาทำงานเพียง 7-8 เดือนก่อนที่จะถูกยุบพรรคอีกครั้ง แต่เราก็ทำงานอย่างเต็มกำลังภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัด เมื่อพลังประชาชนถูกยุบ เราก็รวมตัวกันมาต่อสู้ใหม่ในบ้านหลังใหม่แต่ DNA เดิมนั่นคือ ‘พรรคเพื่อไทย’ ซึ่งการถูกสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน ได้ก่อเกิดคนเสื้อแดง สมาชิกครอบครัวของเราที่ร่วมทุกข์และสุขกันมาตั้งแต่ไทยรักไทย 

“คนเสื้อแดงออกมาปกป้องบ้านและคนที่พวกเขารัก ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชน ที่ ณ วันนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าไม่กี่เดือนต่อมา จะเกิดการฆ่า โดยรัฐบาลครั้งใหญ่ในใจกลางเมือง ไม่มีวันไหนที่ผมลืมบรรยากาศในวันนั้น จุดเริ่มต้นที่เพียงแค่พี่น้องคนเสื้อแดงหลั่งไหลกันมาเรียกร้องประชาธิปไตย ต้องการเรียกร้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขามาเรียกร้องขอหีบเลือกตั้ง แต่สุดท้ายได้หีบศพกลับไป และพวกเรากลายเป็นจำเลยสังคม ไม่มีวันไหนที่ผมจะลืม” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว 

นายประเสริฐ กล่าวย้ำว่า พรรคไทยรักไทยถูกยุบเราก็ตั้งใหม่ พรรคพลังประชาชนถูกยุบเราก็ตั้งใหม่ และบ้านหลังใหม่หลังนี้ พรรคเพื่อไทย พวกเราและพี่น้องประชาชนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ล้มลุกคลุกคลานร่วมกันมากที่สุด ตั้งแต่สร้างบ้านมาก็ว่าได้แต่เรายังต้องการสมาชิกมากกว่านี้ สมาชิกที่จะมาร่วมกันสร้างบ้านหลังใหญ่หัวใจเดิมให้แข็งแกร่งกว่าเดิม มาร่วมกันอีกครั้ง

'วรชัย เหมะ' ขอพี่น้องเสื้อแดงกลับบ้านรวมศูนย์ครอบครัวเพื่อไทย เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่าวันนี้ 

นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า  การต่อสู้ของคนเสื้อแดงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  พี่น้องคนเสื้อแดงที่ได้ร่วมต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตย โดยมีข้อเรียกร้องร่วมกันคือ “ต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” ตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย ต้องการรัฐบาลที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง  

ก่อนหน้านั้นที่ประเทศไทยมีรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พี่น้องประชาชน เกษตรกร ภาคธุรกิจ  มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ มาถึงยุคพรรคพลังประชาชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ถูกศาลตัดสินในคดีการจัดรายการอาหารทางสถานีโทรทัศน์ ประชาชนที่เคยทำมาค้าขายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีเงินทอง ที่เคยทำมาค้าขายได้  กลับทรุดหนัก มีหนี้สิน ทุกคนล้วนประสบปัญหาด้านการดำรงชีวิต ขณะเดียวกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายประชาธิปไตย ที่พี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่ในสภาเป็นฝ่ายรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชาชน  กลับย้ายข้าง เกิดปัญหานักการเมืองไม่ซื่อสัตย์ ไม่ทำตามเจตนารมย์ของประชาชน โดยการไปร่วมกับอีกฝั่งหนึ่ง ‘จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร’ ผลประโยชน์เกิดขึ้นกับ ส.ส.ที่ย้ายข้าง 

ประชาชนทั่วประเทศนับล้านคนจากทุกจังหวัดออกมาต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลในค่ายทหารยุบสภาและต้องเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากไม่สามารถรับกับการกระทำดังกล่าวได้  เกิดเป็นองค์กรของพี่น้องประชาชนที่ใหญ่ที่สุดคือ ‘กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช’  ซึ่งถือเป็นองค์กรที่ทำหน้าเสมือนเป็นตัวแทนของประชาชนที่ถูกทรยศถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งประเทศ  

นายวรชัย กล่าวอีกว่า การชุมนุมเรียกร้องเกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัว จนมาถึงสี่แยกราชประสงค์  กินเวลาหลายเดือน  แม้รัฐบาลได้มาขอเจรจากับพี่น้องเสื้อแดงเพื่อขอคืนพื้นที่ให้ยุติการชุมนุม  แต่รัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในตอนนั้นไม่ฟังเสียงประชาชน  นำกำลังทหาร รถถัง พร้อมอาวุธรุนแรงบุกสลายการชุมนุมก่อนเวลาที่ได้ตกลงกันไว้   พี่น้องเสื้อแดงจำนวนมากถูกลอบทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ  มีผู้เสียชีวิตรวม 99 ศพ รวมถึงนายวสันต์ ภู่ทอง  พี่น้องเสื้อแดงสมุทรปราการ  ถูกยิงเสียชีวิต แม้ท้ายที่สุดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หมดเวลา มีการยุบสภา  มีการเลือกตั้งและพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งในปี 2554 ได้รัฐบาลที่พี่น้องประชาชนต้องการ ภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาลที่คิดถึงพี่น้องคนเสื้อแดงที่สูญเสีย พิการ ทุพพลภาพ  ได้ตั้งงบประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในปี 2553  ครอบครัวละ 7.5 ล้านบาท แต่กลับถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหา 

ทั้งหมดยืนยันได้ว่าคนเสื้อแดงมีความผูกพันกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด การต่อสู้แต่ละครั้งพรรคเพื่อไทยส่งคนมาดูแล  และเมื่อคนเสื้อแดงถูกตั้งข้อหา  พรรคเพื่อไทยส่ง ส.ส.มาประกันตัว ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลที่ตนไม่ย้ายข้าง การเลือกตั้งในครั้งนี้มีความสำคัญ จึงขอให้พี่น้องเสื้อแดงที่ต้องการมีชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ ต้องการประชาธิปไตย  ต้องมารวมศูนย์ที่ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ บ้านหลังนี้ยังมั่นคง พร้อมกล่าวสนับสนุนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความสามารถ มีหัวใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 

“เราคนเสื้อแดงนอนกลางดิน  กินกลางทราย นอนข้างถนน ต่อสู้กันด้วยหัวใจประชาธิปไตย เรายืดหยัดต่อสู้กันมา  คนเสื้อแดงต่อสู้นอกสภา พรรคการเมืองเป็นตัวแทนของพวกเราในการต่อสู้ในสภา เพื่อประชาธิปไตย  เพื่อปากท้องที่อยู่ดีกินดีของประชาชน” นายวรชัย กล่าว 

‘ขัตติยา สวัสดิผล’ เปิด ‘จดหมายจากน้องเดียร์ถึงคุณพ่อ’ รำลึกการจากไปของ ‘เสธ.แดง’ ที่ถูกลอบสังหาร 

นางสาวขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวที ‘ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม’ เปิดเนื้อหา ‘จดหมายจากน้องเดียร์ถึงคุณพ่อ’ พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง นายทหารประชาธิปไตยที่ถูกลอบสังหาร ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 จากเหตุความรุนแรงทางการเมืองปี 2553 ว่า นับตั้งแต่วันที่คุณพ่อถูกลอบยิง 12 ปีที่ผ่านไป หลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป แต่ยังเป็นนักกฎหมายและได้เป็นพิธีกรทาง VotceTV ที่สำคัญคือได้เป็นนักการเมือง ได้เดินเข้ารัฐสภาในฐานะ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ตามที่พลตรีขัตติยะ เคยมีความฝันที่จะเป็น ส.ส. แต่นับจากวันที่พลตรีขัตติยะเสียชีวิต ประเทศกลับไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าแต่กลับถอยหลังหนักขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นในสังคมไม่มีทีท่าว่าจะสมาน ชนชั้นปกครองยังคงมองคนเไม่เท่ากัน

หลังคุณพ่อเสียชีวิตไม่กี่ปี ได้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในปี 2557 หัวหน้าคณะรัฐประหารคือพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นน้องคุณพ่อ 1 ปี มีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม้เบื่อไม้เมาที่คุณพ่อนั่งด่าเช้าด่าเย็น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ คนที่สั่งพักราชการทหารคุณพ่อ ตอนยังมีชีวิตอยู่ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหารนี้มีอำนาจมายาวนานกว่า 8 ปีแล้ว 

ประเทศที่คุณพ่อเคยหวังว่าน่าจะดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เห็นหัวและรับฟังประชาชนให้มากกว่านี้ ถึงขั้นที่ยอมเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก วันนี้กลับแย่ลงไปมาก แต่ทุกคนก็ยังยืนสู้ โดยเฉพาะพี่น้องเสื้อแดงที่เคยได้ร่วมต่อสู้มากับคุณพ่อ แต่ 12 ปีที่ผ่านมาก็ทำให้ได้เจอกันคนที่รักและเคารพ เสธ.แดง เกือบทุกวัน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าคำว่า เสธ.แดง มีค่าและศักดิ์สิทธิมาก จนทำให้คำว่า ลูกสาว เสธ.แดง นั้นมีค่าตามไปด้วยและรู้สึกว่าความเป็นลูกสาว เสธ.แดง คือสิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิต

เสธ.แดง ถูกลอบยิงวันที่ 13 พฤษภาคม และเสียชีวิตในวันที่ 17 พฤษภาคม เป็นการจากกันโดยไม่ได้ล่ำลา แม้ในการคุยโทรศัพท์กันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 12 พฤษภาคม เสธ.แดง ยังยืนยันว่าทหารจะไม่กล้าทำประชาชนที่มาเรียกร้องหาความยุติธรรมและประชาธิปไตย แต่เมื่อคุณพ่อเลือกที่จะเอาตัวเองออกมาจากกองทัพเพื่อมายืนข้างประชาชนและประชาธิปไตย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการถูกลอบยิงที่ศีรษะด้วยปืนสไนเปอร์จากตึกสูง 

“หลายคนดีใจที่คุณพ่อตาย เพราะเขาจดจำคุณพ่อในฐานะผู้ก่อการร้าย ฐานความผิดที่ถูกป้ายสี โดยไม่เคยรู้จักตัวตนจริงของคุณพ่อ หลายคนโกรธหนู เพราะเขาจดจำหนูในฐานะผู้เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามาต่อว่าว่าสะใจหรือยัง ที่คุณพ่อจากไป แต่อีกหลายคนก็จดจำคุณพ่อในฐานะของผู้เสียสละ ในฐานะทหารที่ยืนเคียงข้างประชาชน ยังเป็นภาพที่อยู่ในใจของพี่น้องประชาชนจนทุกวันนี้ รวมทั้งภาพที่พี่น้องเสื้อแดงมารอรับร่างพลตรีขัตติยะ ที่โรงพยาบาลวชิระ ตลอดทางไปถึงวัดโสมนัส เต็มทั้งสองข้างถนนพร้อมตะโกน ‘เสธ.แดงๆ’ ก็เป็นภาพและบรรยากาศที่จะไม่มีวันลืม” ลูสาวเสธ.แดง เผยความในใจ 

นางสาวขัตติยา เปิดเผยถึงเนื้อหา ‘จดหมายจากน้องเดียร์ถึงคุณพ่อ’ อีกว่า ตลอด 12 ปี มันทำให้ได้รู้ว่าการเสียชีวิตของพลตรีขัตติยะ ไม่ใช่การสูญเสียของครอบครัวสวัสดิผลเท่านั้น  แต่มีคนอีกมากมายที่รู้สึกสูญเสียเช่นเดียวกัน คนเสื้อแดงรักพลตรีขัตติยะมาก จนทำให้รู้สึกว่าต้องขอบคุณคนเสื้อแดงตลอดเวลา และภาคภูมิใจที่มีคุณพ่อชื่อ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ที่เลือกยืนอยู่ข้างประชาชน ยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

หลังเสธ.แดง ถูกลอบยิงในวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นจุดเริ่มต้นของการสลายการชุมนุมในปี 53 โดยเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของคนเสื้อแดง แล้วทหารก็เข้ากระชับพื้นที่ชุมนุม และเป็นอย่างที่เสธ.แดง เคยบอกว่าเจ้าหน้าที่เข้าฝังตัวอยู่ตามตึกต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว และสุดท้าย เจ้าหน้าที่ก็ฆ่าผู้ชุมนุมอย่างเลือดเย็น จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 99 ศพ 

ในเหตุการณ์พฤษภา 53 หนูต้องสูญเสียคุณพ่อ และอีกหลายครอบครัวต้องสูญเสียคนรัก สูญเสียพ่อแม่ สูญเสียลูกสาวลูกชาย สูญเสียเพื่อน สูญเสียผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว บางคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำแบบไม่มีโอกาสได้แก้ต่าง เสียโอกาสชีวิตของตัวเอง เหตุการณ์วันนั้นจบลง เรากลายเป็นผู้สูญเสีย ทั้งที่เรามาเพียงเพื่อยืนยันในสิทธิและเสียงของตัวเอง เรามาอย่างสันติวิธี แต่เรากลับได้แต่ความเจ็บช้ำ น้ำตา และลูกกระสุน คุณพ่อและอีกหลายๆ คนถูกจดจำในฐานะของผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ความจริงแล้วการสลายการชุมนุมประชาชนผู้บริสุทธิ์ต่างหากที่เป็นผู้ก่อการร้าย

การสูญเสียพลตรีขัตติยะ กองทัพไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่พลตรีขัตติยะ เป็นนายทหารม้ารถถังที่ทุ่มเททำงานให้กองทัพมาทั้งชีวิต แต่กองทัพไม่แม้แต่จะค้นหาความจริงว่าใครคือคนที่ลอบยิง  จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า คู่ขัดแย้งของคุณพ่อคือกองทัพหรือกองทัพมีส่วนรู้เห็นในการเสียชีวิตของคุณพ่อหรือไม่

นางสาวขัตติยา ระบุถึง การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เห็นด้วย เนื่องจากเหมือนการปล่อยให้คุณพ่อและพี่น้องเสื้อแดงตายฟรี ซึ่งก็เข้าใจรัฐบาลในเวลานั้นว่าต้องการให้ประเทศไปต่อได้ จึงตั้งใจที่จะให้ผู้ที่โดนคดีโดยไม่ได้รับความยุติธรรมได้รับความยุติธรรม พี่น้องเสื้อแดงที่ถูกจับจะต้องได้รับการปล่อยตัวและได้รับการนิรโทษกรรม ผู้สูญเสียจะต้องได้รับการเยียวยา ประชาชนทุกคนควรหลุดพ้นจากคดีทางการเมือง เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ แต่ในฐานะผู้สูญเสีย ก็ต้องบอกว่ายอมรับไม่ได้จริงๆ ที่จะปล่อยให้คนที่ฆ่าคุณพ่อลอยนวลไป 

หนูรับไม่ได้หากจะต้องเดินสวนกับคนที่ฆ่าคุณพ่อ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นคนโหวตยกโทษให้กับคนที่ฆ่าคุณพ่อไปด้วยตัวเอง และในฐานะ ส.ส. จึงงดออกเสียง ซึ่งมารยาททางการเมืองเท่ากับว่าหนูไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และต้องขอบคุณคุณโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ที่ให้คำปรึกษาอยู่ตลอดในช่วงเวลาที่ยากลำบากพร้อมทั้งคอยให้กำลังใจ ทำให้ยืนหยัดในจุดยืนของตัวเองในวันนั้นและพบเจอพี่น้องเสื้อแดงได้อย่างไม่รู้สึกผิดอายจนถึงวันนี้

ที่ผ่านมาได้ทวงถามความยุติธรรมจากหน่วยงานต่างๆ  แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ คดีไม่คืบหน้าจนเหลือเวลาอีกเพียง 8 ปีคดีก็จะหมดอายุความ ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจและยากที่จะยอมรับ เช่นเดียวกับชีวิตของพี่น้องเสื้อแดงที่จากไปและที่โดนคดีที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ทุกคนก็ไม่ได้หยุดนิ่ง วันนี้หลายคนตระหนักถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลานั้น และคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นจำเลยอีกต่อไป คุณพ่อและคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับศักดิ์ศรีคืน ไม่มีใครจดจำคนเสื้อแดงในฐานะของผู้ก่อการร้ายอีกต่อไปและหากมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง จะทำทุกอย่างให้ประวัติศาสตร์ของพลตรีขัตติยะและคนเสื้อแดงถูกจดจำใหม่อยู่ในหน้าหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ ในฐานะผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา พี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนมากยังคงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยพรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมืองที่อยู่เคียงข้าง ทำให้เชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทย คือสถาบันการเมือง ที่เป็นคำตอบในการพาเราผ่านวิกฤติ กับดักและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ 

“สำหรับหนู พรรคเพื่อไทยเป็นเหมือนบ้านที่หล่อเลี้ยงหนูไว้ตั้งแต่คุณพ่อจากไป พรรคเพื่อไทยดูแลหนูแทนคุณพ่อเป็นอย่างดี เป็นที่ที่มีแต่ความอบอุ่น และหนูมีพี่น้องเสื้อแดงเป็นคนในครอบครัวที่อยู่กับหนูแทนคุณพ่อ พรรคเพื่อไทยยังคงทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่บกพร่อง คือดูแลพี่น้องประชาชนทุกคนให้อยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี เคารพหลักการประชาธิปไตย เป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้ หนูตัดสินใจไม่ผิดที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และเราเรียกมันว่า ครอบครัวเพื่อไทย” ลูกสาวเสธ.แดง ระบุ  

นางสาวขัตติยา เชื่อมั่นว่า ความฝัน ความหวังของพลตรีขัตติยะ ในการค้นหาความจริงและความยุติธรรม จะเป็นจริงได้ โดยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการนำความยุติธรรมกลับมา

“ลูกสาวของคุณพ่อคนนี้เข้มแข็ง เป็นนักสู้ไม่ต่างกับคุณพ่อ เพราะหนูอยากให้คุณพ่อภูมิใจในตัวหนู เหมือนที่หนูภูมิใจในตัวคุณพ่อ จนกว่าจะได้พบกัน คิดถึงคุณพ่อทุกวัน น้องเดียร์” นางสาวขัตติยา ระบุในตอนท้ายของการเปิด ‘จดหมายจากน้องเดียร์ถึงคุณพ่อ’

'จิราพร' ย้อนอดีตหลังบ้านสินธุไพร วอนฝ่ายประชาธิปไตยจับมือแน่น ‘แสวงจุดร่วม- สงวนจุดต่าง’ เพื่อชัยชนะของประชาชน

นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และกรรมการบริหาร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะของคนเสื้อแดงโดยจิตวิญญาณและลูกสาวของแกนนำคนเสื้อแดงโดยสายเลือด ที่สานต่ออุดมการณ์และภารกิจการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อจากบิดา นายนิสิต สินธุไพร แกนนำคนเสื้อแดง  ได้ย้อนภาพตนเองในวัยเด็ก เมื่อครั้งที่บิดายังเป็นข้าราชการครู เป็นประธานชมรมครูจังหวัดร้อยเอ็ด และผู้นำครูภาคอีสาน ได้เป็นแกนนำต่อสู้เพื่อทวงคืนผืนป่าสาธารณะดงเค็งใน อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด และยังเป็นแกนนำในการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหานมโรงเรียนบูด รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสรรอาหารกลางวันที่มีคุณภาพและทั่วถึงให้กับนักเรียน ก่อนจะตัดสินใจผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมือง  บิดาชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยของประเทศเริ่มเบ่งบาน ประชาชนกินดีอยู่ดี แต่หลังจากนั้นไม่นานเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง เกิดเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจในปี 2549 บิดาซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทยในขณะนั้นออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการทำรัฐประหาร เกิดเป็นกลุ่มการต่อสู้ภาคประชาชนที่ชื่อว่า “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก.” ก่อนจะยกระดับการต่อสู้และเปลี่ยนชื่อเป็น “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.” หรือ “คนเสื้อแดง” เป็นจุดเริ่มต้นของ “ชีวิตลูกสาวแกนนำคนเสื้อแดง” ของตน

นางสาวจิราพร ยังได้ย้อนภาพตนเองและครอบครัวเมื่อครั้งยังเด็ก เช่น ในช่วงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง มารดา ตนและน้องสาวได้ร่วมชุมนุมและให้กำลังใจบิดาและแกนนำหลังเวที  เป็น ‘ครอบครัวคนเสื้อแดง’ หลายครั้งที่ครอบครัวถูกคุกคามและถูกคนสะกดรอยตาม บ้านพักถูกกราดยิงด้วยอาวุธสงคราม ถูกไล่ยิงจากตึกสูงจากการเข้าร่วมชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน รวมทั้งช่วงที่แกนนำเสื้อแดงประกาศยุติการชุมนุมที่เวทีราชประสงค์ บิดาถูกควบคุมตัวไปยังค่ายนเรศวร จ.ประจวบคีรีขันต์  

ขณะนั้นคุณตาของตนได้เริ่มป่วยสุดท้ายได้จากครอบครัวไป โดยที่บิดาไม่มีโอกาสได้ดูใจ  หลังจากนั้นบิดาของตนต้องเดินเข้าออกเรือนจำไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง จากคดีที่เกิดจากการต่อสู้ทางการเมือง จนครั้งสุดท้ายถูกดำเนินคดีทางการเมืองและจำเป็นต้องลี้ภัย ช่วงเวลาหลังจากนั้นคุณย่าล้มป่วยลง บิดาของตนไม่มีโอกาสกลับมาดูใจ ทั้งหมดคือสิ่งที่ครอบครัวของตนต้องเผชิญ แต่เทียบไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดกับครอบครัวของพี่น้องเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้ของสามัญชนคนธรรมดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

สำหรับตนนั้น พรรคเพื่อไทยไม่ใช่แค่เพียงสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนเสื้อแดง แต่พรรคเพื่อไทยได้ร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องเสื้อแดง ยืนหยัดต่อสู้กับเผด็จการมากว่า 20 ปี   ไม่มีนักการเมืองพรรคใดที่ถูกยัดเยียดคดี ถูกยึดทรัพย์ ถูกจองจำ ถูกทำให้ขาดอิสรภาพจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมากเท่ากับคนของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้หมายความว่าสู้กว่าใคร แต่ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังคงยืนอยู่จุดเดิม ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง
 
นางสาวจิราพร ยังกล่าวอีกว่า  นายเกรียงไกร คำน้อย คนขับรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างจาก อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด คือคนเสื้อแดงคนแรก ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับใบอนุญาตสั่งฆ่าจากผู้มีอำนาจ ข้างศพของคุณเกรียงไกร มีเพียงหนังสติ๊ก อาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้ป้องกันตัวเองจากกระบอกปืน  ในตอนนั้น ครอบครัวได้ช่วยเหลือครอบครัวคำน้อยจัดงานศพอย่างสมเกียรติเพื่อไว้อาลัยและร่วมส่งดวงวิญญาณนายเกรียงไกร ซึ่งไม่ใช่เสื้อแดงคนสุดท้าย เพราะในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 มีประชาชนถูกฆ่าตายกลางเมืองหลวงรวม 99 ศพ มีผู้บาดเจ็บ พิการและทุพพลภาพ กว่า 2,000 คน  ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกยัดเยียดคดี ถูกยัดข้อกล่าวหา 

ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา คนเสื้อแดงถูกผู้มีอำนาจดูถูกเหยียดหยามด้อยค่า  ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่า ถูกหลอก ถูกจ้างมา ถูกผู้มีอำนาจยัดเยียดว่า ‘เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ’ เพื่อเป็นข้ออ้างในการ ‘ออกใบอนุญาตสั่งฆ่าประชาชน’ ทั้งที่ต้องการเพียงประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง   ถึงเวลาแล้วที่พี่น้องครอบครัวเสื้อแดงต้องผนึกกำลังกับ “ครอบครัวเพื่อไทย” บ้านหลังใหญ่ หลังเดิม เพื่อให้ได้ชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ชัยชนะกลับมาสู่ประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตย ร่วมกันต่อสู้เพื่อทวงคืนอำนาจรัฐให้กลับมาอยู่ในมือของประชาชน ให้อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของประชาชน  โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 

“วันนี้ ดิฉันยืนอยู่ตรงนี้  ในฐานะคนเสื้อแดง ในฐานะลูกสาวแกนนำคนเสื้อแดง เพื่อบอกกับคนที่ฆ่าและคนที่สั่งฆ่าพี่น้องเสื้อแดงว่า ‘คนเสื้อแดงฆ่าไม่ตาย’  ไม่มีอำนาจใดจะสามารถต้านทานกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของประชาชนได้  ขอเรียกร้องให้ฝ่ายประชาธิปไตยจับมือกันให้แน่น ‘แสวงจุดร่วม- สงวนจุดต่าง’ เพื่อชัยชนะของประชาชน และฝ่ายประชาธิปไตย” นางสาวจิราพรกล่าว

‘สุทิน คลังแสง’ ลั่น ‘เพื่อไทย-คนเสื้อแดง’ ยืนหยัดยึดมั่นอุดมการณ์ เดินหน้าสู่แลนด์สไลด์ ด้วยพลังบริสุทธิ์ของประชาชน เพื่อชัยชนะอย่างมั่นคงและยั่งยืน   

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน กล่าวบนเวที ‘ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม’ ที่จังหวัดสมุทรปราการว่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดความรู้สึก 2 อย่าง คือ หวานชื่นและขื่นขม เพราะทั้งเคยได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่และถูกกระทำอย่างโหดร้าย

นายสุทิน ขยายความว่า ‘หวานชื่น’ ก็คือ เราก่อตั้งพรรคเพียง 2 ปี ก็สามารถชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยพลังบริสุทธิ์ของประชาชนล้วนๆ ชนะเลือกตั้ง ได้นายกรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 4 คน เพราะเราชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง ทุกสถานการณ์ ทุกกติกา ส่วน ‘ขื่นขม’ ก็เพราะเราถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมและโหดร้าย ทั้งถูกยึดอำนาจโดยคณะรัฐประหาร 2 ครั้ง ในปี 2549 และ 2557 และถูกยุบพรรคอีก 2 พรรรค อีกทั้งผู้นำพรรคก็ยังถูกกลั่นแกล้ง โดนดำเนินคดีต่างๆ นาๆ ไม่เว้นแม้แต่มวลชนและผู้สนับสนุน ที่ต้องโดนเล่นงานไปด้วยทั้งถูกฆ่า กดดัน คุกคาม เล่นงานทั้งทางกฎหมายและทางธุรกิจ

“มวลชนผู้สนับสนุนพรรคที่สำคัญ ก็คือ คนเสื้อแดง ที่มีชะตากรรมร่วมกับพรรค ต้องถูกฆ่าไม่ต่ำกว่า 99 ศพ ถูกจับกุมคุมขัง ถูกคุกคามจนต้องหลบหนี ทำให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวและหลายคนครอบครัวต้องล่มสลาย ประสบการณ์ที่ขมขื่นเหล่านี้ หากเป็นพรรคการเมืองอื่น นักการเมืองกลุ่มอื่นที่ไม่มีอุดมการณ์มั่นคงคงไม่มีวันนี้ วันที่มีอุดมการณ์เดิมที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนและเป้าหมายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“ดังนั้นวันนี้ยังต้องมาถามกันอีกหรือว่าพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจะสู้หรือไม่ และจะสู้แค่ไหน การยืนหยัดอย่างทระนงในอุดมการณ์ของพรรคและคนเสื้อแดง คือสัญญาณที่ชัดเจนในวันนี้” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยประกาศย้ำแนวทางของพรรคอีกครั้ง

นายสุทิน กล่าวว่า วันนี้เราจำเป็นที่จะต้องตามหาประชาธิปไตย เอาความเป็นธรรมให้กับพี่น้องทั้งแผ่นดิน ที่ผ่านมาเราสู้เพื่อคนจนและสู้เพื่อคนทั้งแผ่นดิน ที่ผ่านมามีคนกล่าวหาว่าเราสู้ไม่จริง สู้ไปกราบไป แต่จากประสบการณ์ทั้งหวานชื่นและขื่นขม ทำให้เราต้องตั้งสติและปัญญาในการต่อสู้รอบใหม่ ชัยชนะที่จะได้มา เราจะไม่แลกด้วยการสูญเสียแม้แต่ชีวิตเดียวหรืออิสระภาพของลูกหลานเราแม้แต่คนเดียว

นายสุทิน กล่าวต่อว่า การต่อสู้ไม่ว่าสมรภูมิไหน คู่กรณีใด ประสบการณ์การต่อสู้ในอดีต คือ ตัวกำหนด ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทศาสตร์ยุทธวิธี เพราะไม่มีกองทัพใด การต่อสู้ใด ที่กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีเดิมๆ ที่เคยเพลี่ยงพล้ำหรือพ่ายแพ้ แต่ประสบการณ์ได้สอนและย้ำเตือนให้เราต้องยึดมั่นในอุดมการณ์เดิม เป้าหมายเดิมอย่างมั่นคง เพียงแต่ยุทธวิธีอาจปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้ติดกับดักและตกหลุมพลางที่เขาวางไว้

“ประสบการณ์ของเราได้ให้ข้อสรุปว่าเราต้องยืนหยัดบนวิถีที่โลกยอมรับ ตามหลักยุติธรรมและสันติวิธี ซึ่งชัยชนะที่เราชนะตลอด คือ สมรภูมิการเลือกตั้ง วันนี้เราจะสู้ในสมรภูมิที่เราได้เปรียบ คือ การเลือกตั้ง ที่เราจะชนะอย่างเบ็ดเสร็จ มั่นคงและยั่งยืน การเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ซึ่งอาวุธเดียวที่เรามีก็คือ เสียงอันบริสุทธิ์ของประชาชน เป็นอาวุธสำคัญของเราที่จะทำให้ได้รับชัยชนะอย่างมั่นคงและยั่งยืน เราจะเชิญชวนทุกคนกลับมาร่วมกันต่อสู้ครั้งนี้ในครอบครัวเพื่อไทย ตามเป้าหมาย แลนด์สไลด์ ที่เป็นทางออกให้ได้รับชัยชนะและทำให้พวกเราได้รอยยิ้มกลับมาทั้งแผ่นดิน” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net