Skip to main content
sharethis

เพื่อไทย จัดการปราศรัยใหญ่ ‘อยากใช้เพื่อไทย เลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด’ โชว์ 5 นโยบาย ‘ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้-กระจายความมั่งคั่งให้คนกรุงเทพฯ’ 'แพทองธาร' ขอชาว กทม.เลือก ส.ก.เพื่อไทยให้เกินครึ่ง แนะ 3 วิธีเลือกผู้ว่าฯกทม เลือกนโยบายที่ชอบ มีความตั้งใจ ไม่ขายฝัน ‘จาตุรนต์’ ปลุกคนกรุงเทพฯ เลือกให้ชนะขาด สร้างปรากฎการณ์ ‘แลนด์สไลด์กรุงเทพฯ’ ร่วมกันเปลี่ยนกรุงเทพฯ ส่งสัญญาณเปลี่ยนรัฐบาล พาประเทศพ้นวิกฤต

18 พ.ค.2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานต่อสื่อมวลชนว่า พรรคเพื่อไทย จัดการปราศรัยใหญ่ ‘อยากใช้เพื่อไทย เลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด’ รณรงค์เลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พรรคเพื่อไทย เพื่อกู้วิกฤตกรุงเทพฯ โดยตัวแทนผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยนำเสนอแนวนโยบาย ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า’  ของพรรคเพื่อไทย ด้วย 5 นโยบายหลัก คือ กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี , 50 เขต 50 โรงพยาบาล , 30 บาทถึงที่หมาย , 437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้ และ 50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อนำไปสู่การคืนความมั่งคั่งให้คนกรุงเทพฯ อีกครั้ง 

ทัดดาว ตั้งตรงเจริญ  ผู้สมัคร ส.ก.เขตราชเทวี ปราศรัยนำเสนอนโยบาย ‘50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์’ ว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นเพียงการจะเข้ามาจัดโซนนิ่งให้พ่อค้าแม่ค้าในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่มุ่งที่จะปลุกของดีของแต่ละเขต มาเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมให้เกิดการเรียกเม็ดเงินมาเข้ากระเป๋าพี่น้องประชาชน ให้ทุกคนมีงาน มีเงิน ต่อยอดเศรษฐกิจให้คนกรุงเทพฯ และตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย คือพรรคการเมืองเดียวที่ผลักดันนโยบายต่างๆ ในการหาเสียงให้เป็นจริงได้ ดังนั้นถ้ายากใช้เพื่อไทย 22 พฤษภาคมนี้ต้องเลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด ทั้ง 50 เขต แลนด์สไลด์ทั่วกรุงเทพฯ 

เนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย ผู้สมัคร ส.ก.เขตบึงกุ่ม ปราศรัยนำเสนอนโยบาย ‘437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้’ ว่า การระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาคนไทยต้องทุกข์ยากแสนสาหัส เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเศรษฐกิจปากท้อง และเป็นปัญหาหลักของคนกรุงเทพฯ ดังนั้นนโยบายของพรรคเพื่อไทยจึงตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ที่สุด โดยจะเป็นการเสริมทักษะเพิ่มศักยภาพให้พี่น้องประชาชนโดยตรงผ่านโรงเรียนสอนอาชีพที่อยู่ใกล้กับชุมชน พรรคเพื่อไทยเล็งเห็นความสำคัญในการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เพิ่มศักยภาพ ผ่านคอร์สการฝึกอาชีพให้พี่น้องประชาชนได้เรียนฟรี ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสในการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้พี่น้องประชาชน

สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ผู้สมัคร ส.ก. เขตลาดกระบัง ปราศรัยนำเสนอ ‘30 บาทถึงที่หมาย’ ว่า กรุงเทพฯ มีปัญหารถติดมายาวนาน ซึ่งไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ วันนี้ฝนตก น้ำท่วม รถเมล์และรถโดยสารธารณะต้องรอนานเป็นชั่วโมง อัตราค่าแรงขั้นต่ำของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ 300 กว่าบาท แต่ก็ไม่พอใช้ในการดำรงชีวิต เพราะค่าโดยสารรถสาธารณะที่แพงมาก โดยเฉพาะรถไฟฟ้าของกรุงเทพฯ ที่สูงติดระดับโลก คือสูงกว่า 40% ของค่าแรงขั้นต่ำ พรรคเพื่อไทยจึงเสนอให้มีการรื้อระบบสัมปทานที่อีรุงตุงนังกันอยู่เพื่อทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าลดราคาลงมา  เพราะเรื่องการเดินทาง การคมนาคมขนส่งสาธารณะ ควรเป็นเรื่องสวัสดิการของรัฐในการดูแลประชาชน ที่จะต้องเลิกหากำไรกับประชาชน รวมทั้งควรต้องเพิ่มจำนวนรถโดยสารให้เพียงพอ รวมไปถึงการใช้ระบบตั๋วโดยสารที่สามารถใช้ได้กับการขนส่งสาธารณะทุกแบบ    

นฤนันมนต์ ห่วงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ก. เขตคลองสามวา ปราศรัยนำเสนอนโยบาย ‘กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี’ ว่า นโยบายนี้ต่อยอดจากนโยบายกองทุน SML ที่พรรคเพื่อไทยผลักดันจนประสบความสำเร็จ สร้างประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศมานานนับ 10 ปี และ กองทุนพัฒนาชุมชนนี้ หมู่บ้านจัดสรร คอนโดในกรุงเทพฯ ที่มีมากกว่า 6,000 ชุมชน จะได้รับเท่าเทียมกันทั้งหมด ปีละ 200,000 บาท เพื่อไปแก้ไขปัญหาภายในชุมชนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการถังดับเพลิงสำหรับชุมชน สนามเด็กเล่นหรือความต้องการของพี่น้องประชาชนด้านอื่น ซึ่งพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นความสำคัญของพี่น้องประขาชน ที่จะต้องมีอำนาจในการบริหารจัดการเงินภาษีของตัวเอง เพื่อแก้ไขปัญหาในชุมชนของตัวเอง

นิกร ซัจเดว ผู้สมัคร ส.ก.เขตวัฒนา ปราศรัยนำเสนอนโยบาย ‘50 เขต 50 โรงพยาบาล’ ว่า การระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ เข้าไม่ถึงการรักษา “ครอบครัวของผมก็ต้องสูญเสียคุณพ่อไป เพราะโควิด-19 เนื่องจากประสานงานไปทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน แต่ไม่สามารถมีเพียงรองรับได้ สุดท้ายผมต้องเสียคุณพ่อไป เพราะความบกพร่องของระบบสาธารณสุขของรัฐบาล ดังนั้นเราจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของนโยบายสาธารณสุขที่ล้มเหลวของรัฐบาล และ คนกรุงเทพฯ จะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของนโยบายสาธารณสุขที่ล้มเหลวของรัฐบาลแบบนี้อีก” 

นิกร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยนำเสนอนโยบาย ‘50 เขต 50 โรงพยาบาล’ เพื่อดูแลชีวิตคนกรุงเทพฯ และเรายืนยันว่าเราจะไม่ลืมคนกรุงเทพฯ ที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปหาหมอ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงและถ้วนหน้า

แพทองธาร ขอชาว กทม.เลือก ส.ก.เพื่อไทยให้เกินครึ่ง แนะ 3 วิธีเลือกผู้ว่าฯกทม เลือกนโยบายที่ชอบ มีความตั้งใจ ไม่ขายฝัน 

แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย  กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับชาวกรุงเทพมหานครที่ได้เลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในรอบ 12 ปี  ที่ผ่านมาได้พบกับผู้สมัคร ส.ก.หลายเขตของพรรคเพื่อไทย  ทุกคนทำงานช่วยเหลือประชาชนอย่างสุดความสามารถทั้งที่ยังไม่ได้มีการประกาศการเลือกตั้ง และเมื่อได้มาลงพื้นที่ร่วมกับผู้สมัคร ส.ก.ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า การทำงานของ ส.ก. ไม่ง่าย ทุกเขตมีปัญหาที่แตกต่างหลากหลาย ดังนั้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565  จึงอยากให้เลือกผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทยมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อจะได้ไปช่วยเหลือแบ่งเบาพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่

แพทองธาร ยังได้เปิดแนวทางการเลือกผู้ว่าฯกทม.ของตน ต่อพี่น้องประชาชนที่มาร่วมฟังปราศรัยใหญ่ของผู้สมัคร ส.ก. พรรคเพื่อไทยใน 3 แนวทาง ได้แก่ 

1.เลือกที่นโยบายที่ชอบ ที่จะแก้ปัญหาชาวกรุงเทพได้จริง 
2.เลือกคนที่ตั้งใจทำงาน ตั้งใจพบปะพี่น้องประชาชน อยากพัฒนากรุงเทพให้ดีขึ้นอย่างจริง
3..จะไม่เลือกคนที่เอานโยบายขึ้นมาขายฝัน ที่มีแต่ในฝัน ไม่เกิดขึ้นจริง

“พรรคเพื่อไทย เน้นย้ำเสมอว่า อะไรที่สัญญากับประชาชนไปต้องทำให้ได้ จึงขอให้คนกรุงเทพฯ โชคดี ขอให้มีคณะทำงานของพรรคเพื่อไทยเข้าไปช่วยผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น  ขอให้ได้ผู้ว่าฯกทม.ที่มีคุณภาพ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้กับทุกฝ่ายค่ะ” นางสาวแพทองธารกล่าว

‘จาตุรนต์’  ปลุกคนกรุงเทพฯ เลือกให้ชนะขาด สร้างปรากฎการณ์ ‘แลนด์สไลด์กรุงเทพฯ’ ร่วมกันเปลี่ยนกรุงเทพฯ  ส่งสัญญาณเปลี่ยนรัฐบาล พาประเทศพ้นวิกฤต   

จาตุรนต์ ฉายแสง  อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ปราศรัย บนเวทีปราศรัยใหญ่ ‘อยากใช้เพื่อไทย เลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด’ รณรงค์เลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พรรคเพื่อไทยให้เข้าสภา กู้วิกฤตกรุงเทพฯ ว่า หลังรัฐประหาร 2557 เผด็จการเข้าแทรกแซงการปกครองและการบริหารกรุงเทพฯ โดยแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม.และแต่งตั้งบุคคลมาทำหน้าที่  ส.ก. ซึ่งพี่น้องประชาชนรับทราบกันดีอยู่แล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสร้างปัญหาและความทุกข์ยากมากแค่ไหน 

จาตุรนต์ กล่าวว่า กรุงเทพฯ ยังมีศักยภาพอีกมากมายที่จะพัฒนาไปได้ หากมีการบริหารจัดการที่ดีโดยคนที่มีศักยภาพ แต่ที่สำคัญคือจะต้องมีคนของประชาชนไปกำกับการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. แล้วจะทำให้กรุงเทพฯ กลับมาสามารถดูแลคนทุกระดับได้ ทำให้ทุกคนเป็นเจ้าของกรุงเทพฯ ไปด้วยกัน โดยผู้ว่าฯ และผู้บริหาร กทม. จะต้องร่วมมือกับ ส.ก. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพฯ ดีขึ้นกว่านี้ได้  

จาตุรนต์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย จะไม่คิดไปบงการครอบงำการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. คนใด ถ้าเรามี ส.ก. ที่เข้าใจปัญหาประชาชน จำนวนมากพอ การตรวจสอบ การกำกับการทำงานและเอานโยบายไปเจรจาหารือกับผู้ว่าฯ กทม. ก็ทำได้ง่ายขึ้น และนโยบายต่างๆ เพื่อประชาชนก็จะเป็นจริงได้ง่ายขึ้น พรรคเพื่อไทยจะทำอย่างตรงไปตรงมา และอย่างน้อยที่สุดเราต้องได้ ส.ก. 25 คนขึ้นไป ที่เขาเรียกว่าแลนด์สไลด์ และการเลือกตั้ง ส.ก. ครั้งนี้จะเป็นแลนด์สไลด์แรกของพรรคเพื่อไทย

“ในภาวะวิกฤตนี้พี่น้องประชาชนต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นโอกาสดีที่พรรคเพื่อไทย จะร่วมมือกับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การร่วมมืกับประชาชนทั้งประเทศเปลี่ยนรัฐบาล ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง เป็นแลนด์สไลด์ที่ 2 และ 22 พฤษภาคมนี้จึงเป็นโอกาสดีของคนกรุงเทพฯ ที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะร่วมกันเปลี่ยนประเทศด้วยการเปลี่ยนรัฐบาล เราจะร่วมกับพี่น้องคนกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯให้ดีขึ้น และเปลี่ยนประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤต” อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าว 

ความเชื่อมั่นประชาชนคือมรดกของเพื่อไทย 'ขัตติยา' ขอคนกรุงเลือกมั่นใจทุกนโยบายทำได้จริง 

ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ประชาชนรอเวลาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) มากว่า 9 ปี จากการที่คณะรัฐประหารออกคำสั่ง คสช. มาตรา 44  แต่งตั้ง ส.ก. 30 คน ซึ่งเกินครึ่งของสภา กทมฯ  แม้ระยะเวลาผ่านมานาน แต่พรรคเพื่อไทยไม่ละทิ้งประชาชนทุกพื้นที่  ผู้สมัคร ส.ก.เพื่อไทยได้ลงพื้นที่เคาะประตูบ้านพี่น้องชาวกรุงเทพฯ มาโดยตลอด ทั้งในยามปกติและในยามวิกฤต   โดยมุ่งหวังจะเป็นตัวแทนของพี่น้องชาวกรุงเทพฯ  โดยเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (First Voter)  กว่า 7 แสนคน  ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน 

ขัตติยา กล่าวอีกว่า ผู้ว่าฯกทม. มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดทำนโยบาย จัดสรรงบประมาณ 1 แสนล้านบาท  วางแนวทางการแก้ปัญหาให้พี่น้องชาวกรุงเทพฯ  ขณะที่ ส.ก.มีหน้าที่พิจารณาและตรวจสอบการทำหน้าที่ การดำเนินนโยบาย การใช้งบประมาณของผู้ว่าฯ กทม. และส่วนราชการกรุงเทพมหานคร รวมทั้งข้อบัญญัติของกรุงเทพฯ หรือข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชน  การทำหน้าที่ของ ส.ก. จึงมีความสำคัญเทียบเท่ากับผู้ว่าฯ กทม.  จึงขอยืนยันว่า ผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคเพื่อไทย  รู้ถึงแก่นแท้ปัญหาของพี่น้องประชาชน พร้อมดูแลประชาชนในทุกมิติ   ดังนั้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 สิทธิ์และเสียงเป็นของพี่น้องชาวกรุงเทพฯทุกคน  

“พรรคเพื่อไทยมีมรดก คือ ความเชื่อมั่นที่ประชาชนมอบให้ เพราะทุกครั้งที่เราพูด เราทำได้ทุกครั้ง  ทุกอย่างที่พูดคือข้อผูกพัน  ที่เราทำมันได้จริง  ขอโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้รักษามรดกนี้ไว้ ไว้ใจพรรคเพื่อไทย อยากใช้เพื่อไทยเลือกเพื่อไทยให้ชนะขาดทั้งกรุงเทพมหานครค่ะ” ขัตติยา กล่าว

ปักหมุดความมั่งคั่งให้คนกรุงเทพ  ‘ดนุพร’ ปลุกเลือกให้ชนะขาดเกินครึ่ง เดินหน้าเปลี่ยนกรุงเทพด้วยเสียงข้างมากจากประชาชน 

ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พรรคเพื่อไทยกล่าวในการปราศรัยใหญ่ ‘อยากใช้เพื่อไทย เลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด’ รณรงค์เลือกตั้ง ส.ก.เพื่อไทย ว่า การเลือกตั้ง ส.ก. ครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่นำเสนอให้พี่น้องประชาชนในการแก้ปัญหาพื้นฐาน ทั้งเรื่องน้ำท่วม การกำจัดขยะมูลฝอย การแก้ไขปัญหามลพิษ แล้วก็ยังมีนโยบายเด่น 5 ด้าน ที่ตอบโจทย์การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ 

นโยบาย ‘30 บาทถึงที่หมาย’ เราคิดขึ้นมาเพราะรู้ว่าคนกรุงเทพฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางจำนวนมากจึงทำนโยบายให้สามารถเดินทางถึงที่หมายได้ในราคารวมเพียงแค่ 30 บาท เพื่อลดรายจ่ายให้พี่น้องประชาชน  

นโยบาย ‘437 สถานศึกษา พัฒนาสร้างรายได้’ เป็นนโยบายส่งเสริมการฝึกอาชีพให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต นำเสนอหลักสูตรที่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน และเรียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

นโยบาย ‘กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี’ นโยบายนี้เป็นเงินภาษีของประชาชนซึ่งรู้ดีที่สุดว่าในชุมชนต้องการอะไร การเอาเงินภาษีไปบริหารจัดการสร้างโครงการที่เป็นประโยชน์ได้เอง เช่น ลานกีฬา สถานรับเลี้ยงเด็กในเวลากลางวัน

นโยบาย ‘50 เขต 50 โรงพยาบาล’  ต่อยอดมาจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งจะดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนและครอบครัวให้แข็งแรง

และนโยบาย ‘50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์’ ซึ่งอาจดูเข้าใจยากและมีคำถามว่าจะสร้างรายได้ให้อย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ  เช่นเขตพระนคร มีวัดและสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก ก็จะส่งเสริมให้จัดถนนคนเดินที่ถนนดินสอ เปิดตลาดนัดคนเมืองให้พ่อค้าแม่ค้า ส่งเสริมให้ร้านค้าอาหารอร่อยมาเปิดสตรีทฟู้ดสร้างรายได้ให้ชุมชน และจะทำแบบนี้ทั้ง 50 เขต

ดนุพร กล่าวว่า  การนำเสนอนโยบายของเราไม่ใช่การขายฝัน แต่สามารถทำได้จริง ถ้าวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ท่านเลือก ส.ก. พรรคเพื่อไทย ให้ชนะขาด แล้วก็จะเป็นหน้าที่ของเรา ในการทำฝันเหล่านี้ให้เป็นจริง และเมื่อเรานำเสนอนโยบาย สิ่งที่ตามมาคือ วาทกรรมใส่ร้ายป้ายสี  ไม่ว่าจะใส่ร้ายว่าเขาเป็นคนดี เราเป็นคนโกง และที่ร้ายแรง คือการใส่ร้ายว่าถ้าเลือกเพื่อไทยเท่ากับเลือกระบอบทักษิณ จึงขอเรียนว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าระบอบทักษิณ คือประชาชนที่ตื่นแล้ว เพราะประชาชนที่ตื่นแล้วจะรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร รู้ว่าประชาธิปไตยดีกว่าขนาดไหน และเมื่อตื่นแล้วก็จะไม่หลับใหลไปกับระบอบเผด็จการตลอดไป 

“วันนี้พรรคเพื่อไทย จะเข้ามาแก้ไขและแก้แค้น แก้แค้นกับปัญหาความยากจน ความอดอยากยากลำบากของคนกรุงเทพฯ เราขอทำงานไม่คิดชนกับใคร แต่ขอทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหาใหม่ เพราะฉะนั้น การเลือกตั้ง ส.ก. วันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ขอแรงพี่น้องทุกคน ร่วมกันปักหมุดความมั่งคั่งให้คนกรุงเทพ เลือก ส.ก.เพื่อไทย อย่างน้อย 25 คนขึ้นไป เพื่อไปผลักดันเปลี่ยนแปลงกรุงเทพด้วยเสียงของพวกเราทุกคน” ประธานคณะกรรมการรณรงค์การเลือกตั้ง ส.ก. พรรคเพื่อไทยกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net