แอมเนสตี้ฯ และพิพิธภัณฑ์สามัญชนร่วมจัดนิทรรศการศิลปะ “เลือนแต่ไม่ลืม” (Lost, and life goes on) นำเสนอเหตุการณ์พฤษภาฯ ทมิฬเมื่อปี 2535 ผ่านเรื่องราวการ "สูญหาย (lost)” และ “ชีวิต (life)” ของญาติผู้สูญหายที่ยังคงดำเนินต่อไปตลอดระยะเวลา 30 ปี ผ่านงานศิลปะ สารคดี และภาพยนต์สั้น
ฝ่ายสื่อสารของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยรายงานถึงนิทรรศการศิลปะเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารหมู่ในเดือนพฤษภาคมปี 2535 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “พฤษภาทมิฬ” ที่มีชื่อนิทรรศการว่า “เลือนแต่ไม่ลืม” (Lost, and life goes on) ที่เล่าถึงความทรงจำต่อเหตุการณ์ที่มีทั้งผู้เสียชีวิตและผู้สูญหาย โดยเป็นการร่วมจัดระหว่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และพิพิธภัณฑ์สามัญชนที่ Palette Artspace ทองหล่อและมีงานเปิดนิทรรศการไปเมื่อ 21 พ.ค.2565
ศิลปินที่มาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ ได้แก่ Thai Political Tarot, ประชาธิปไทป์, Thisismjtp, Setthasiri Chanjaradpong, และ Pavarit Tanapiyavanit ซึ่งร่วมกันตีความ “ความทรงจำ” ถึง “ผู้ถูกบังคับสูญหาย” สู่ผลงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ โดยศิลปินได้ร่วมกันสะท้อนแรงบันดาลใจในการร่วมจัดนิทรรศการชุดนี้เพื่อเดินทางตามหาความทรงจำที่เคยถูก “ลบ” แต่ไม่ “ลืม” ของผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหาย แต่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของคนที่ยังรอพวกเขากลับบ้าน
Thai Political Tarot คือเด็กหญิงที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ชุมนุมตอนเกิดเหตุการณ์พฤษภา 2535 เธอโตมากับเรื่องราวที่พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อได้พาพี่ชายไปร่วมชุมนุมด้วยที่ท้องสนามหลวง และได้เดินทางกลับบ้านก่อนการสลายการชุมนุม เธอได้รับรู้เรื่องราวของพฤษภา 35 ผ่านหนังสือเรียนที่สรุปสั้น ๆ ว่ามีคนเจ็บ มีคนตาย และได้ตั้งคำถามถึงการถูกบังคับให้สูญหายหลังจากได้รับรู้อีกแง่มุมของเรื่องราว
ในงานนิทรรศการชุดนี้ เธอรับหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ หรือ คิวเรเตอร์ (Curator) เพื่อนำเสนอความเป็นจริง ผ่านการจัดวางรูปแบบความจริงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ในวันเกิดเหตุ ภาพถ่าย โปสเตอร์ หนังสือเรียน สิ่งของและข้อมูลต่าง ๆ สะท้อนภาพความจริงที่ถูกนำเสนอแก่ประชาชนในเวลานั้น
และยังเป็นหนึ่งในศิลปินที่เล่าถึงความทรงจำทั้งในมุมของญาติ และการรับรู้ของสังคม ผ่านภาพถ่ายของผู้สูญหายในหนังสือครบรอบ 5 ปี ที่นำไปถ่ายเอกสารจนกระทั่งค่อย ๆ เลือนจางจนแทบมองไม่เห็น และอีกผลงานคือการเชิญศิลปินคนอื่น ๆ มาวาดภาพของผู้สูญหายขึ้นมาใหม่จากความทรงจำของญาติ
“ยังมีคนถูกบังคับสูญหายเพราะคิดต่างอยู่ ดังนั้นการสูญหายมันไม่ได้ไกลตัวเราขนาดนั้น”
“ผลงานของเราพูดถึงการลืมและการจดจำ โดยเฉพาะผู้ที่สูญหายไปในยุคอนาล็อกซึ่งเทคโนโลยียุคนั้นทำให้ภาพถ่ายหรือเบาะแสเกี่ยวกับคนคนหนึ่งมันจำกัดมาก ๆ เมื่อเวลาผ่านไปนาน ร่องรอยชีวิตของคนเหล่านี้ก็เริ่มเลือนหายไป การไม่มีร่องรอยให้จดจำมันเหมือนการหายไปจริงๆ เราจึงสร้างกระบวนการเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นเราร่วมจดจำผู้สูญหาย ผลงานนี้จึงเกิดจากความร่วมมือของศิลปินอีกหลายคนที่ตระหนักในประเด็นนี้”
ด้านประชาธิปไทป์ อีกหนึ่งในศิลปินที่ร่วมจัดแสดงงานเล่าว่า ตอนนั้นเขาเป็นเด็กม.ต้น ที่ได้ยินว่าคนออกมาประท้วงรัฐบาลที่เอาพลเอกสุจินดาขึ้นเป็นนายกหลังจากรัฐประหารนายกชาติชาย แล้วก็มีการสังหารหมู่ และเขาได้ปิดเทอมเพิ่มจากเดิมไปอีกหน่อย
ผลงานของเขาในนิทรรศการนี้ ฉายภาพความทรงจำใน พ.ศ. 2535 ของวัยรุ่นที่อาจยังไม่ประสีประสาทางการเมือง ผ่านภาพยนตร์ ละคร เพลง ที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น ซึ่งจัดวางด้วยลักษณะของเลข 35 และหากเข้ามามองภาพเหล่านั้นใกล้ขึ้น จะพบภาพเหตุการณ์ความรุนแรงของเดือนพฤษภาซ่อนอยู่ด้านหลังในจุดที่ลึกที่สุด ซึ่งมีผลกระทบมากพอที่จะทำลายชีวิตของหลายครอบครัว ที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรมจนถึงปัจจุบัน
“เราได้รู้ว่าอาชญากรรมโดยรัฐโหดร้ายต่อจิตใจครอบครัวของผู้สูญเสีย หรือสูญหายมากขนาดไหน พอได้กลับไปฟังเรื่องราวของแต่ละคน รู้ว่าเขาฟังเพลงอะไร ดูหนังอะไร ซึ่งเราเคยเอนจอยในช่วงนั้นในฐานะวัยรุ่น มันรีเลทได้ จนรู้สึกใจหาย”
Thisismjtp เล่าว่า ในช่วงเกิดเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 เธอยังไม่เกิด แต่มีโอกาสได้ฟังแม่เล่ามาตั้งแต่เด็กว่าประเทศไทยมีเหตุการณ์สำคัญอย่างพฤษภาทมิฬ ตอนแรกเธอก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่มีความรุนแรง มีคนตาย มีคนสูญหาย ในชั้นเรียนก็มีครูเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าเป็นมาอย่างไร แต่เธอเด็กเกินจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ โตมาถึงได้เข้าใจว่ามันโหดร้ายแค่ไหน ร้ายแรงมากพอที่จะทำให้พ่อแม่เรากลัวฝังใจเมื่อวันหนึ่งลูกๆ ของพวกเขาโตมาแล้วลงถนนเหมือนกัน
เมื่อเราถามเธอว่าได้เห็นอะไรเมื่อได้มาเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการนี้ เธอตอบว่า เธอได้เห็น “ความรักและความหวัง” และความรักและความหวัง ได้กลายมาเป็นผลงาน Risograph ในนิทรรศการนี้ ที่สรรค์สร้างงานศิลปะที่การสะท้อนภาพความรู้สึกของญาติผู้สูญเสียใน 3 ขั้น ขั้นแรกคือความไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้น ขั้นที่สองคือการตามหาญาติไม่พบ ขั้นที่สามคือความคลุมเครือและค่อย ๆ เลือนราง
“งานของเราจะเล่าเรื่องเป็น 3 ช่วงตามลำดับเวลา นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์มาจนปัจจุบัน ความรุนแรงที่ไม่คาดคิด ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน ไม่รู้จะหาอย่างไร ไม่รู้เมื่อไหร่จะพบกัน โดยใช้เทคนิค Risograph เป็นภาพพิมพ์กึ่งอนาล็อกที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากงานพิมพ์ดิจิตอล พิมพ์ทีละชั้นและซ้อนกันสร้างความ Chaotic และบางเบาได้ในเวลาเดียวกัน”
ส่วน Setthasiri Chanjaradpong บอกว่าเมื่อปี 2535 เขายังอยู่ในท้องแม่ เขามารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นในภายหลังว่าในวันนั้นมีคนบาดเจ็บ มีคนเสียชีวิต มีคนอดอาหาร และเขาได้ร่วมเดินทางตามหาความทรงจำจนกลายมาเป็นผลงานศิลปะที่เขาได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้ที่ที่เขาได้รับรู้ว่ามีผู้สูญหายเมื่อสามสิบปีที่แล้ว
เขานำเสนอผ่านวิดีโออินสตอลเลชันที่บอกเล่าของคนที่เกิดในปี 2535 ด้วยโทรทัศน์ที่มีอายุ 35 ปีเท่ากับเจ้าของผลงาน เรื่องราวในวิดีโอฉายภาพญาติของผู้สูญหายที่ตามหาคนในครอบครัวที่หายไปไม่รู้จบ
“ยกหูขึ้นมา กดเลขหมายปลายทาง แล้วรอสาย เมื่อขึ้นเสียงสัญญาณรอสาย การต่อสายสำเร็จ หลังจากนั้นเราหวังให้ปลายสายรับสักที แต่เสียงสัญญาณรอสายทำให้เวลาช้าลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แล้วถ้าการรอนี้ไม่สิ้นสุด การรอนี้มันพรากโอกาสอะไรจากคนที่รอไปแล้วบ้าง และถ้ายังมีความหวังการตามหาจะต้องใช้ต้นทุนอะไร แล้วถ้าทำใจว่าจะเลิกตามหาแล้ว บุคคลที่สูญหายไปก็จะถือว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเสียชีวิต เช่น ยังไม่เจอศพหรือชิ้นส่วน
ความเสียหายที่นี้เกิดขึ้นไม่สามารถฟ้องร้องได้ มรดกที่ไม่สามารถจัดการได้ ถ้าแต่งงานก็หย่าไม่ได้กลายเป็นจากภาวะค้างเติ่งของญาติผู้สูญหาย เมื่อเราได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้แล้ว เราเชื่อว่าวันหนึ่งคนที่หายไปจะกลับมา เขาอาจจะไม่ได้กลับมาในรูปของชิ้นส่วน เขาอาจจะกลับมาในแบบอื่นๆ และพวกเขาจะกลับมาพร้อมความเปลี่ยนแปลง”
อีกหนึ่งศิลปินที่มาร่วมแสดงนิทรรศการ Pavarit Tanapiyavanit เล่าว่า ตอนนั้นเขายังไม่เกิด แต่เขาได้รับรู้จากการศึกษาด้วยตัวเอง เพราะในระบบการศึกษาไม่ได้มีการพูดถึงเหตุการณ์พฤษภา 35 ในแง่มุมอื่น ๆ
“เรารู้ว่าเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและจบด้วยความรุนแรง บทบาทของชนชั้นกลางกับการเคลื่อนไหว และบทบาทของสถาบันกับการเมืองไทยที่ค่อนข้างชัดเจน”
“การเข้าร่วมนิทรรศการครั้งนี้ได้เห็นข้อมูลผู้สูญหายที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมมาจนถึงปัจจุบัน เราทุกคนล้วนอยู่ในสังคมที่ไม่สามารถการันตีความปลอดภัยในชีวิตได้”
งานของเขาจึงเกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์ให้เป็นพื้นที่ระลึก ศึกษาอดีตที่เลือนลาง และตระหนักต่อสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ภายใต้ระบบเผด็จการ
“ภายใต้ระบบเผด็จการ ทุกอย่างล้วนอยู่บนความไม่แน่นอน และการไม่ศึกษาอดีตนั้น อาจนำพาไปสู่ปัญหาเดิม ๆ ได้ ซึ่งปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม้เว้นแม้แต่ตัวเราเอง”
นิทรรศการ “เลือนแต่ไม่ลืม” (lost, and life goes on) จัดแสดงระหว่างวันที่ 21-29 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.00-19.00 น. ที่ Palette Artspace ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)