เมื่อต้น มิ.ย. ที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจ (Ad Hoc Committee) ตามมติของสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติที่กรุงเวียนนา เพื่อร่างสนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ฉบับใหม่ แต่ข้อเสนอบางอย่างต่อร่างฉบับนี้กลับดูจะไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ และขัดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในสายตาขององค์กรสิทธิ
Electronic Frontier Foundation (EFF) ระบุเมื่อ 8 มิ.ย. ว่ามีประเทศที่เสนอให้บรรจุความผิดเกี่ยวกับการพูด (Speech-related offences) เข้าไปในสนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์กว่า 15 ประเทศ ได้แก่ อิยิปต์ จอร์แดน รัสเซีย เบลารุส บุรุนดี จีน นิการากัว ทาจิกิสถาน คูเวต ปากีสถาน อัลจีเรีย ซูดาน บูร์กีนาฟาโซ อินเดีย และแทนซาเนีย ทั้งนี้ ยังไม่พบประเทศไทยอยู่ในรายชื่อ
ประเทศเหล่านี้ หากไม่เสนอให้ปราบปรามคำพูดที่อ้างว่าสร้างความเกลียดชัง ก็เสนอให้ปราบปรามเนื้อหาที่อ้างว่าเป็นข้อมูลเท็จ หรือมีลักษณะเหยียดชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของข้อเสนอกลับมีลักษณะที่คลุมเครือ นอกจากองค์กรสิทธิจะเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือประเด็นหลักของอาชญากรรมไซเบอร์ ข้อเสนอเหล่านี้ยังขัดต่อหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วย
ตัวอย่างเช่น จอร์แดน ซึ่งเป็นระบอบที่กษัตริย์มีอิทธิพลครอบงำการเมืองอย่างมาก เสนอให้กำหนดโทษอาญากับ "คำพูดสร้างความเกลียดชัง หรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นศาสนาหรือรัฐโดยใช้เครือข่ายข้อมูลหรือเว็บไซต์" ด้าน อียิปต์ ซึ่งปกครองแบบอำนาจนิยมมาตั้งแต่การรัฐประหาร พ.ศ. 2556 เสนอให้สนธิสัญญาห้ามการ "เผยแพร่ความขัดแย้ง การยุยงปลุกปั่น ความเกลียดชัง การเหยียดชาติพันธุ์"
รัสเซีย เสนอความเห็นในนามของ เบลารุส จีน นิการากัว และทาจิกิสถาน เรียกร้องให้สนธิสัญญาห้ามการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเผยแพร่หรือเข้าถึงเนื้อหาที่ "ชักชวนให้กระทำการผิดกฎหมาย โดยมีแรงจูงใจจากความเกลียดชัง ความเป็นศัตรู การรณรงค์ หรือการให้ความชอบธรรมกับการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อุดมการณ์ สังคม เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ หรือศาสนา"
นอกจากนี้ รัสเซียและคณะยังเสนอให้สนธิสัญญาห้ามการผลิตหรือใช้ข้อมูลดิจิตัลโดยมีเจตนาที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้ใช้ และอาจนำไปสู่อันตราย สอดคล้องกับ แทนซาเนีย ที่ผู้นำรัฐบาลอยู่ในอำนาจมากว่าครึ่งศตวรรษ และสั่งให้เจ้าหน้าที่ปราบปรามผู้เห็นต่างก่อนการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว (2564) จนผู้นำฝ่ายค้านต้องลี้ภัยไปอยู่ในต่างประเทศ เสนอให้สนธิสัญญาฉบับนี้ห้าม "การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ"
การประชุมครั้งนี้มีผู้เสนอความเห็นต่อร่างสนธิสัญญาทั้งหมด 37 ประเทศ โดยการปรึกษาหารือเกิดขึ้นเป็นรอบที่ 2 เมื่อ30 พ.ค.- 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จะมีการจัดประชุมขึ้นทั้งหมด 6 ครั้ง สถานที่จัดสลับกันระหว่างกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเสร็จแล้วจะมีการนำร่างสนธิสัญญาส่งให้สมัชชาใหญ่แห่งองค์กรสหประชาชาติพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 78 ในวันที่ 12 ก.ย. 66
นอกจากเปิดให้รัฐต่างๆ แสดงความเห็นแล้ว คณะกรรมการเฉพาะกิจยังเปิดให้องค์กรที่ไม่ใช่รัฐและผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นด้วย ทั้งนี้ EFF และองค์กรสิทธิกว่า 130 องค์กรได้ยื่นจดหมายต่อคณะกรรมการเพื่อเตือนแล้วว่ากฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อโจมตีนักข่าว ผู้เปิดโปงการทุจริต ผู้เห็นต่างทางการเมือง นักวิจัยด้านความมั่นคง ประชาคม LGBTQ และผู้พิทักษ์สิทธิมนุษชนได้
ไม่ใช่สาระสำคัญของอาชญากรรมไซเบอร์
EFF ระบุว่านิยามของอาชญากรรมไซเบอร์ควรครอบคลุมเฉพาะการกระทำผิดที่เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เป็น "เป้าหมายโดยตรงหรือเครื่องมือของการอาชญากรรมโดยตรง และไม่สามารถดำรงอยู่ได้นอกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น" เช่น การโจรกรรมข้อมูล การเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และการใช้อุปกรณ์ผิดวัตถุประสงค์ เป็นต้น
การกระทำที่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกใช้เพียงบางครั้ง โดยอาจสามารถใช้เครื่องมืออื่นๆ ก็ได้ เป็นเพียงการกระทำที่อาจได้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ใช่พุ่งเป้าหรือมุ่งคุกคามระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรง กรณีที่มีลักษณะแบบนี้ เช่น การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง จึงไม่ถูกรวมอยู่ในนิยามของอาชญากรรมไซเบอร์
ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
นอกจากจะไม่ตรงวัตถุประสงค์แล้ว การบรรจุความผิดเกี่ยวกับการพูดยังเป็นการขัดกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วย สำนักข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติระบุเมื่อ ม.ค. ที่ผ่านมาว่าไม่ควรมีการบรรจุความผิดเกี่ยวกับการพูดในสนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ในอนาคตอีก เพราะที่ผ่านมากฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์ถูกใช้เพื่อลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
คำพูดสร้างความเกลียดชัง (Hate speech) ยังไม่มีนิยามที่ตรงกันเป็นสากล จึงไม่มีสถานะรับรองอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว คำพูดสร้างความเกลียดชังไม่ได้จำเป็นต้องผิดกฎหมายเสมอไป และต่อให้ผิดกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกำหนดโทษทางอาญา เพราะสามารถใช้โทษทางแพ่งหรือแนวทางอื่นๆ ได้ การกำหนดโทษทางอาญาควรถูกใช้ภายใต้สถานการณ์ที่ร้ายแรงจริงๆ แล้วเท่านั้น
Article 19 องค์กรสิทธิด้านเสรีภาพการแสดงออกระบุว่า กรณีสุดโต่งของการพูดสร้างความเกลียดชังที่อาจออกกฎหมายกำหนดโทษความผิดทางอาญาได้ คือการพูดเพื่อยุยงปลุกปั่นให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือการพูดเฉพาะประเภทที่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง เป็นศัตรู หรือเลือกปฏิบัติต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ EFF ระบุว่าการรับมือกับกรณีเหล่านี้มีแนวทางกำกับไว้อย่างเพียงพอแล้วตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ตัวอย่างเช่น มาตรา 19 (3) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐผู้ลงนามด้วยระบุว่าการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกจะทำได้ ต่อเมื่อ (1) ถูกบัญญัติขึ้นเป็นกฎหมาย (2) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรลุเป้าอันชอบธรรม (3) มีสัดส่วนเหมาะสมต่อเป้าหมายอันชอบธรรมดังกล่าว และ (4) จำเป็นสำหรับสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น
มาตรา 20(2) ของ ICCPR ระบุว่ารัฐผู้ลงนามจะต้องห้ามมิให้มีการรณรงค์สร้างความเกลียดชัง ที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ การเป็นศัตรู หรือความรุนแรงต่อผู้มีเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง เพศสภาพ เพศสถานะ ทรัพย์สิน ชาติกำเนิด ความพิการ หรือสถานะอื่นๆ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยกฎหมายที่ออกมาตามกฎหมายระหว่างประเทศเหล่านี้จะต้องแคบ ชัดเจน และไม่คลุมเครือด้วย
ปัจจุบัน การออกกฎหมายภายในประเทศบางฉบับยังขัดกับหลักของกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายต่อต้านการพูดสร้างความเกลียดชังของพม่าซึ่งขอบเขตคลุมเครือ กฎหมายความผิดเกี่ยวกับการพูดของสเปนซึ่งยังไม่กำหนดบทลงโทษตามสัดส่วนความผิด ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ของไทยก็เป็นตัวอย่างที่ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศเช่นกัน
ส่วนกรณีของการนำเสนอข้อมูลเท็จ กฎหมายระหว่างประเทศได้มีการวางแนวทางรับมือเอาไว้อยู่แล้ว เช่น ปฏิญญาร่วมว่าด้วยเสรีภาพการแสดงออก และ "ข่าวปลอม" การบิดเบือนข้อมูล และการโฆษณาชวนเช่น (Joint Declaration on Freedom of Expression and “Fake News,” Disinformation and Propaganda) ระบุว่ารัฐสมาชิกของยูเอ็นควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้แสดงความเห็นได้อย่างเสรี
นอกจากนี้ ปฏิญญาร่วมยังระบุด้วยว่ารัฐควรรับรองให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ และใช้แนวทางส่งเสริมความรู้เท่าทันสื่อและดิจิตัล ทั้งนี้ การกระทำของรัฐจะต้องไม่ขัดต่อมติที่ 44/12 ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็น ซึ่งระบุว่าการจัดการกับข้อมูลบิดเบือนนั้นจะต้องเป็นไปหลักกฎหมาย ความชอบธรรม ความจำเป็น สัดส่วนที่เหมาะสม และมีอายุการใช้ที่ชัดเจน เท่านั้น
แปลและเรียบเรียงจาก
Speech-related offences should be excluded from the proposed UN Cybercrime Treaty
ระดับสิทธิเสรีภาพของแต่ละประเทศโดย Freedom House
Is Article 112 of Thailand's Criminal Code (Lèse Majesté) violating International Human Rights Law?
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)