เนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี อภิวัฒน์สยาม นักวิชาการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ย่ำรุ่ง 2475 สู่ระบอบรัฐประหารกึ่งประชาธิปไตย 2565 ชี้ ไม่มีใครเอาชนะพลังของประชาชนได้ ชนชั้นนำจำต้องยอมให้เกิดการปฏิรูปจากบนลงล่าง
24 มิ.ย. 2565 เนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปีการอภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจาก อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เสนอให้ศึกษาบทเรียน ความสำเร็จ ความล้มเหลวของคณะราษฎรเพื่อมองไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของคนไทยทุกคน เพื่อความก้าวหน้าสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาธิปไตยไทย เดินทางมาไกล 90 ปีแล้ว แต่ประชาธิปไตยไทยยังคงลุ่มๆดอนๆ อยู่ และ เรายังคงอยู่ภายใต้ระบอบกึ่งประชาธิปไตยภายใต้การสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร คสช. ผ่านการใช้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560
ข้อเสนอแรก เนื่องในโอกาส 90 ปี อภิวัฒน์ประชาธิปไตย คือ ขอเรียกร้องให้สังคมไทยรณรงค์ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อให้ได้ “รัฐธรรมนูญ” ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน โดยมีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ข้อเสนอที่สอง ขอให้รัฐบาลยกเลิกและทบทวนเนื้อหากฎหมายการควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนภายใต้ พระราชบัญญัติองค์กรไม่แสวงหากำไร เนื่องจากกฎหมายมีเนื้อหาจำกัดเสรีภาพในการรวมกลุ่มขององค์กรภาคประชาชนและองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลควรส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มของประชาชน
ข้อเสนอที่สาม รัฐบาลควรรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ILO 87 และ ILO 98 รัฐบาลควรรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง อนุสัญญาสองฉบับนี้จะทำให้คุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของแรงงานดีขึ้นโดยรัฐบาลไม่ต้องใช้งบประมาณมาดูแล จะเกิดกลไกและกระบวนการในการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมมากขึ้นในระดับสถานประกอบการแต่ละแห่ง เกิดประชาธิปไตยในระดับสถานประกอบการ
ข้อเสนอที่สี่ ขอเรียกร้องให้รัฐสภา จัดสรรงบประมาณในการจัดสร้าง พิพิธภัณฑ์คณะราษฎรเพื่อบอกเล่าถึงพัฒนาการของประชาธิปไตยเพื่อเชิดชูเกียรติแก่คณะบุคคลที่ได้สถาปนาการปกครองแบบรัฐสภาขึ้นมาในประเทศนี้
ข้อเสนอที่ห้า ขอให้รัฐบาลจัดตั้ง คณะทำงาน อันประกอบไปด้วยผู้แทนทุกภาคส่วนในการพิจารณาให้ยกสถานะของเหตุการณ์ 24 มิ.ย. ให้เป็นเหตุการณ์สำคัญของชาติและให้ถือเป็นวันหยุดราชการ หรือ ประกาศให้เป็น “วันชาติ 24 มิถุนายน” เช่นที่เคยเป็นมาก่อนถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2503 หรือ อาจประกาศให้เป็น “วันกำเนิดประชาธิปไตยไทย 24 มิถุนายน” ก็ได้
ข้อเสนอที่หก ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อให้เป็นการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมประชาธิปไตย การมุ่งเน้นเพิ่มจำนวนสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนเพื่อรับใช้ระบบเศรษฐกิจ สังคมและระบบการเมืองอันไม่เป็นธรรม ย่อมไม่อาจนำพาสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าได้ เนื่องจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนก็เพียงสอนและผลิตสร้างแรงงานเพื่อรองรับการสืบทอดและดำรงอยู่ต่อไปของระบบที่ไม่เป็นธรรมให้ดำรงอยู่ต่อไป การศึกษาที่ดีต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมให้ก้าวหน้า ยกระดับคุณภาพและจิตสำนึกของประชาชน การจัดการศึกษาที่มุ่งรักษาระบบอันไม่เป็นธรรมไว้ย่อมไม่ทำให้อะไรดีขึ้นและไม่บรรลุสู่เป้าหมายของประชาธิปไตย หากสถาบันการศึกษามุ่งแต่เพียงการเปลี่ยนแรงงานไม่มีฝีมือสู่การเป็นแรงงานที่มีทักษะสูงในด้านต่างๆแต่ไม่สามารถผลิตพลเมืองที่สามารถปกครองตนเองได้ การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ย่อมไม่เกิดขึ้น
การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยโดยคณะราษฎร สามารถให้แนวคิดและบทเรียนสำหรับประเทศในปัจจุบันและอนาคต มีดังต่อไปนี้
บทเรียนข้อที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงใดๆเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยรวมต้องรักษาความสมดุลระหว่าง “ความคิดก้าวหน้าและสอดคล้องกับยุคสมัย” กับ “จารีตประเพณี” และ “บริบททางด้านภูมิหลังของประเทศ” การทำลายสิ่งเก่าโดยสร้างใหม่ทั้งหมดจึงไม่อาจกระทำได้ และ ไม่ควรกระทำเพราะจะนำไปสู่สิ่งที่ไม่แน่นอน มีความเสี่ยงเข้าสู่สภาวะไร้เสถียรภาพและอนาธิปไตยได้ เช่นเดียวกับ
การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงต้องหลอมรวมทุกแนวความคิดในสังคมไทยให้มีพื้นที่ของตัวเอง สังคมจึงดำรงอยู่ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายได้อย่างมีสันติธรรม
บทเรียนข้อที่สอง ผู้นำและกลุ่มผู้นำต้องมีความกล้าหาญ เสียสละและการเล็งเห็นผลประโยชน์ของสาธารณะสำคัญกว่าผลประโยชน์ของตัวเองและเครือข่าย
บทเรียนข้อที่สาม การต่อสู้เรียกร้องตามความเชื่อทางการเมืองแบบใดก็ตามต้องยึดหลักเอกราช หลักอธิปไตยและบูรณาการแห่งดินแดนรวมทั้งความปรองดองสมานฉันท์ของเพื่อนร่วมชาติร่วมแผ่นดิน
บทเรียนข้อที่สี่ การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งดีกว่าในหลายกรณีต้องอดทนและใช้เวลายาวนานในการปรับเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือผลกระทบข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์
บทเรียนข้อที่ห้า หากชนชั้นนำปฏิเสธไม่ยอมปฏิรูปเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงจากบนลงล่าง หรือ ปฏิรูปแบบมีส่วนร่วมให้เท่าทันกับพลวัต ขบวนการความเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อประชาชนตระหนักถึงปัญหาร่วมกัน และ เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และ ไม่มีใครเอาชนะพลังของประชาชนผู้มุ่งมั่นได้ การเปลี่ยนแปลงด้วยพลังการปฏิวัติของประชาชนทำให้คาดการณ์อนาคตทำได้ยากว่าผลจะเป็นอย่างไร
บทเรียนข้อที่หก พลังที่ก้าวหน้ากว่าของคนหนุ่มสาวหรือคนรุ่นใหม่ ต้องหลอมรวม พลังอนุรักษ์นิยมของคนรุ่นเก่าเอาไว้ด้วยจึงทำให้การปฏิรูปสำเร็จ หากคิดเอาชนะกันแบบหักหาญหรือใช้อำนาจบีบบังคับเช่นเดียวกับที่อำนาจรัฐกระทำต่อผู้เห็นต่างหรือขบวนการประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาวย่อมไม่นำไปสู่สังคมที่พึงปรารถนาและมีเสถียรภาพ
บทเรียนข้อที่เจ็ด การรวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลางไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกและไทยในปัจจุบันและอนาคต การกระจายอำนาจทางการเมืองการปกครอง อำนาจทางการคลัง อำนาจในการจัดการทรัพยากรให้กับชุมชนจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาต่างๆให้กับประชาชนได้ดีขึ้น
ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2549 - 2565) มีการสูญเสียทรัพยากร สูญเสียความรักที่มีต่อเพื่อนร่วมชาติ และสร้างความเกลียดชังต่อกันเพียงแค่เห็นต่างทางการเมือง บาดเจ็บล้มตายจากความขัดแย้งทางการเมือง ประเทศไทยสูญเสียเวลา สูญเสียโอกาสอย่างมากมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงจำต้องร่วมกันปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้านเพื่อให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่นเดียวกับที่ “คณะราษฎร” ได้ดำเนินอภิวัฒน์สถาปนา “ระบอบประชาธิปไตย” ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย