Skip to main content
sharethis

ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘ประยุทธ์’ 8 ปี พาประเทศสู่วิกฤตประชาธิปไตย ทำลายกติกาเลือกตั้ง-รัฐธรรมนูญ ลิดรอนเสรีภาพ จี้ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน

 

21 ก.ค. 2565 เฟซบุ๊ก พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความวันนี้ (21 ก.ค.) ที่รัฐสภา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายไม่วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พาประเทศสู่วิกฤตประชาธิปไตย 

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (ที่มา TP Channel)

ธีรรัตน์ กล่าวว่า ประเทศไทยเคยอยู่ในเส้นทางของการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างมั่นคง ประชาชนมีความหวังว่ารัฐบาล และการเลือกตั้งจะนำพาโอกาสและชีวิตที่ดีมาสู่คนทุกคนในประเทศนี้ แต่โชคร้าย ด้วยน้ำมือของผู้นำที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ประชาธิปไตยไทยเดินกลับสู่วงจรอุบาทว์อีกครั้งหนึ่ง 

8 ปีของพลเอกประยุทธ์ ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถอยหลังและตกต่ำลง จนเราสามารถพูดได้เต็มปากว่า “ท่านคือนายกรัฐมนตรีที่สร้างให้เกิดวิกฤตประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย”  

ถ้าหัวใจหลักของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา คือหลักการที่ว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน รัฐบาลต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างนี้ 

1. เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ โดยผ่านกติกาที่ถูกต้องและชอบธรรม 

2. เป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร โดยเคารพอำนาจและกระบวนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนของพี่น้องประชาชน 

3. เป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และใช้อำนาจโดยเคารพและไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน 

แต่องค์ประกอบทั้งหมดนี้ ไม่มีในรัฐบาลประยุทธ์เลย สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำกลับเป็นการทำลายประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาไทยอย่างครบรอบด้าน ด้วยการทำลาย 3 อย่าง

1. ทำลายประชาธิปไตยด้วยการทำลายกติกา โดยธีรรัตน์ นิยามว่า “เป็นการปล้นอำนาจเข้ามาแล้วยัดเยียดกติกาให้ตัวเองอยู่ต่อ” ด้วยรัฐธรรมนูญ 60 ที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยถอยหลังลงคลอง ด้วยการกำหนดที่มาของนายกรัฐมนตรีโดยไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ก่อน นายกฯ จึงไม่ได้มาจากเสียงของประชาชนที่เลวร้ายไปกว่านั้นยังมี ส.ว. จำนวน 250 คน ที่มาจากหัวหน้า คสช. ซึ่งก็คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้เท่ากับ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 

ธีรรัรตน์ กล่าวว่า “นี่ถือการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งลงในสังคมไทยอย่างชัดเจน เพราะพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งจนได้ ส.ส.มากที่สุดในปี 2562 อย่างพรรคเพื่อไทย กลับไม่ได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล เพียงเพราะความกระเหี้ยนกระหือรืออยากสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประจานตัวเองให้ประชาชนได้เห็นว่าท่านทำทุกอย่างที่ขัดหลักการประชาธิปไตย”

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ บริวารของพลเอกประยุทธ์ ออกแบบระบบการเลือกตั้งที่เอื้อให้มีพรรคปัดเศษ มีระบบปันส่วนผสมที่มีสูตรคำนวณสุดพิศดาร มีบัตรเขย่ง เลขของ ส.ส.เขต กับ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคเป็นคนละเบอร์กันจนประชาชนสับสน ทั้งหมดที่ท่านทำนี้ คือการทำลายและบิดเบือนกติกา เพียงเพื่อเอื้อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบมากที่สุด นี่คือต้นตอความขัดแย้งใหญ่ที่สร้างความโกรธแค้นให้ประชาชนส่วนใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน 

2. ทำลายประชาธิปไตยผ่านการครอบงำรัฐสภา ซึ่งธีรรัตน์ นิยามประชาธิปไตยแบบของพลเอกประยุทธ์ไว้ว่า “ประชาธิปไตยแบบงูเห่ากินกล้วย” ทั้งการแทรกแซงการทำงานของรัฐสภาเพื่อสืบทอดอำนาจในกรณีกลับกลอกกฎหมายเลือกตั้ง ใช้กล้วยเพื่อล่อซื้อให้ ส.ส. จำนวนหนึ่งย้ายพรรค จนยอมทรยศเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนที่เลือกมา ใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นสิ่งล่อใจในการเจรจาต่อรองกับพรรคปัดเศษ เพื่อให้ยกมือโหวตไว้วางใจ โดยไม่ต้องสนใจหลักเหตุผลว่าถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ขอเพียงให้มีกล้วยมาป้อนก็พอ ทำให้ ส.ส. ที่ควรจะปฏิบัติหน้าที่โดยเอาความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง

นี่คือความถดถอยและสร้างความอ่อนแอให้ระบบการเมืองไทย ทำให้เสียงของพี่น้องประชาชนไร้ความหมาย ทำให้การทำงานของสภาผู้แทนราษฎรไม่สง่างามจากการครอบงำของฝ่ายบริหารในแบบที่ควรจะเป็น 

3. ทำลายประชาธิปไตยผ่านการลิดรอนและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะประยุทธ์มองประชาชนที่เห็นต่างจากเป็นศัตรู จัดการความขัดแย้งทางความคิดด้วยวิธีการอำนาจนิยม ใช้ความรุนแรงและกฎหมายในการปิดปากผู้เห็นต่าง โดยอ้างความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง ความสามัคคี ละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน โดยไร้ยางอาย 

ธีรรัตน์ ยังได้ยกตัวอย่างการประเมินประชาธิปไตยในไทยด้วยสายตาจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น
Freedom House ที่ระบุว่า ปี 2565 ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ ‘ไร้เสรีภาพ’ โดยได้คะแนนเพียง 29 จาก 100 คะแนน ซึ่งน้อยกว่าในปี 2563  ที่ประเทศไทย ถูกจัดให้อยู่ในเกณฑ์ ‘มีเสรีภาพบางส่วน’ โดยได้คะแนน 32 เต็ม 100 คะแนน เรียกได้ว่า ยุคประยุทธ์ประชาธิปไตยย้ำแย่ แต่อยู่นานยิ่งแย่ไปอีก  

The Economist ที่เปิดเผยดัชนีประชาธิปไตยประจำปี 2564 มีการจัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 72 จากทั้งหมด 167 ประเทศ และยังคงถูกจัดให้เป็นประเทศที่มี  'ประชาธิปไตยบกพร่อง’ (flawed democracy) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยอยู่ในอันดับที่ 5 ของอาเซียน ตามหลังทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ 

จากทุกสิ่งที่ประยุทธ์ได้ทำ ธีรรัตน์กล่าวว่า นี่เป็น ‘วิกฤติประชาธิปไตย’ ที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์คืนอำนาจให้กับประชาชน คืนประชาธิปไตยให้กับสังคมไทย และคืนอนาคตของประเทศไทยให้กลับไปอยู่ในมือของคนไทยอีกครั้งหนึ่ง 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net