Skip to main content
sharethis

คณะทำงานเศรษฐกิจเพื่อไทยร่วมกันแถลงข่าว ชี้ประยุทธ์อยู่มาจนครบ 8 ปี ยังอยู่ต่อจะยิ่งทำเศรษฐกิจไม่ขยายตัว ปัจจัยภายนอกซ้ำเติมจะยิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจและหนี้สินของประชาชนเพิ่ม “อนุสรณ์” ชี้รัฐธรรมนูญ 60 ชัดว่า 8 ปีของประยุทธ์นับรวมตั้งแต่เป็นนายกฯ ยุค คสช.

16 ส.ค.2565 คณะทำงานเศรษฐกิจเพื่อไทยร่วมกันแถลงข่าว โดยมีการกล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจตลอดช่วงรัฐบาลที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและชี้ประเด็นวาระ 8 ปีในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ที่จะต้องหมดลงในวันที่ 24 ส.ค.นี้ตามรัฐธรรมนูญ 2560

พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ในประเด็นครบ 8 ปีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในการเป็นนายกรัฐมนตรี ครบตามกำหนดที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้และเป็นเจตนาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตามที่มีการบันทึกไว้แล้วนั้น ตนอยากขอเรียกร้องให้มีชัย ฤชุพันธ์ุ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ออกมายืนยันเจตนาของผู้ร่าง และเมื่อดูข้อกฏหมายและภาคผนวกที่ระบุชัดเจนว่านับตั้งแต่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งต้องครบ 8 ปีแล้วในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำรัฐประหารเข้ามายิ่งต้องไม่ยึดติดกับอำนาจแต่กลับทำใตรงกันข้ามเห้นจากการแก้กติกาเลือกตั้งกลับไปกลับมา

ทั้งนี้ ทางด้านเศรษฐกิจที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ต่ำเพียง 2.4% และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จากสาเหตุความต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐฯ ต่างกันมาก อาจทำให้เงินทุนไหลออกได้ อีกทั้งเงินเฟ้อของไทยก็สูง ล่าสุดอยู่ที่ 7.61% ในเดือนกรกฎาคม โดยเงินเฟ้อในสหรัฐเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.5% แม้จะลดลงมาจาก 9.1% แต่ก็ยังสูงอยู่ และมีโอกาสที่สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยอีก ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ประเทศไทยอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยกันอีก และมีแนวโน้มที่ ธปท. จะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกในอนาคตซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงยาก ดังนั้นจึงอยากให้ ธปท. ขึ้นดอกเบี้ยช้าที่สุด น้อยที่สุด โดยต้องไม่ให้เงินทุนไหลออกมากนัก ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่ การขึ้นดอกเบี้ยจะซ้ำเติม ค่าครองชีพสูง ข้าวของแพง น้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าแพง ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งน่าจะทำให้หนี้เสียมีเพิ่มขึ้น การที่รัฐบาลออกมาแถลงว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะไม่กระทบประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องจริง หรืออาจจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น

พิชัยชี้ว่าจะมีปัญหาต่างๆ ที่จะมีเพิ่มอีกหากพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ต่อประเทศไทยจะประสบปัญหา 8 เรื่องดังนี้

1. เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำต่อไปอีก เพราะประชาชนจะยิ่งขาดความเขื่อมั่นและขาดความมั่นใจ อีกทั้งจะได้ยินแต่เรื่องโกหกและการเล่านิทานหลอกประชาชน ที่อ้างว่าเศรษฐกิจไปได้ดี ทั้งที่คนอดอยากกันมาก

2. หนี้สินจะเพิ่มขึ้นหมด หนี้สาธารณะจะยิ่งพุ่งสูงเพราะพลเอกประยุทธ์หารายได้ไม่เป็น เป็นแต่กู้มาแจก หนี้ครัวเรือนไม่มีแนวโน้มจะลดลงได้เลย เพราะไม่มีแนวทางในการเพิ่มรายได้ หนี้ภาคธุรกิจ จะยิ่งพอกพูน และ หนี้เสียจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก รัฐบาลแถลงว่าดอกเบี้ยขึ้นจะไม่กระทบนั้นน่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ก็ตั้งใจบิดเบือนความจริง

3. ข้าวของแพงและเงินเฟ้อ จะแก้ไขไม่ได้ ประชาชนจะลำบากกันมาก รายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เพิ่มรายได้ประชาชน

4. ราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้า และ ราคาก๊าซ จะยิ่งแพงขึ้น เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจโครงสร้างราคา และ ไม่ปรับเปลี่ยนแก้ไขเพราะเกรงใจนายทุนพลังงานและธุรกิจพลังงานใหญ่

สำหรับการค้าชายแดนนั้น ตัวเลขการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ทั้งนำเข้าและส่งออก แต่ตัวเลขที่ต้องระวังและถ้ายังบริหารงานแบบไม่เข้าใจบริบทของตัวเลขพวกนี้ อนาคต เราอาจจะเจอตัวเลขติดลบแม้แต่การค้าชายแดนก็เป็นได้ ตัวเลขที่น่าตกใจ และควรจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือ การค้าผ่านแดน การส่งออกสินค้าผ่านแดนของเราในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 20% การ

นำเข้าตกลง 12%

จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางรัก พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับต่ำมาตลอด หลังจากวิกฤตโควิด19 ไทยยังไม่ฟื้นจากแดนลบ และอยู่ในแดนลบมา 3 ปีติดแล้ว ซึ่งในปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบ -6.2% และ 2 ปีแล้วที่ยังไม่ฟื้นที่ที่เดิมที่ตกลงมา อีกทั้งยังขยายตัวช้ากว่าประเทศอื่นในอาเซียนมาก เมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 มาเลเซียโตถึง 8.9% โดยมีเวียดนาม และฟิลิปินต์ตามมาที่ 7.7% และ 7.4% ในขณะที่ไทยเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ขยายตัวประมาณแค่ 2.5% ซึ่งถือว่าต่ำมาก

จุฑาพร นอกจากปัญหาสินค้าแพงขึ้นแล้วปัญหาเด็กจบใหม่จะตกงานมากขึ้นหากผู้ประกอบการหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ถ้าพวกเขายังขาดทักษะที่จำเป็นเช่นภาษาอังกฤษ ดิจิทัล และทักษาการคิดเชิงวิพากษ์ ถ้าไม่ได้รับการแขในระยะยาวจะทให้เกิดช่องวางของทักษะการทำงานทำให้หางานได้ยากขึ้น

อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประเด็นทางกฎหมายที่ทำให้เห็นว่าการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์นั้นครบ 8 ปีแล้วเพราะต้องนับตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 24 ส.ค.2557

อนุสรณ์ระบุว่าในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 4 บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตําแหน่ง และในมาตรา 264 บัญญัติว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งทำให้ต้องนับรวมถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ที่อยู่มาก่อนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย

“ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ถ้าคิดจะนำโครงการคนละครึ่ง มาแบ่งกันเป็นนายกฯอีกคนละ 2 ปี ในหมู่พี่น้อง 3 ป. จะได้สมประโยชน์ในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตามโครงการคนละครึ่ง ประชาชนไม่ยอมแน่นอน” อนุสรณ์ กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net