Skip to main content
sharethis

สภาคว่ำร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ เสนอโดย ‘ก้าวไกล’ เพื่อใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วยคะแนน 169 ต่อ 69 เสียง ‘ส.ส.โรม’ ชี้ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน เพิ่มกลไกสภาตรวจสอบถ่วงดุลการขยายสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้าน ‘อนุชา นาคาศัย’ รมต.ประจำสำนักนายกฯ มองต่าง ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังเหมาะสม และเป็นธรรม 

 

4 ส.ค. 2565 สำนักข่าว Voice TV รายงานวันนี้ (4 ส.ค.) สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ) ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล นำโดยรังสิมันต์ โรม เพื่อใช้แทนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) โดยสภาผู้แทนราษฎร มีมติ “ไม่รับหลักการ” ร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ด้วยคะแนนเสียง 169 เสียง ขณะที่เสียงเห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าวมี 69 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง 

ภาพการลงคะแนนผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉิน เครดิตภาพ ยูทูบ TP Channel

ทั้งนี้ iLaw รายงานด้วยว่า องค์ประชุมก่อนลงมติรับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านเกณฑ์แบบเฉียดฉิว มีองค์ประชุม 240 คนจากเกณฑ์ที่ต้องการ คือ 239 คน (กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่) และหลังสภามีมติ “ไม่รับหลักการ” ร่างกฎหมายดังกล่าว สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ซึ่งนั่งเป็นประธานในที่ประชุม ก็สั่งปิดประชุมเวลา 16.41 น. เนื่องจากบรรยากาศไม่ค่อยพร้อม (ส.ส.ในที่ประชุมมีจำนวนน้อย)

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลิดรอนสิทธิ

ก่อนการลงมติ รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 ที่บังคับใช้อยู่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่บังคับใช้ข้อกำหนดที่ออกมาโดยได้รับการละเว้นการตรวจสอบถ่วงดุล ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) สามารถประกาศขยายระยะเวลาออกไปโดยไม่ถูกคัดค้าน จึงต้องมีการตรวจสอบให้เป็นตามหลักการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 

รังสิมันต์ โรม กล่าวอีกว่า เมื่อดูเนื้อหาการพิจารณาของ ครม. พบว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงความเห็นจากข้าราชการประจำ ทั้งที่ได้เคยทำไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเข้าสภาฯ ครั้งแรก ส่วน ครม.ที่ขอนำร่างกลับไปพิจารณาก็ไม่มีตรงไหนที่เป็นความเห็นจากรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร และจะไม่ให้บอกว่านี่คือการเตะถ่วงกระบวนการการตรากฎหมายของสภาฯ ได้อย่างไร 

รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีขึ้นมาก จึงมีความจำเป็นที่ต้องต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหลือความฉุกเฉินอะไรอีกต่อไป หาก พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ไม่เพียงพอทำไมไม่แก้ไขให้ครอบคลุม และรัฐบาลมีเวลาเตรียมเรื่องนี้มาอย่างเนิ่นนาน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีความจริงใจแก้ไขโควิด-19 สิ่งที่ต้องทำในช่วงการแพร่ระบาดคือการสนับสนุนการฉีดวัคซีน 

"ดังนั้น การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไป จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากรัฐบาลเสพติดอำนาจ จึงยังคงกฎหมายพิเศษฉบับนี้เอาไว้เป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องอำนาจของตัวเอง" รังสิมันต์ โรม กล่าว 

ใช้อำนาจตามอำเภอใจ

รังสิมันต์ เสริมว่า จากการสรุปรายงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยความมั่นคงที่เกี่ยวข้องที่คณะรัฐมนตรีแนบมาด้วย คือกฎหมายฉบับนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้เจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติงาน ตนจึงสงสัยว่าการใช้กฎหมายปกติ มีการตรวจสอบถ่วงดุล ทำให้เจ้าหน้าที่ถึงกับหมดความมั่นใจในการทำงานเลยหรือ การที่มีความมั่นใจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จึงทำให้สถิติการตั้งข้อหากับประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,400 คน ทั้งที่เกิดการแพร่ระบาดจากการชุมนุมมีน้อยมาก แต่ปัจจุบัน การอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปูพรมหว่านแห กลายเป็นประเพณีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไปเรียบร้อยแล้ว

รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า คนมาชุมนุมใส่หน้ากากป้องกันโรคมิดชิดแค่ไหน ก็ประกาศออกลำโพงขยายเสียงไว้ก่อนว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วเตรียมหยิบปืนกระสุนยางรอยิงต่อเลย นี่จึงเป็นความอันตรายของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับปัจจุบัน ที่ให้อำนาจนายกฯ หลายอย่าง โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบอะไรเลย และยกเว้นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่เกิดความมั่นใจผิดๆ และไปลงไม้ลงมือกับประชาชน ตนจึงมีความเห็นว่าการใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นการใช้โดยผิดวัตถุประสงค์

"การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง แต่สภาฯ ไม่สามารถหยุดยั้งการใช้อำนาจที่ผิดแบบนั้นได้ ถึงเวลาแล้วที่จำเป็นต้องเพิ่มอำนาจให้กับสภาฯ เพื่อใช้ควบคุมการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” รังสิมันต์ กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนเสนอผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือการทวงคืนการตรวจสอบถ่วงดุลกลับคืนมา ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีทุกคนมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้คิดหาเศษหาเลยจากอำนาจที่ได้เพิ่มมา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหวาดกลัวร่างกฎหมายฉบับนี้

'อนุชา' ชี้เป็นธรรมและเหมาะสม

ด้านอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า กลไกตามร่างนี้มีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของสถานการณ์ฉุกเฉิน และเห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับปัจจุบันมีความเหมาะสม และเป็นธรรม รวมทั้งยังมีมาตราการทางกฎหมายที่เบากว่ากฎหมายต่างประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรียังมีข้อห่วงกังวลต่อการแก้ไข เพราะสถานการณ์ฉุกเฉินต้องมีความรวดเร็วเพื่อทำให้สถานการณ์คลี่คลายเพื่อไม่ให้กระทบต่อการรักษาประโยชน์ของประเทศ จึงเห็นว่ายังไม่ควรรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และเห็นควรบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับนี้ต่อไป

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ เพื่อใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

โครงการอินเทอร์เน็ตกฎหมายเพื่อประชาชน หรือ iLaw สรุปสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ เพื่อใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีดังนี้ 

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้จำกัดคราวละ 30 วัน ต้องขอความเห็นจากสภา

นายกฯ ยังคงมีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แต่จำกัดอำนาจประกาศได้คราวละไม่เกิน 30 วัน และขยายเวลาได้ครั้งละ 30 วันเช่นกัน ซึ่งลดลงจากที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจนายกฯ ประกาศได้ 3 เดือน และขยายเวลาได้ครั้งละ 3 เดือน นอกจากนี้ ยังกำหนดให้นายกฯ ต้องขอความเห็นจากสภาผู้แทนราษฎรภายใน 7 วัน พร้อมกับนำเสนอแผนการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งมาตรการ และข้อกำหนดต่างๆ ที่นายกฯ จะประกาศใช้ด้วย

อำนาจสั่งเคอร์ฟิวยังอยู่ ตัดอำนาจรัฐบาลคุมสื่อ

ร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ยังอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะออกข้อกำหนดต่างๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 ของร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ยังกำหนดไว้ทำนองเดียวกับกฎหมายเดิม โดยให้อำนาจนายกรัฐมนตรี สามารถประกาศเคอร์ฟิวได้ (ห้ามออกนอกเคหสถาน) สั่งห้ามชุมนุม หรือมั่วสุมกันหรือยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยได้ รวมทั้งมีอำนาจสั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามใช้อาคารหรือเข้าไปในบางพื้นที่ หรือสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ได้

ตามมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่ง "ห้ามนำเสนอข่าว" หรือทำให้แพร่หลายในสื่ออื่นใดที่มีข้อความทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ตามร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้ให้อำนาจควบคุมการเสนอข่าวของสื่อด้วย อย่างไรก็ดี การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐโดยสื่อมวลชนและประชาชนก็เป็นความผิดอยู่แล้วตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 

จับผู้ต้องสงสัยได้ ต้องมีหมายศาล คุมตัวได้ไม่เกิน 48 ชม.

อำนาจของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จากเดิม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 12 กำหนดให้การจับกุมและควบคุมตัวต้องขออนุญาตจากศาลก่อน เมื่อจับกุมตัวได้แล้วสามารถควบคุมตัวไว้ได้ไม่เกินวัน ในสถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่สถานีตำรวจหรือเรือนจำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่ายทหาร และหากครบกำหนดเวลาแล้วต้องการขยายเวลาควบคุมตัวก็สามารถขอต่อเวลาได้ รวมแล้วไม่เกิน 30 วัน 

ตามร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ได้แก้ไขมาตรา 12 ให้การจับกุมและควบคุมตัวต้องขออนุญาตจากศาลก่อนเช่นเดิม แต่เมื่อจับกุมตัวแล้วให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจควบคุมตัวไว้ได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง โดยไม่ได้กำหนดสถานที่ควบคุมตัว ซึ่งเป็นอำนาจเช่นเดียวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาในคดีทั่วไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

เลิกยกเว้นความรับผิด เลิกตัดอำนาจการตรวจสอบ

มาตรา 16 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กำหนดข้อยกเว้นสำหรับข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่กระทำภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ถ้าหากมีข้อพิพาทที่เกิดจากบรรดาข้อกำหนด คำสั่งหรือการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นคดีปกครองผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถจะฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ จะต้องนำเรื่องไปฟ้องศาลแพ่ง แต่ในร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ไม่มีการบัญญัติถึงประเด็นนี้ หมายความว่า ถ้ามีการประกาศข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำใดที่กระทบสิทธิของประชาชน ประชาชนสามารถนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลปกครองได้เช่นเดียวกับสถานการณ์ปกติ

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ เคยเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2565 แต่ครม.ก็นำร่างกฎหมายดังกล่าวไปศึกษาก่อนรับหลักการ 60 วัน และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงาน อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีทีท่า “ไม่เห็นด้วย” กับร่างกฎหมายดังกล่าว ด้านสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าวที่เพิ่มกลไกตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร 

เหตุผลที่หน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ที่จะใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สรุปได้ ดังนี้

1. พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังมีความเหมาะสมที่จะใช้ต่อไป สามารถนำมาแก้ไขปัญหาสถานการณ์ที่ “ไม่ปกติ” ได้จริง เช่น กรณีความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้

2. หากใช้ร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ อาจจะทำให้เกิดการติดขัดต่อฝ่ายบริหารในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีที่ต้องให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่นายกฯ ประกาศแล้ว อาจมีปัญหาในกรณีที่สภาไม่อนุมัติ

3. ไม่เห็นด้วยในการตัดอำนาจของนายกฯ บางประการออก เช่น อำนาจออกข้อกำหนดห้ามเสนอข่าว เนื่องจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีข่าวที่บิดเบือนจำนวนมาก หากไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แม้จะสามารถใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ได้ แต่อาจไม่ทันต่อสถานการณ์

4. ไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้ กรณีต้องประกาศหรือขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร

อ่านสรุปร่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ โดย iLaw ได้ที่นี่ 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net