Skip to main content
sharethis

การสืบพยานคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เลื่อนอีกครั้งหลังจากศาลยังไม่ออกหมายเรียกข้อมูลการบินของ ร.10 และการใช้งบประมาณเข้ามาเป็นหลักฐานให้จำเลย ศาลอ้างจะทำให้สถาบันฯ เสียหายเป็นข้อมูลความมั่นคงที่ห้ามเปิดเผยตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ทนายอานนท์เตรียมใช้ กมธ.กฎหมายและยุติธรรมฯ เรียกศาลชี้แจง

5 ส.ค.2565 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มีนัดสืบพยานในคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ช่วงวันที่ 19-20ก.ย.2563 ที่มีจำเลย 22คน โดยการสืบพยานวันนี้เป็นช่วงทนายความจำเลยถามค้านพยานโจทก์คือพ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร รองผู้บังคับการกองกำกับการตำรวจนครบาล 1

อานนท์ นำภา 1 ในทีมทนายความและเป็นจำเลยในคดีให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของคดีว่า กระบวนการพิจารณาคดีในวันนี้ต้องเลื่อนออกไปอีกครั้งเนื่องจากวันนี้ทางศาลไม่ได้เบิกตัวชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบรท์ ที่ขณะนี้ถูกคุมขังในชั้สอบสวนของคดีอื่นมาร่วมการพิจารณาด้วย นอกจากนั้นเอกสารที่เป็นหลักฐานสำคัญในคดีที่ทางจำเลยขอให้ศาลออกหมายเรียกนำเข้ามาประกอบการพิจารณาคดีก็ยังไม่ได้มา โดยหลักฐานที่ยังไม่ได้มามีดังนี้

1. ข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศในการเดินทางไปประเทศเยอรมนีของในหลวงรัชกาลที่ 10 ตั้งแต่ 13 ต.ค.2559-20 ก.ย.2563 จากทั้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและการบินไทย รวม 2 รายการ

2. ข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณส่วนพระองค์ประจำปีงบประมาณ 2563

3. ข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ปี 2560-2564

อานนท์กล่าวว่า เอกสารข้างต้นนี้ศาลยังคงไม่ออกหมายเรียกเข้ามาเป็นหลักฐานเข้ามาในคดีให้กับทางจำเลย โดยศาลให้เหตุผลว่าในส่วนของข้อมูลการเดินทางของร.10 นั้นเป็นข้อมูลของบริษัทการบินไทยในช่วงที่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่กิจอยู่และข้อมูลเหล่านี้จะทำให้สถาบันกษัตริย์เสียหายและเป็นข้อมูลความมั่นคงเป็นข้อมูลที่ห้ามเปิดเผยตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ที่การบินไทยจะต้องปฏิบัติตามรวมถึงข้อมูลการใช้งบประมาณก็เป็นข้อมูลห้ามเปิดเผยตามกฎหมายเดียวกันนี้ ถ้าหากฝ่ายจำเลยไม่เห็นด้วยสามารถยื่นคำร้องถึงคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร

ทนายความกล่าวถึงส่วนของเอกสารคำพิพากษาคดีของรัชกาลที่ 7 ที่อยู่ในความครอบครองของศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์ หลังจากททางทนายความยื่นขอให้ศาลออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 5 ในการพิจารณาเมื่อครั้งวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ทางศาลแจ้งว่าหมายเรียกได้ไปถึงศาลทั้งสองแห่งแล้วแต่ยังไม่ได้มีการส่งพิพากษาคดีดังกล่าวกลับมาตามหมาย

“ศาลอ้างว่าไม่เกี่ยวกับคดี ทั้งที่โคตรสำคัญกับคดีเพราะคดีนี้มีการกล่าวหาว่าที่ปราศรัยเป็นเท็จ หลักฐานเหล่านี้จะยืนยันว่าไม่ได้พูดเท็จ การไม่ออกหมายเรียกหลักฐานมาให้ทำให้สู้คดีต่อไปไม่ได้ ศาลคงห่วงกังวลเรื่องข้อมูลที่จะได้มาจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย เลยไม่อยากใช้อำนาจที่ตัวเองมีเรียกเอกสารเหล่านั้นมาทั้งที่เกี่ยวกับคดีอย่างมาก” อานนท์แสดงความเห็นต่อการที่ศาลไม่ออกหมายเรียกหลักฐานให้จนทำให้มีการเลื่อนคดีมาแล้วหลายครั้ง ทั้งที่ศาลเองอำนาจในการเรียกพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ทนายความกล่าวว่าทางพวกเขาจะใช้ช่องทางของสภาโดยจะร้องเรียนไปที่ผ่านคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนเพื่อขอให้เรียกศาลไปชี้แจงถึงเหตุที่ไม่ยอมให้เรียกหลักฐานสำคัญในคดีเข้ามา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้นัดหมายวันแต่คาดว่าจะเป็นก่อนวันที่ 20 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานครั้งต่อไป

ไกลแค่ไหนคือใกล้ ทนายขอคำพิพากษาคดีร.7 จากศาลแพ่ง-อุทธรณ์แต่ไม่ได้ อ้างหมายศาลอาญามาเลยกำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่มีการแจ้งความดำเนินคดีเมื่อปลายปี 2563และการสืบพยานปากแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่ 2ธันวาคมปีที่แล้วแต่ถูกเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่นั้นมา เนื่องจากพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่ทางจำเลยต้องการนำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาคดีไม่สามารถมาหามาได้เนื่องจากเมื่อทนายความดำเนินการขอหลักฐานจากหน่วยงานที่ครอบครองข้อมูลแล้วไม่ได้รับความร่วมมือ จึงนำมาสู่การขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้ แต่ทางศาลไม่ได้ออกหมายเรียกให้ด้วยเช่นกัน

ที่ผ่านมาทางทนายความจึงมีขอให้ศาลออกหมายเรียกหลักฐานเหล่านี้อีกหลายครั้ง จนกระทั่งศาลได้ออกหมายเรียกในส่วนของคำพิพากษาคดีกระทรวงการคลังฟ้องรัชกาลที่ 7 ให้ต้องชดใช้เงินคืนแก่กระทรวงการคลังที่อยู่ในความครอบครองของศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์ หลังจากทางทนายความต้องยื่นขอให้ศาลออกหมายเรียกหลักฐานนี้ถึงครั้งที่ 4 แต่ทั้งสองศาลอ้างเหตุว่าหมายเรียกของศาลอาญามาถึงหลังกำหนดวันที่ให้ทั้งสองศาลส่งหลักฐานกลับไปที่ศาลอาญา ทนายความจึงต้องขอให้ศาลอาญาออกหมายเรียกหลักฐานอีกเป็นครั้งที่ 5 เมื่อ 8 ก.ค.2565 และเลื่อนนัดสืบพยานมาเป็นวันนี้

สำหรับการนัดสืบพยานครั้งต่อไปได้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 20 ก.ย.2565 โดยต้องยกเลิกนัดสืบพยานที่มีอยู่เดิมของเดือนนี้ที่เหลืออยู่ 6 นัดไปทั้งหมด

สำหรับคดีจากการชุมนุมครั้งนี้ มีจำเลยถูกฟ้องร่วมกันทั้งหมด 22 คน ได้แก่ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, ณัทพัช อัคฮาด, ธนชัย เอื้อฤาชา, ธนพ อัมพะวัติ, ธานี สะสม, ภัทรพงศ์ น้อยผาง, สิทธิทัศน์ จินดารัตน์, สุวรรณา ตาลเหล็ก, อนุรักษ์ เจนตวนิชย์, ณัฐชนน ไพโรจน์, “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์, อะดิศักดิ์ สมบัติคำ, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล , เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, หมอลำแบงค์ ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, ไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก, ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, จัสติน ชูเกียรติ แสงวงค์ และแอมมี่ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์

จำเลยส่วนหนึ่งในคดีนี้มีคนที่ถูกฟ้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย คือ ปนัสยา, พริษฐ์, อานนท์, ปติวัฒน์ , สมยศ, ภาณุพงศ์ และจตุภัทร์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net