Skip to main content
sharethis

สหประชาชาติเปิดเผยว่าพวกเขามี "หลักฐานการกล่าวหาที่น่าเชื่อถือ" ว่าทางการรัสเซียได้ทำการบีบบังคับนำตัวเด็กชาวยูเครนส่งไปให้ชาวรัสเซียทำการเลี้ยงดูในฐานะบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการบีบบังคับให้ชาวยูเครนย้ายถิ่นฐานและถูกส่งตัวออกนอกประเทศ

อิลเซ แบรนด์ เคอห์ริส ผู้ช่วยเลขาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติว่า มีหลักฐานการกล่าวหาที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องการบีบบังคับย้ายถิ่นฐานเด็กไปสู่พื้นที่เขตแดนที่ถูกครอบครองโดยรัสเซียหรือไปที่ประเทศรัสเซียโดยไม่มีผู้ปกครองติดตามไปด้วย

"พวกเรามีความเป็นห่วงว่าทางการรัสเซียได้ใช้วิธีการลัดขั้นตอนให้ง่ายขึ้นเพื่อให้สัญชาติรัสเซียแก่เด็ก(จากยูเครน) โดยไม่มีผู้ปกครองดูแล แล้วเรื่องนี้จะทำให้เด็กมีคุณสมบัติที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยครอบครัวชาวรัสเซียได้" เคอห์ริสกล่าว

เคอห์ริสกล่าวในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงในยูเครนเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า กองทัพรัสเซียใช้ "ปฏิบัติการคัดกรอง" นำตัวชาวยูเครนในพื้นที่ที่รัสเซียยึดครองอยู่ไปผ่านกระบวนการตรวจเช็คโดยกองกำลังความมั่นคง กระบวนการที่ว่านี้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายแง่ เช่น การตรวจค้นร่างกายที่บางครั้งก็มีการบังคับให้เปลือยกาย มีการสอบสวนอย่างละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ความสัมพันธ์ทางครอบครัว มุมมองทางการเมือง และในเรื่องที่ว่ามีความภักดีต่อบุคคลที่รัสเซียคำนึงถึงอยู่หรือไม่

มีชาวยูเครนบางคนที่ถูกตัดสินลงโทษเพราะมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลยูเครนหรือกับกองทัพยูเครน พวกเขาถูกทารุณกรรม ถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่และถูกส่งตัวไปที่ทัณฑนิคมของรัสเซียและถูกส่งไปยังเรือนจำอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะถูกล่วงละเมิดทางเพศในช่วงที่มี "การคัดกรอง" โดยกองทัพรัสเซียด้วย

อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ วาสิลี เนเบนเชีย โต้แย้งว่าข้อกล่าวหาของเคอห์ริส "ไม่มีมูล" และกล่าวว่าชาวยูเครนได้หลบหนีออกจากประเทศ "เพื่อทำให้ตัวเองปลอดภัยจากรัฐบาลอาชญากร" อีกทั้งยังอ้างว่า "ปฏิบัติการคัดกรอง" ของกองทัพรัสเซียนั้นเป็นแค่การลงทะเบียนผู้คนที่เข้าประเทศรัสเซียเท่านั้น

ก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็เคยเปิดเผยว่าสำนักงานของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เป็นหน่วยงานที่ทำการจัดการโครงการ "คัดกรอง" ชาวยูเครนโดยตรง และเป็นผู้บีบบังคับให้ชาวยูเครนหลายพันคนย้ายถิ่นฐานไปที่รัสเซีย

เวดันต์ พาเทล รองโฆษกการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า "รัสเซียเคยใช้วิธีการบีบบังคับให้ย้ายถิ่นมาก่อนในอดีต และคงไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงถ้าจะบอกว่าการบังคับย้ายถิ่นฐานเช่นนี้มันได้ทำให้เกิดความหวาดกลัวและความเศร้าสลดแก่ผู้คนที่ถูกบีบบังคับให้ต้องอยู่ภายใต้การครอบงำของรัสเซีย"

พาเทลบอกอีกว่า "พวกเราประเมินว่าการที่รัฐบาลรัสเซียมีปฏิบัติการคัดกรองเช่นนี้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของแผนการที่พวกเขาจะพยายามผนวกรวมดินแดนของยูเครนให้อยู่ภายใต้การปกครองของตนเอง"

ข้อกล่าวหาจากยูเอ็นยังออกมาในช่วงเดียวกับที่ปูตินอ้างว่ายุโรปฉวยโอกาสหลังจากที่รัสเซียยกเลิกการปิดกั้นเส้นทางส่งออกเมล็ดธีญพืช โดยกล่าวหาว่ายุโรปทำการจัดสรรการส่งเมล็ดพันธุ์ไว้ให้กับประเทศยุโรปเองแทนที่จะส่งให้ประเทศยากจน แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ว่า สาเหตุที่มีการส่งออกเมล็ดธัญพืชให้ยุโรปเพราะส่วนหนึ่งต้องเอาไปผ่านกระบวนการแปรรูปให้สำหรับประเทศที่ยากจน

ข้อมูลจากศูนย์ของทางการอิสตันบูล ประเทศตุรกีระบุว่า ในข้อตกลงการส่งออกเมล็ดธัญพืชนั้นมีร้อยละ 30 ที่ส่งออกให้กับประเทศรายได้ปานกลางและประเทศยากจน ขณะที่ตุรกีได้รับร้อยละ 20 สเปนร้อยละ 15 และอียิปต์ร้อยละ 10 และมีเมล็ดธัญพืชจำนวนมากที่ส่งไปถึงตุรกีจะมีการขายทอดต่อให้กับที่อื่นๆ โดยไม่ได้มีการเก็บสถิติไว้ว่ามีการขายให้ที่ไหนเท่าใดบ้าง


เรียบเรียงจาก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net