'ก้าวไกล' ชี้ 'ประยุทธ์' เป็นเหตุ เคยใช้อำนาจนายกฯ ปัดตกร่างกฎหมาย PRTR ทำประชาชนเสี่ยงเหตุสารเคมีรั่วไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากมีกฎหมาย PRTR โรงงานอุตสาหกรรมต้องรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษว่าครอบครองสารมลพิษใดบ้าง ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเพื่อร่วมตรวจสอบได้

นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนสิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล (แฟ้มภาพ)

24 ก.ย. 2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกลแจ้งข่าวว่านิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนสิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล กล่าวว่าเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2565 เกิดเหตุสารเคมีรั่วไหล จากโรงงานอินโดรามา ถนนเพชรเกษม ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ความจริงแล้วเหตุการณ์ลักษณะนี้ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญมาก เพราะมีมลพิษที่เป็นภัยคุกคามทางสุขภาพของประชาชนกระจายออกมาเป็นวงกว้าง กินอาณาบริเวณหลายพื้นที่ จนหลายคนสัมผัสได้ถึงสารที่ปลอมปนมาในอากาศถึง อำเภอพุทธมณฑล อำเภอสามพราน และบริเวณรอยต่อกรุงเทพมหานครในเขตทวีวัฒนา แต่พอหันมาดูการจัดการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับดูเหมือนปล่อยให้เป็นเรื่องของลมของฟ้า แทบไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ นอกจากการเข้าไปควบคุมโรงงานต้นเหตุแล้วก็จบ ส่วนสารพิษอะไรลอยออกมาบ้างก็ไม่รู้ ปล่อยให้สายลมจัดการให้จางไปเองธรรมชาติ ที่น่าเศร้าคือเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกซ้ำรอยไปเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลนี้ไม่เคยใส่ใจและไม่เคยจริงใจเลยที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงจากมลพิษโรงงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราคงได้แต่ภาวนาว่าเหตุที่เกิดในอนาคตจะไม่ใช่ความสูญเสียร้ายแรงไปกว่านี้

“สาเหตุที่รัฐบริหารจัดการมลพิษโรงงานไม่ได้ เพราะรัฐเองและประชาชนไม่เคยรู้เลยว่า มีโรงงานอะไรไปตั้งใกล้บ้านเขาและเอาสารพิษอะไรเข้าไปในโรงงานบ้าง เหตุการณ์สารเคมีรั่วไหลและอันตราย
แบบนี้ไม่ใช่การเกิดขึ้นครั้งแรก ปีก่อนก็เพิ่งมีการระเบิดที่โรงงานหมิงตี้เคมีคอล จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชุมชนด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมประชาชนจำเป็นต้องรู้ว่าโรงงานที่ตั้งอยู่ในละแวกบ้านเก็บสารเคมีอะไรบ้างและเป็นอันตรายหรือไม่ โดยเฉพาะเหตุการณ์หมิงตี้มีความรุนแรงถึงขั้นต้องอพยพผู้คนโดยรอบหลายกิโลเมตรทันที ขณะที่เหตุการณ์ล่าสุด แม้ไม่ระเบิด แต่สารพิษที่ลอยมาไกลถึงกรุงเทพ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าปอดประชาชนไปแล้วบ้าง เท่าที่ทราบโรงเรียนโดยรอบก็ยังเปิดอยู่ จะมีผลกระทบกับเด็กๆด้วยหรือไม่ก็ไม่รู้ ประเทศไทยจึงจำเป็นประเทศไทยต้องมีกฎหมายควบคุมและตรวจสอบสารเคมีอันตรายเป็นเครื่องมือในการป้องกันเสียที เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

นิติพล กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พรรคก้าวไกลเคยผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือ PRTR (Pollutant Release and Transfer Registers) เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แต่การที่ร่างกฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนฉบับนี้ไม่สามารถเข้าไปถึงการพิจารณาของสภาได้ ไม่ต้องไปโทษใคร ขอให้โทษไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียว เพราะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ที่จะตัดสินใจนำร่างกฎหมายที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับการเงินเข้าสู่สภาหรือไม่ ซึ่งเมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ไปถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ถูกปัดตกไปอย่างไม่ใยดีโดยไม่ให้เหตุผลใดๆว่าร่างกฎหมายนี้ไม่สมควรให้สภาพิจารณาอย่างไร นำพาให้สถานการณ์ความเสี่ยงต่อมลพิษโรงงานเดินมาถึงวันนี้ ปล่อยให้ประชาชนไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยต่อไป เพราะการทำให้ประชาช
นไม่มีข้อมูลก็คือของหวานชั้นดีของรัฐบาลชุดนี้ คือเมื่อไม่รู้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

ทั้งนี้ นิติพล กล่าวว่า หากมีกฎหมาย PRTR จะทำให้เกิดสภาพบังคับว่า แหล่งกำเนิดมลพิษต่างๆ ไม่ว่าโรงงานอุตสาหกรรม เหมืองแร่ หรืออื่นๆ ต้องรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษว่ามีการครอบครองสารมลพิษใดบ้าง และมีการปล่อยมลพิษปริมาณเท่าใด ตามรายชื่อสารมลพิษที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด และกรมควบคุมมลพิษจะต้องเปิดเผยรายงานนี้ให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงเพื่อร่วมตรวจสอบได้

“เมื่อทุกอย่างตรวจสอบได้ ประชาชนก็สบายใจ อุตสาหกรรมที่ทำถูกต้องในเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่กังฉิน และที่สำคัญคือหากเกิดเหตุการณ์อย่างกรณีโรงงานหมิงตี้ หรือสารรั่วเมื่อวานนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะสามารถจัดการปัญหาตรงจุด รู้ชนิด รู้ปริมาณสารเคมีสามารถคาดการณ์เพื่อแก้ปัญหาได้” ส.ส.สิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล ระบุ