Skip to main content
sharethis

'ดอน ปรมัตถ์วินัย' รองนายกและ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันคดี 8 ปี 'ประยุทธ์' ไม่กระทบประชุมเอเปค พ.ย. 2565 นี้ - เลขา ครป. ฟันธง 'ประยุทธ์' ไม่ได้ไปต่อ จี้นายกคนใหม่ปลด 'ชัยวุฒิ' และลดค่าไฟให้ประชาชน

25 ก.ย. 2565 มติชนออนไลน์ รายงานว่านายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 77 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ในวันที่ 30 ก.ย. 2565 นี้ จะมีผลต่อความเชื่อมั่นต่างชาติหรือไม่ว่า ส่วนตัวเชื่อว่าขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของบุคคลนั้นๆ ที่ต้องเข้าใจสถานการณ์ และแง่มุมทางกฎหมาย เพื่อประเมินว่าจะมีผลต่อฐานะของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อไปหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อการจัดประชุมผู้นำเอเปคในเดือน พ.ย. 2565 นี้หรือไม่ นายดอน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีผลต่อการจัดประชุมเอเปคที่สามารถดำเนินต่อไป เราจะไม่พยายามนำเรื่องนี้มาโยงสำหรับทุกๆ ประเทศ

“สิ่งที่ดีที่สุดคือความมีเสถียรภาพ ความสงบเรียบร้อย และประเทศสามารถก้าวต่อไปอย่างราบรื่น ซึ่งประชาชนต้องได้ประโยชน์กับสิ่งเหล่านี้ และนั่นก็เป็นความเชื่อมั่นตั้งแต่แรกหลังจากที่ผมรับรู้หรือเรียนรู้เรื่องราวที่สัมพันธ์ สารพัดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ จนมีข้อสรุปของตัวเองว่า สิ่งที่ดีที่สุดกับประเทศ และกับประชาชนคือ สถานการณ์ในประเทศต้อมีความราบรื่น” นายดอนกล่าว

นายดอนกล่าวด้วยว่า ปล่อยให้กฎหมาย กติกา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นตัวชี้ขาด แต่อย่าให้ความต้องการแก่งแย่งอำนาจ หรือความรู้สึกใดๆ มาผสมผสานจนทำให้ความสงบเรียบร้อยหายไป จนไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และคนในชาติ

เลขา ครป. ฟันธง 'ประยุทธ์' ไม่ได้ไปต่อ จี้นายกคนใหม่ปลด 'ชัยวุฒิ' และลดค่าไฟให้ประชาชน

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนว่าตามที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดี 8 ปีนายกฯ วันที่ 30 ก.ย. นี้นั้น ขอฟันธงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้ไปต่อ และจะต้องมีการเลือกนายกฯ คนใหม่โดยที่ประชุมรัฐสภา สืบเนื่องจากไม่อาจหาเหตุผลที่จะช่วยประยุทธ์ ได้เลย เนื่องจากจะทำให้การศึกษากฎหมายมหาชนในคณะนิติศาสตร์ปรวนแปรไปทั่วประเทศ หากหาเหตุผลอัปลักษณ์เพื่อสืบทอดอำนาจ เรียกว่าแพ้ภัยตนเองเพราะไปเขียนกับดักรัฐธรรมนูญที่ยึดติดกับบุคคลไม่ใช่หลักการ

"คาดว่าเหตุผลหลักเนื่องจากถูกกำกับด้วยมาตรา 264 ได้รับรองคณะรัฐมนตรีชุดก่อนไว้จึงไม่สามารถอ้างว่าเริ่มนับเวลาจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ และ ป.ป.ช.เคยวินิจฉัยว่าประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อเนื่องจึงไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ โดยเฉพาะมาตรา 158 ที่ระบุไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ก็ชัดเจนในตัวอักษรเกินหลบเลี่ยง ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้าตีความช่วยเหลือประยุทธ์ ก็จะทำให้คู่ความขัดแย้งอย่างทักษิณสามารถกลับมาเป็นนายกฯ รอบใหม่ได้อีก 8 ปี หากไม่นับที่เคยเป็นมา ซึ่งชนชั้นนำไทยคงไม่ยอม และคงเลือกเสียขุนศึกเพื่อรักษากองทัพ" นายเมธา กล่าว

ขณะที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ออกมาดูถูกประชาชนไม่ให้ใช้สิทธิทางการเมืองด้วยการข่มขู่การรัฐประหาร ตนเห็นว่าไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและเป็นรองหัวหน้าพรรคการเมืองในรัฐสภาอีกต่อไป เพราะขาดสำนึกประชาธิปไตยและฝักใฝ่เผด็จการ หัวหน้าพรรคการเมืองต้องไล่ออกและปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี อย่าให้มีอำนาจดูถูกประชาชนแบบนี้ เพราะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตย และเขาเองก็น่าจะหมดภารกิจที่เข้ามาทำเรื่องดาวเทียมไทยคมแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หากประยุทธ์ สิ้นสุดสภาพนายกฯ ตามมติศาลรัฐธรรมนูญ ครม.ก็ต้องพ้นสภาพไปด้วย แต่ไม่สมควรให้นายชัยวุฒิกลับมามีอำนาจอีก

นายเมธา กล่าวว่า นายกฯ คนใหม่จะเป็นใครนั้น ไม่อภิสิทธิ์ อนุทิน ก็คงเป็นพล.อ.ประวิทย์ เพราะคนในแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยเดิมทั้ง 3 คนคงไม่ได้เสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว. คุณหญิงสุดารัตน์ ก็ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจนเนื่องจากหลังบ้านทักษิณกลับเข้ามายึดครองพรรคเต็มตัว

"ปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนไทยตอนนี้ไม่ใช่แค่น้ำท่วม แต่คือปัญหาค่าไฟแพง รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้เกิดการผูกขาดสาธารณูปโภคและโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ผมอยากเรียกร้องให้รัฐบาล ณ เวลานี้ ประกาศลดค่าไฟในทันที หรือนายกฯ คนใหม่ช่วยลดค่าไฟเป็นของขวัญให้ประชาชนหน่อย เพราะค่า FT ที่เพิ่มขี้นจากหน่วยละ 0.4 บาทเมื่อเดือนก่อนมาเป็น 0.9 บาทในเดือนที่ผ่านมาทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบทุกหย่อมหญ้า และน่าแปลกใจที่ทำไมรัฐบาล คสช. ถึงไปทำสัญญาให้เอกชนผลิตไฟฟ้าแทน กฟผ. และรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนโดยการประกันรายได้กว่า 20 ปี แล้วไปลดการผลิตของรัฐลง เพิ่มกำลังการผลิตเอกชนมากขึ้นจนพลังงานล้นเกินก็ไม่หยุด กลับมาเก็บค่าไฟแพงขึ้นเรื่อยๆ จากประชาชน จนน่าสงสัยว่า นายทุนที่รวยขึ้นมากว่า 4 แสนล้านกลายป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทยนั้น ร่ำรวยมาจากการปล้นกระเป๋าคนไทยโดยการสมรู้ร่วมคิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล คสช. หรือไม่ ใครก็ได้ช่วยให้คำตอบที และช่วยเปิดเผยสัญญานั้นเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย" นายเมธา กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net